บทที่ 285: ชื่ออันคุ้นเคยแต่เป็นที่เกลียดชัง
ขณะเดียวกันหน่วยปฏิบัติการพิเศษของลิเลียน พอล และคนอื่น ๆ ได้ซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ ๆ กับ จุดหยุดพักฟูลเต้แล้ว พวกเขาพร้อมที่จะโจมตีในทันทีที่มีการให้สัญญาณ
นักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มีช่วงวันหยุดพักผ่อนรายเดือนเป็นเวลาห้าวัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีในเวลาเช่นนี้ เพราะไม่ว่านักเรียนของหน่วยรักษาความปลอดภัยและชมรมรับจ้างสารพัดจะพยายามปกปิดเส้นทางของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถโดดเรียนได้ อีกทั้งจุดหยุดพักฟูลเต้ นั้นยังอยู่ห่างจากย่านใจกลางเมืองมากเกินไปอีกด้วย
แน่นอนว่าหากมีคนสองสามคนหายตัวไปจากชั้นเรียนที่มีนักเรียนหลายร้อยคน ก็คงจะไม่มีใครสงสัยอะไร แต่ไม่ใช่สำหรับบุคคลสาธารณะอย่างโรเอลหรือลิเลียน
นอกจากนี้ แม้ว่าโรเอลจะคิดว่ามันมีโอกาสน้อยมากที่จะมีลัทธิชั่วร้ายในหมู่นักเรียน แต่เขาก็ไม่สามารถละเลยความเป็นไปได้ดังกล่าวได้เช่นกัน เขารู้ว่าลัทธิชั่วร้ายที่แสนเจ้าเล่ห์จะหนีไปได้อย่างแน่นอนหากพวกเขารู้ถึงแผนการนี้ล่วงหน้า ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่เต็มใจที่จะเสี่ยง
ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือคือช่วงก่อนช่วงวันหยุดพักผ่อนจะสิ้นสุดลง
โชคดีที่โรเอลจำได้ว่า พวกศัตรูนั้นได้เลือกลงมือก่อนที่ช่วงวันหยุดพักผ่อนจะจบลง ในขณะที่ทุกคนยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น
ส่วนสถานที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่ที่ไหน นอกเสียจากห้องพักที่เขาอยู่ในปัจจุบัน
ในหอพักของเมลตี้ โรเอลอ่านผลรายงานการสอบสวนของเขาอย่างใจเย็นให้กับเด็กสาวผมดำที่นั่งตรงหน้า โดยไม่ได้ปิดบังอะไรจากเธอ เขาคิดที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลบางส่วน เพื่อให้มั่นใจว่าจิตใจของเธอมีความมั่นคงเพียงพอที่จะรับสื่อ แต่แล้วเขาก็ละทิ้งความคิดนี้หลังจากที่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
โรเอลต้องการให้เมลตี้ รู้ถึงอันตรายที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เพื่อที่เธอจะได้หลบหนีไปยังที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวโดยประมาท สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคือช่วงเวลาแห่งความประมาทของเธอเพื่อจะได้มีโอกาสในการปลิดชีพ
เมื่อเมลตี้รู้ว่าเชอริลถูกจับตัวไปโดยลัทธิชั่วร้ายและอาจจะตายไปแล้วในตอนนี้ เธอก็ทรุดตัวลงและเริ่มร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้
“ข…ขอโทษด้วย ผู้ถือแหวนกุหลาบน้ำเงิน ฉันแค่ทำใจไม่ได้…”
เมลตี้พยายามเช็ดน้ำตา แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดไม่ให้มันไหลลงมาอีกได้ โรเอลมองดูเธอเงียบ ๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ว่าเธอต้องการที่จะระบายอารมณ์
