ภาคที่ 2 การแข่งขันแพทย์แผนจีน
บทที่ 1 ฝึกฝนทักษะ
ทุกคนต่างฉงน
ทันใดนั้น
เอี๊ยด!
ประตูใหญ่ของภัตตาคารหมิงหูเปิดออก หวังหงฮวาเดินออกมา ส่วนเหล่าหย่วนก็โบกมือทักทายซูเย่อย่างสนิทสนม
“น้องซู มามามา เข้ามาเร็ว ดีใจที่แวะมานะ!”
ซูเย่ยิ้มรับ แล้วหันกายไปเรียกทุกคน “มาเถอะ”
“แม่เจ้า นี่คือเถ้าแก่ภัตตาคารหมิงหูนี่น่า ฉันเห็นตอนอ่านข่าวในเน็ต!”
“ภัตตาคารหมิงหูคงไม่ได้หยุดเพราะพวกเรามากินข้าวหรอกใช่ไหม? ลูกพี่ซู นี่มันเจ๋งไปเลย!”
“สุดยอด ถึงว่าทำไมกล้าพาพวกเรามาเลี้ยงที่นี่ คนกันเองยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า”
ระหว่างเดินไปทุกคนก็กระซิบกระซาบกัน
จินฟานและซูชือมองหน้ากันไปมา ทั้งสองคนต่างคิดว่า เสี่ยวเย่ไม่ธรรมดานี่น่า
“กิจการของคุณดูท่าจะไปได้สวยนะครับ” ซูเย่พูดกับหวังหงฮวาขณะเดินนำทุกคนเข้ามาด้านใน “ขนาดปิดชั่วคราว ด้านนอกยังมีคนมาตั้งเยอะ พวกเขามาด้วยความยินดี แต่กลับไปอย่างผิดหวัง… ขอโทษนะครับ วันนี้ต้องรบกวนแล้ว และก็ขอบคุณมากๆ”
“คำขอบคุณไม่ต้องหรอก พวกเราคนกันเอง และถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี” หวังหงฮวากล่าวแล้วตบไปบนไหล่ของซูเย่เบาๆ “ฉันคงไม่ขอรบกวนพวกนายแล้ว นายไปดูแลเพื่อนๆ เถอะ ฉันจะไปเร่งในครัวให้ รับรองว่าต้องพอใจแน่”
“ครับ” ซูเย่พยักหน้ายิ้มรับ
ในเวลาไม่นาน อาหารก็เสิร์ฟครบทั้ง 8 โต๊ะ
นอกจากเนื้อไก่ เป็ด และปลาแล้ว ยังมีกะหล่ำปลีผัดเผ็ดจานเด็ดประจำร้านและอาหารหลากหลายที่พัฒนาจากกะหล่ำปลี เช่น ซุปกะหล่ำปลี ผัดกะหล่ำ ข้าวปั้นกะหล่ำปลี บาร์บีคิวกะหล่ำปลี และอื่นๆ
8 โต๊ะตั้งอยู่กลางโถงภัตตาคารหมิงหู ทุกคนกินกันอย่างมีความสุข
เนื่องจากคนจำนวนมาก บรรยากาศจึงครื้นเครง ประกอบกับอาหาศรสเลิศ ทุกคนจึงกินอย่างสบายใจ
ซูชือและจินฟานรู้สึกว่ามันอร่อยกว่ากะหล่ำปลีที่ปลูกบนระเบียงห้องเสียอีก
บรรยากาศครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ทุกคน” ที่โต๊ะตรงกลาง ซูเย่ยืนขึ้น มองดูผู้คนรอบๆ โต๊ะทั้งเจ็ด ก่อนจะยกแก้วขึ้นแล้วกล่าว “ขอบคุณที่มา และขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนใน Fantasy Dream แก้วนี้แด่ทุกคน!” พูดจบก็ดื่มหมดในคราวเดียว
“เกรงใจเกินไปแล้ว!” ทุกคนรีบตอบ พวกเขายกแก้วขึ้นดื่มให้หมดทันที
“อยากช่วยแค่ลมปาก แต่ความจริงคือไม่ได้ช่วยเหลือ!” ไป๋จือเหยียนดื่มเครื่องดื่มของเธอแล้วมองซูเย่ด้วยรอยยิ้มและกล่าว “นายกับหกคนนั้นเป็นยังไงกันแน่ นายไม่ได้บอกพวกเราให้ชัดเจน นายเก่งกว่าพวกเราขนาดนี้ได้ยังไง”
