เฉินโม่แข็งแกร่งขนาดไหนกันจึงสามารถสังหารอู๋ไต้ซือได้ในกระบวนท่าเดียว ?

เฉินโม่หันไปหาเว่ยจื่อหยุน และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แก สมควรตาย !”

ใบหน้าของเว่ยจื่อหยุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขาของเขาสั่นจนคุกเข่าลงกับพื้น “ไต้ซือ อภัยให้ผมด้วย ผมถูกอู๋ไต้ซือข่มขู่ ถึงล่วงเกินท่านอย่างไม่ตั้งใจจริงๆ !”

แววตาของเฉินโม่เย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเว่ยจื่อหยุนเลยแม้แต่น้อย

เว่ยจื่อหยุนก้าวถอยหลัง เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงของเฉินโม่ “เฉินโม่ ถ้าหากนายฆ่าฉัน คนตระกูลเว่ยไม่ยอมปล่อยนายไว้แน่ !”

“ตายซะ !”

เฉินโม่ชี้นิ้วออก พลังทิพย์อันทรงพลังพุ่งออกมา เจาะทะลุระหว่างคิ้วเว่ยจื่อหยุน

เว่ยจื่อหยุนไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง ร่างล้มลงกับพื้น ศีรษะมีรูกลวงโบ๋

หลงเหลือแต่ความเงียบสงัด ทุกคนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว

ชายชราที่เคยข่มขู่เฉินโม่เมื่อครู่ ตอนนี้หวาดกลัวทรุดตัวลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้อง เขาได้แต่ร้องขอความเมตตา “เทียนซือ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย ! ผมมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดเมตตาด้วย !”

นักบู๊ที่เหลือต่างก็คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว พร้อมตะโกน “ท่านเทียนซือ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย !”

ในสายตาของพวกเขา พลังของเฉินโม่อยู่เหนือกว่าปรมาจารย์ซะอีก

ตามกฎของโลกฝึกบู๊ ไม่สมควรลบหลู่ปรมาจารย์ การที่พวกเขาทำร้ายเฉินโม่นั้นมีโทษสมควรตาย พวกเขาจึงทำได้เพียงขอร้องให้เฉินโม่ไว้ชีวิตพวกเขาเท่านั้น ต่อหน้าพลังของเฉินโม่ไม่มีใครกล้าหนีแม้แต่คนเดียว

มีเพียงอายู่เท่านั้นที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขามองเฉินโม่ด้วยสายตาที่งงงวย เห็นกันอยู่ว่าเฉินโม่เป็นเพียงแค่วัยรุ่นธรรมดา ๆ จู่ ๆ เขาจะแข็งแกร่งดั่งปรมาจารย์ได้อย่างไร ?

ทั้งความอิจฉาและความยากจะยอมรับเกิดขึ้นในจิตใจของอายู่

ถ้าเขาไม่รู้จักเฉินโม่ บางทีเขาอาจจะลงไปคุกเข่าเหมือนกับนักบู๊คนอื่น ๆ แต่ตอนนี้ เขารู้จักเฉินโม่ และได้เดินทางกับเฉินโม่มาโดยตลอด ระหว่างทางเขาแทบไม่เห็นเฉินโม่ในสายตาด้วยซ้ำ จะให้เขาในตอนนี้คุกเข่าลงต่อหน้าเฉินโม่ได้อย่างไร ?

อายู่ไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้

เฉินโม่หันไป และชี้ไปที่อายู่ “แกเองก็สมควรตายด้วย !”

เพียงอึดใจเดียว ศีรษะของอายู่ก็ร่วงลงสู่พื้น

ชั้นสองแดนรวมพลัง กลายพลังทิพย์เป็นกระบี่ สามารถฟันศัตรูได้ในระยะสิบเมตร !

ซุนจิ้งไฉมองไปยังเฉินโม่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หัตถ์อัสนี คำพูดสั่งเป็นตาย วิธีการเหล่านี้ไม่ธรรมดาแล้ว !

ซุนจิ้งไฉนึกถึงสิ่งที่เขาพูดกับเฉินโม่ในโรงน้ำชาได้ในทันที

“ไม่น่าแปลกใจที่เขาบอกว่าจะความมั่งคั่งหรืออำนาจ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีค่าในสายตาของเขา หากเขาต้องการสิ่งใด เพียงแค่โบกมือก็ได้มันมาครอบครอง ที่แท้เขาไม่ใช่คนธรรมดาตั้งแต่แรกแล้ว !”

ถ้าฉันมีพลังหัตถ์อัสนีหรือคำพูดสั่งเป็นตาย ด้วยพลังเหล่านี้ฉันคงไม่สนใจสิ่งใดในโลกมนุษย์เหมือนกัน ช่างน่าขันสิ้นดี ฉันเคยเตือนเขาว่าอย่าหยิ่งผยอง เหนือฟ้ายังมีฟ้า หารู้ไม่ กลับเป็นฉันเองที่อยู่แต่ในกะลา”

“ฉันทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจ ฉันพลาดเองที่ไม่ได้สนิทสนมกับคนผู้นี้ ยังดีที่ยานเอ๋อร์นั้นดูคนเป็น ในเวลาหน้าสิ่งหน้าขวานยังเลือกที่จะปกป้องเขา ฉันช่างโชคดีจริง ๆ !” เมื่อมองไปยังมู่หรงยานเอ๋อร์ที่กำลังประหลาดใจอยู่นั้น แววตาของซุนจิ้งไฉก็เกิดความโล่งใจ

“เฉินโม่ ทำไมนายถึงได้แข็งแกร่งนัก !” เมื่อมองดูชายหนุ่มที่ถูกกลุ่มนักบู๊ก้มคารวะ ดวงตาของมู่หรงยานเอ๋อร์ก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ฉายแววความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้

ผู้หญิงทุกคนต่างมีความฝันเกี่ยวกับเมฆสีม่วง เธอเคยหวังว่าคนรักของเธอจะเป็นดั่งเช่นวีรบุรุษ เพื่อวันหนึ่งเธออยากจะขี่เมฆสีรุ้งและแต่งงานกับเขาท่ามกลางแสงสว่างจ้า

มู่หรงยานเอ๋อร์กำลังอยู่ในวัยรักครั้งแรก เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงจินตนาการเหล่านี้ได้ และเวลานี้ เฉินโม่ก็ได้กลายเป็นวีรบุรุษของเธอแล้ว

เฉินโม่หันหน้ามา มองไปยังมู่หรงยานเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “ฉันบอกเธอแล้ว ว่าจะไม่มีใครมาทำอันตรายเธอได้”

ในเวลานี้ ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังซุนจิ้งไฉ จู่ ๆ ก็หวาดกลัวขึ้นอย่างกะทันหัน มือชี้ไปทางบึงน้ำด้านหลังของทุกคน ตะโกนด้วยเสียงสั่นเทา “สัตว์ประหลาด นั่นมันสัตว์ประหลาด !”