ความเศร้าโศกจากการทราบว่าเพื่อนสนิทกำลังตกอยู่ในอันตราย และความกลัวที่ต้องถูกลัทธิชั่วร้ายตามดู ภาระเหล่านี้มากเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเผชิญหน้ากับพวกมัน เมลตี้อยู่ในตำแหน่งที่เปราะบางอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่างจากภายในเกมคราวนี้ เธอมีโรเอลอยู่เคียงข้าง
“คุณเมลตี้ ผมเข้าใจถึงความเศร้าโศกและความหวาดกลัวที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า คุณไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่คุณทำไปนั้นไม่ได้ไร้ความหมาย”
โรเอลเลือกที่จะไม่พูดคำปลอบโยนใด ๆ เพียงแต่บอกความจริงกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด
“ตอนนี้ผมอาจจะเป็นคนเดียวที่อยู่กับคุณ แต่ผมขอรับรองว่ามีสมาชิกหลายร้อยคนจากชมรมรับจ้างสารพัด และหน่วยปฏิบัติการพิเศษของลิเลียนที่กำลังสนับสนุนการดำเนินการนี้ และทำงานอย่างหนักเพื่อกำจัดพวกลัทธิชั่วร้ายเหล่านั้น ผมรู้ดีว่าตอนนี้คุณอาจจะกำลังสับสนและหวาดกลัว แต่ได้โปรดวางใจในตัวพวกเรา”
“โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเชอริลนั้นเป็นเรื่องบีบคั้นหัวใจ แต่ความเมตตาและความชอบธรรมของคุณช่วยเตือนให้พวกเราระวังศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเรา เช่นเดียวกับอาชญากรรมร้ายแรงที่พวกเขาก่อขึ้น เราจะต้องหยุดพวกเขา ป้องกันไม่ให้มีผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่ออีกในอนาคต ปลอบโยนเหล่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว”
“ดังนั้น เงยหน้าขึ้นเถอะ คุณไม่ได้ทำให้ชื่อของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเสียหายเลยสักนิด คุณได้ทำทุกอย่างที่ตัวเองทำได้ไปแล้ว ซึ่งเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคุณ”
ภายใต้คำพูดอันอ่อนโยนของโรเอล ในที่สุด เมลตี้ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง ความรู้สึกทั้งหมดที่สะสมอยู่ในอกของเธอ ไม่ว่าจะเป็นความคับข้องใจ ความอ่อนล้า ความกังวล หรือความเศร้าโศก ในที่สุดก็ปะทุออกมา ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งที่เธอแบกไว้กับเธอในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาออกไป
ต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนที่เมลตี้จะสงบลงและหยุดร้องไห้ในที่สุด ทำให้โรเอลได้เปิดเผยจุดประสงค์ของเขาเบื้องหลังการมาหาเธอในวันนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผนการของโรเอลในการหลอกล่อศัตรูนั้นมีความเสี่ยงมาก และ เมลตี้เองก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการเข้าร่วมในแผนนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้ยินว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะจับผู้กระทำความผิดที่อยู่เบื้องหลังความโหดร้ายเหล่านั้นได้ เธอก็ตกลงที่จะร่วมมือกับเขาในทันที
พวกเขาพูดคุยกันถึงรายละเอียดของแผนการ ก่อนที่เด็กสาวผู้ที่เหนื่อยล้าจะมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของเธอเพื่อพักผ่อน
โรเอลล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขาและหยิบล็อกเกตเล็ก ๆ อันวิจิตรงดงามออกมา
【ที่ซ่อนของมาครอน