“นายจะต้องมีเคล็ดลับในการฝึกแน่ๆ สอนพวกเราบ้างได้ไหม? รับรองว่าความลับไม่รั่วไหลแน่ เพราะข้าวหนึ่งมื้อซื้อพวกเราไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาของคนทั้งโต๊ะรวมถึงโต๊ะๆ ข้างที่ได้ยินก็ย้ายไปบนร่างของซูเย่โดยพลัน พวกเขาสงสัยมากจริงๆ แล้วก็อยากที่จะเรียนรู้ด้วย
“เรื่องนี้…” ซูเย่ลังเล
“พวกเราไม่ได้จะให้นายสอนทั้งหมดสักหน่อย ขอแค่สอนทักษะบางอย่างให้พวกเราก็ได้แล้ว” ไป๋จือหรานยิ้มพลางยกแก้วขึ้น
คนอื่นๆ ก็ยกแก้วขึ้นเช่นกัน
พวกเขาหวังว่าซูเย่จะสอนพวกเขา เพราะพวกเขาล้วนเห็นความสามารถของซูเย่มาแล้ว เขาเก่งมากจริงๆ เก่งจนน่าอิจฉา! …และถ้าสามารถฝึกได้ถึงขั้นนี้ ก็คงบอกได้แค่ว่าใครๆ ก็อยากพัฒนาตัวเองกันทั้งนั้น
ทุกคนมองไปทางซูเย่ ไป๋จือหรานก็มองไปทางเขาเช่นกัน
จินฟานและซูชือมองหน้ากัน ในสมองพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ในป่าคืนนั้นไอ้คนที่อัดพวกเขาเสร็จแล้วก็สอนเคล็ดลับให้คงไม่ใช่ซูเย่หรอกนะ!
ภายใต้สายตาของทุกคน ซูเย่พยายามคิดคำตอบ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าตนน่าจะสอนพวกเขาได้ เพราะมันก็ถือเป็นโอกาสฝึกฝนตัวเองไปด้วยในตัว
ผลลัพธ์ของคำพูดนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้นน่าจะไม่เห็นผลมากนัก แต่ต่อไปจะช่วยได้เยอะเลย ก็เหมือนกับตอนโหมดไล่ฆ่าครั้งนี้ ที่ถ้ารอจวนตัวแล้วค่อยสอนคงจะสายเกินไป
“ตกลง!” ซูเย่ยกแก้วพลางดื่มลงไปรวดเดียวแล้วกล่าว “ฉันขอกลับไปคิดก่อนนะว่าจะสอนอะไรดี”
“ขอบคุณลูกพี่ซู” เมื่อได้ยินทุกคนพลันดีใจ พวกเขาต่างเงยหน้ายกหมดแก้ว
ทุกคนกินข้าวไปพลางพูดคุยกันไปพลาง
ในตอนที่กำลังจะอิ่มแล้ว
ผลั่ก!
มีเสียงดังขึ้น ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่ถูกเปิดออก
เป็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่เดินเข้าประตูมาด้วยสีหน้าที่ไม่ได้มาดีแน่
“เถ้าแก่อยู่ไหน”
“เรียกเถ้าแก่ออกมา”
“ทำไมถึงมีคนได้กินแต่พวกเราไม่ได้กิน”
“ไม่อยากเปิดกิจการแล้วรึไง?!!” กลุ่มชายฉกรรจ์ส่งเสียงคำรามอย่างไม่แยแสใคร
พนักงานในร้านรีบรุดไปห้าม แต่กลับถูกคนพวกนั้นพลักล้มลงบนพื้น ฟุบ——
70 คนที่นั่งอยู่ขมวดคิ้วมองไปทางกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินเข้ามา
“มองหาเตี่ยเองเหรอ? เด็กกลุ่มหนึ่ง โอ๊ะ มีสาวสวยอยู่สองคน”
“นั่งอยู่กับที่ จะกินอะไรก็กินไป ถ้ามองมาอีกข้าจะควักลูกตาพวกเอ็งออกมา” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินมาชี้หน้าเฉินเซียนเยว่
ส่วนพวกมันที่เหลือเหลือบมองไปทางไป๋จือหราน ไป๋จือเหยียนเป็นระยะ
ทุกคนล้วนนิ่งสงบ มองไปทางซูเย่ พวกเขาต่างมองซูเย่เป็นเหมือนลูกพี่
ลูกพี่… ในสถานการณ์แบบนี้ จะจัดการเลยไหม?