เพื่อหนีจากศัตรูของเขา จอมเวทมนตร์มาครอนได้สร้างอุปกรณ์เวทที่ทำให้เขาสามารถซ่อนตัวได้ทุกเมื่อตามที่เขาต้องการ เมื่อเขาปิดอุปกรณ์เวทในรูปร่างของจี้นี้ จะไม่มีใครสามารถหาเขาได้อีกต่อไป น่าเสียดายที่เขาใช้อุปกรณ์เวทนี้เพื่อแอบดูผู้หญิงอาบน้ำในช่วงหลัง
ผลกระทบ: โดยการใส่พลังเวทลงในอุปกรณ์เวทและปิดล็อกเกต จะทำให้ร่างกายของผู้ใช้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่คู่ขนาน
ข้อจำกัด: ไม่สามารถส่งพลังเวทออกมาจากพื้นที่คู่ขนานได้ และการเคลื่อนไหวของผู้ใช้จะถูกจำกัดอย่างรุนแรง
ราคา: 200,000 แต้มความสนใจ】
นี่เป็นสินค้าชิ้นแรกที่โรเอลซื้อในราคาเต็มจำนวนจากระบบ ด้วยเหตุผลที่มันทำให้เขามั่นใจได้ว่าตนเองจะสามารถปกป้องเมลตี้ได้ดีจากศัตรู
ที่ซ่อนของมาครอน เป็นอุปกรณ์เวทห้วงมิติที่หาได้ยาก มันสามารถสร้างมิติคู่ขนานขนาดใหญ่หลายตารางเมตรรอบตัวผู้ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับได้ เพียงแค่ว่ามิตินั้นไม่เสถียรเท่าไหร่ และอาจพังทลายแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ หากผู้ใช้พยายามที่จะร่ายคาถาเวทหรือขยับตัวมากเกินไป
ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ที่ซ่อนของมาครอนยากต่อการใช้งานในภารกิจลอบสังหาร อย่างไรก็ตามมันถือเป็นอุปกรณ์เวทสำหรับพรางตัวที่ทรงพลัง
โรเอลนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นก่อนจะปิดที่ซ่อนของมาครอน ทันทีที่จี้ถูกปิดลง มันก็ส่งพลังเวทแปลก ๆ กระจายออกมาโดยรอบ จากนั้น วิสัยทัศน์ของโรเอลก็ถูกปกคลุมไปด้วยโทนสีเทาหม่น
เด็กหนุ่มยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในมิติคู่ขนานที่สร้างโดยที่ซ่อนของมาครอน แต่การปรากฏตัวของเขาได้หายไปจากโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว แม้แต่รอยบุบที่เคยอยู่บนโซฟาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
โรเอลพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ก่อนจะหลับตาลง
…
“ดูสิ ว่าเจ้าทำอะไรลงไป มาซีอุส!”
ชายชุดดำสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสารในห้องมืด ที่มีเพียงแสงเทียนสลัว หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคนที่ชื่อว่า มาซีอุส และอีกคนหนึ่งเป็นชายสวมหน้ากากที่มีเสียงห้าว
ชายสวมหน้ากากตบฝ่ามืออย่างสง่างามบนโต๊ะจ้องมองมาที่มาซีอุสอย่างขุ่นเคือง มาซีอุสก้มศีรษะลงอย่างเงียบ ๆ จ้องเขม็งไปที่แผ่นกระดาษที่อยู่ด้านบนสุดของกองเอกสาร มันเป็นภาพวาดของนักเรียนหญิงชั้นปีที่ 3 จากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เมลตี้
มาซีอุส มองภาพวาดพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยความเคารพ
“ข้ากำลังจับตาดูเธอแล้ว ท่านทูต การเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของขัา ไม่ต้องเป็นห่วงไป”
“อยู่ในการควบคุมของเจ้างั้นเหรอ? หึ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าพูดเสมอว่าคนอย่างเจ้าไม่มีวันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ! ไฟควรจะตัดตั้งแต่ต้นลม! นี่ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่เธอเริ่มการสอบสวน เจ้ายังต้องจะรออะไรอีก!”