ได้ยินเสียงจากด้านนอก หวังหงฮวาก็รีบรุดออกมามองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ ก่อนที่สีหน้าของเขาจะพลันครึ้มลง แต่เมื่อกำลังจะเดินผ่านข้างซูเย่ ก็ถูกซูเย่ยื้อแขนไว้
“มีเรื่องอะไรกัน” ซูเย่เอ่ยถาม
“ถูกคนอิจฉาน่ะสิ” หวังหงฮวากัดฟันพูดเสียงต่ำ “ฉันตรวจสอบแล้ว ร้านละแวกนี้รวมหัวกันออกเงินทุนจ้างมา จะนั่งคนละโต๊ะแล้วก็สั่งอาหารที่ถูกที่สุด ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เอาเงินฟาดหัวก็ได้แล้ว แต่ก็ยังน่าสะอิดสะเอียนอยู่ดี”
“พวกนายกินกันเถอะ ฉันไปดูเอง” ขณะพูดมือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท เตรียมจะควักเงินแก้ปัญหา
ซูเย่รั้งหวังหงฮวาเอาไว้พลางกล่าว “ผมไปเอง”
“หืม?” หวังหงฮวาตะลึงงัน
ซูเย่ลุกขึ้นยืน กึก——
อีก 70 คนก็ลุกตามทันที มุมปากแสยะยิ้ม มองไปทางคนพวกนั้น
มาหาเรื่องต่อหน้าพวกเขา หาเรื่องเจ็บตัวชัดๆ!
กลุ่มชายฉกรรจ์สิบกว่าคนมองฉากตรงหน้าตะลึงค้าง
อะไรกันวะ?
ทำไมเจ้าพวกลูกหมาพวกนี้ถึงอยากมีเรื่อง?
อยากเจ็บตัวรึไง?!
“เหอะ เด็กฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาจากไหนวะ ไม่อยากตายก็นั่งเฉยๆ”
ชายร่างใหญ่หลายคนเห็นดังนั้น จึงคว้าเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาด้วยมือเดียว และชี้ไปยังคนที่อยู่โดยรอบ ทำให้บรรยากาศเริ่มอึมครึม
ถ้าเจอคนธรรมดาก็คงไม่มีใครกล้า น่าเสียดาย คนที่พวกมันเจอคือผู้ฝึกยุทธ์
ซูเย่เดินเข้าไปหาคนพวกนั้นภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน
ผลั่ก!
เสียงถีบออกไปเต็มแรงดังขึ้น ก่อนที่เจ้าของร่างจะกระเด็นออกไปหลายเมตรชนเข้ากับโต๊ะอย่างแรง
ฉากนี้ทำให้หวังหงฮวาและพนักงานในร้านมองตาค้าง
ถีบ… ถีบแค่ครั้งเดียวยังร้ายกาจขนาดนี้?
คนอื่นๆ ก็ไม่เก็บงำอีกต่อไป แสยะยิ้มแล้วเริ่มลงมือทันที
ยังไม่เคยมีเรื่องในชีวิตจริงเลย คันไม้คันมือมานานแล้ว!
“อย่าแย่ง! ของฉัน”
“พ่อง! คนนี้ฉันจอง”
ทั้ง 70 คนลงมือพร้อมกัน
ผลั่ก! ผลั่ก!
ชายฉกรรจ์รูปร่างกำย่ำสิบกว่าคน เก้าอี้ในมือยังไม่ได้ได้โยน ก็ถูกซัดไม่เหลือเค้าเดิม ถูกโยนออกไปด้วยใบหน้าฟกช้ำดำเขียว
เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า หวังหงฮวาและพนักงานในร้านก็ยืนมองอย่างโง่งม
นี่คือนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ซูเย่บอกงั้นเหรอ?
นี่มันเยี่ยมยอดเกินไปแล้ว!!
“แม่เจ้า นักศึกษากลุ่มนี้สุดยอดไปเลย!” หวังหงฮวากล่าวอย่างตกตะลึง
ซูเย่หันไปพูดกับเขา “ผมอิ่มแล้วครับ พวกคุณเก็บกวาดสักหน่อยก็เปิดร้านได้ปกติแล้ว คนพวกนี้ผมจัดการเอง”
“ช่างเถอะช่างเถอะ” หวังหงฮวารีบเกาะแขนซูเย่ “พวกนายเป็นนักศึกษา อย่าไปมีเรื่อง ฉันจัดการเอง”
ระหว่างพูด สีหน้าก็มืดครึ้มลงแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ครั้งนี้พวกนายต่อยพวกมันถอยไป ครั้งหน้าพวกมันก็มาอีก แล้วจะหนักข้อยิ่งกว่าเดิม เงินแค่เล็กน้อยฉันไม่เป็นไรหรอก กลัวก็แต่พวกนายจะถูกคนพวกนั้นจับตามอง ”
“วางใจเถอะครับ” ซูเย่ยิ้มเบาๆ พลางกล่าว “พวกมันไม่มีโอกาสที่สองแน่” พูดจบก็เดินออกไป
“ลุกขึ้นมา” ซูเย่จับคอเสื้อของหัวหน้าพวกมันขึ้นมา “พาฉันไปรังของพวกแก”
กลุ่มชายร่างกำยำยืนขึ้น แต่ไม่มีใครตอบ
เมื่อมองเห็นดวงตาวาวโรจน์ของซูเย่ ก็รู้ชัดทันทีว่าจะไปแก้แค้น!
“ในเกมจบลงแล้ว ในชีวิตไปขยับไม้ขยับมือสักหน่อย กล้าไหม?”
ซูเย่เอ่ยถามทุกคน
นี่คือแบบทดสอบของเขา
ไม่เพียงแค่คัดเลือกเท่านั้น แต่คือการบ่มเพาะ
ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสองกันหมดแล้ว เลือดตกยางออกเป็นเรื่องธรรมดา ตอนอยู่ในเกมไม่ใช่ในชีวิตจริง แต่พวกเขาต้องฝึกฝนเพื่อเติบโตขึ้นจริงๆ นี่น่า
“ทำไมจะไม่กล้าละ? วีรบุรุษผู้กล้า เพื่อประเทศเพื่อประชาชน ความสามารถที่มีก็เพื่อเวลาคับขันเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่แล้ว ฝึกมาขนาดนี้แล้ว ถ้ายังกลัวต่อไปก็ไม่ต้องฝึกแล้ว”
ทุกคนออกความเห็น แววตาฉายประกายความตื่นเต้น
ในที่สุดก็จะได้เล่นใหญ่สักที แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว!
ซูเย่มองไปทางผู้หญิงสิบกว่าคน โดยเฉพาะไป๋จือหรานกับไป๋จือเหยียน สุภาพสตรีไม่ควรไปมีเรื่อง “พวกเธอไม่…”
“พวกเราไปด้วย!” ไป๋จือเหยียนรีบพูดตัดหน้า
ไป๋จือหรานก็พยักหน้าเห็นด้วย เช่นเดียวกับกลุ่มผู้หญิงที่เหลือที่ก็พยักหน้าเช่นกัน
“งั้นก็ได้” สุดท้ายซูเย่ก็พยักหน้าเห็นด้วย ดีมาก ถือว่าทุกคนผ่านแบบทดสอบชั่วคราว
“ในเมื่อพวกเราจัดการพวกมันแล้ว… มื้อนี้ถือว่ากินฟรีได้ไหมครับ?” ซูชือถามหวังหงฮวาที่อยู่ข้างๆ เสียงแผ่ว
“ได้สิได้สิ” หวังหงฮวายิ้มขื่น “ตอนแรกก็ไม่ได้จะเก็บเงินอยู่แล้ว ตอนซูเย่โทรมาจองก็บอกแล้วว่าไม่คิดเงิน”
“งั้นก็ไปกัน ลุย!” ซูชือตะโกนเสียงดัง เจ็ดสิบกว่าคนต่างเดินเตะก้นชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปยังถนนที่อยู่ไม่ไกลนัก
ไม่นานทุกคนก็มาถึงห้องบิลเลียดกว้างขวาง
ในห้องบิลเลียด กลุ่มควันฟุ้งกระจายปกคลุม มีคนไม่ต่ำกว่าร้อยคน
“ซุนหู พวกมันน่าจะใกล้เสร็จงานแล้วใช่ไหม?” หนึ่งในนั้นพูดขณะคาบบุหรี่ในปาก “คราวนี้น่าจะรีดไถเงินได้เยอะนะ”
ทันทีที่กล่าวจบ ประตูเปิดออกดังปัง
ทุกคนมองออกไปด้านนอกอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเขามาถึงอาณาเขตของตัวเองที่มีพี่น้องหลายร้อยคนคอยสนับสนุน ชายร่างใหญ่นับสิบคนที่ถูกเตะมาตลอดทางพลันแสดงท่าทีดุร้าย พวกเขามองดูซูเย่และคนอื่นๆ อย่างไม่เป็นมิตร
“ไอ้บ้า กล้าตีพวกเรา รนหาที่ตาย!”
“ไอ้เด็กเวรพวกนี้เพิ่งเตะตูดฉัน ฉันจะทุบตูดแกให้เละเลย!”
พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นลูกผู้ชายที่พวกเขาเพิ่งสูญเสียไปออกมา
เมื่อคนในที่เกิดเหตุรู้ว่าพี่น้องของพวกเขาถูกรังแก พวกเขาจึงหยิบอาวุธขึ้นมาทันที และคนที่ไม่มีก็หยิบไม้บิลเลียดขึ้นมา
ทุกคนล้อมรอบเข้ามา
“จัดการ” ซูเย่พูดอย่างเย็นชา และเดินไปข้างหน้าเตะหนึ่งคนในนั้นจนล้มลง