“… ข้าจะจัดการกับเธอภายในอีกสองสามวันข้างหน้า”
มาซีอุสตอบ
คำสัญญาของเขาคลายความโกรธของชายสวมหน้ากากเล็กน้อย ชายสวมหน้ากากมองมาที่มาซีอุสอย่างเฉียบขาดและเตือนเขา
“เจ้าควรทำอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านมาสี่ร้อยปี ในที่สุดการประสูติของท่านผู้นั้นก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เราจะปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้ ใครก็ตามที่เคลือบแคลงใจในช่วงเวลาสำคัญนี้จะต้องถูกกำจัด ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด ตราบใดที่ไอ้แก่คนนั้นมันยังมีชีวิตอยู่”
“…”
มาซีอุสเงียบเมื่อได้ยินคำพูดของชายสวมหน้ากาก เขาเข้าใจโดยปริยายว่า “ไอ้แก่” ที่ชายสวมหน้ากากกำลังพูดถึงคือแอนโตนิโอ
แอนโตนิโอเป็นอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า และผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้นเมื่อสี่ร้อยปีก่อน ในฐานะคนที่มีข้อมูลวงใน มาซีอุส เข้าใจความหมายนี้ดี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแอนโตนิโอรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในเงามืด เห็นได้จากวิธีที่เขาเลือกฝังตัวเองอยู่ในเลนสเตอร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาปฏิเสธคำเชิญทั้งหมดจากอาณาจักรอื่น ๆ และเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่ชายแดนตะวันออก ภายใต้ข้ออ้างเรื่องสุขภาพที่ไม่สบาย ราวกับว่าในที่สุดอายุก็ไล่ตามเขาทัน
แต่ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดรู้ดีว่าดวงตาของชายชรานั้นเฉียบแหลมกว่าที่เคย ภายใต้การเฝ้ามองของเขา แม้แต่ความประมาทเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายแผนการของพวกเขาได้
“อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเพียงเพราะองค์กรของเจ้าไม่ใช่เป้าหมาย เพื่อการตื่นขึ้นของท่านผู้นั้น เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าได้ยับยั้งภัยคุกคามที่เป็นไปได้ทั้งหมดไปแล้วโดยไม่มีข้อยกเว้น”
แก้มของมาซีอุส กระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของชายสวมหน้ากาก เขาโกรธเคืองกับคำขู่นี้ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนความขุ่นเคืองนั้นลงไป แล้วพยักหน้าพร้อมกัดฟันกรอด แม้จะเป็นผู้นับถือลัทธิที่ชั่วร้าย แต่เขาก็กลัวคนบ้าเหล่านี้มากกว่าโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง
สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นในการเผชิญหน้ากับโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างคือความตาย แต่ผู้ที่มีปัญหากับคนบ้าเหล่านี้จะไม่ได้รับการปลอบประโลมจากความตายด้วยซ้ำ
มาซีอุสตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องเมลตี้อย่างรวดเร็ว แต่ในไม่ช้าเขาก็นึกถึงปัญหาใหม่ได้แล้วขมวดคิ้ว
“ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะส่งจดหมายถึงผู้ถือแหวนกุหลาบน้ำเงิน คนใหม่โดยที่ไม่ได้สังเกต…”
“อะไรกัน?! เธอส่งจดหมายถึงทายาทของตระกูลแอสคาร์ดงั้นเหรอ?”
ชายสวมหน้ากากตะโกนด้วยน้ำเสียงที่แหลมคมกว่าเดิม
มาซีอุสตระหนักได้ในทันทีว่าเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคาดไว้มาก
“ใช่ ใช่ ผู้ถือแหวนกุหลาบน้ำเงิน เขาเป็นนักเรียนใหม่ที่มีคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ใส่ใจจดหมายเลย! อันที่จริงฝ่ายกุหลาบน้ำเงินกำลังขัดแย้งกับฝ่ายกุหลาบม่วงเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจนักเรียนที่เสียชีวิตไปแล้วเลยสักคน”
เขาอธิบายด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ
ในมุมมองของมาซีอุส ไม่ว่าผู้ถือแหวนกุหลาบน้ำเงินจะมีความสามารถเพียงใด ความสามารถและวุฒิภาวะทางจิตใจของเขาก็ยังขาดตกบกพร่องอยู่เนื่องจากอายุที่ยังน้อย ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือชายที่สวมหน้ากากนั้นไม่ได้ห่วงเกี่ยวกับโรเอลเลย แต่เป็นตระกูลของเขา ตระกูลแอสคาร์ด
นี่เป็นชื่อที่คงอยู่เป็นหนามในใจพวกเขามาช้านาน
ชายสวมหน้ากากที่กำลังโกรธจัดจ้องมาที่มาซีอุส และสั่งด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“เจ้าบ้า! พวกตระกูลแอสคาร์ดมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง? เจ้าควรแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าเจ้าและองค์กรของเจ้าจะไม่มีอนาคตอีก”