เสี่ยวเชี่ยนพูดเสริมต่อ “เมื่อกี้พวกเธอสงสัยอยู่ไม่ใช่เหรอว่า คนแบบไหนกันนะที่เลี้ยงผู้หญิงแบบนี้ออกมาได้ ตอนนี้คงเห็นแล้วสินะ ก็ตระกูลอวี๋ของเรานี่แหละ”
“อุ๊บ”สุ่ยเซียนกล้าพนันเลยว่า เสี่ยวเชี่ยนอดกลั้นมาตั้งแต่แรกก็เพื่อรอจังหวะสวนคืนจังๆตอนนี้นี่แหละ
ไอ๊หยา พอประธานเชี่ยนพูดจบครอบครัวนี้ก็หน้าตาบิดเบี้ยว สีหน้าแบบนั้นมันช่างหาคำบรรยายได้ยากจริงๆ
ตกใจ อาย เสียหน้า ขายหน้า…เจือไปด้วยความโมโหนิดๆที่ถูกจับได้ ความรู้สึกหลากหลายมารวมอยู่ด้วยกัน บันเทิงดีแท้
“พี่สะใภ้ พี่พูดเรื่องอะไรเหรอคะ” เสียงของหลิวเหมยฟังดูเหมือนอยู่ใกล้ๆ
“ไม่มีอะไร ทำตามแผนเดิมก็พอ ว่าที่ครอบครัวสามีของเธออยู่กับพี่—สายตาเธอนี่ ‘ดี’ จริงๆ เดี๋ยวกลับไปพี่จะตัดแว่นสายตาสั้น2000ให้เธอใส่นะ ไม่งั้นเธอคงจะมองครอบครัวที่…พิเศษแบบนี้ไม่เห็น”
เสี่ยวเชี่ยนมองเสี่ยวชิงที่ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้พลางพูด
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เสี่ยวเชี่ยนว่างมากเลยลองสรุปอัตราความเป็นไปได้ที่ครอบครัวของผู้ชายฟีนิกซ์จะมีความประหลาดไปด้วยจากเคสคนไข้ของคนเธอ อัตราความเป็นไปได้ไม่สูงเท่าไร แต่ผู้ชายที่หลิวเหมยเลือกส่งเดชกลับมีครอบครัวแบบนั้นพอดี ดวงดีถูกรางวัลใหญ่เลยทีเดียว
“พี่สะใภ้ ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้” หลิวเหมยเดินเข้ามา ข้างกายมีผู้ชายที่สูงกว่าเธอเล็กน้อย
เสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนต่างรอคอยที่จะได้เห็นผู้ชายฟีนิกซ์ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร นี่มัน…
แอบผิดหวังนะ
หลิวเหมยถือว่าตัวสูงในบรรดาผู้หญิงด้วยกัน ดังนั้นถึงแม้ผู้ชายจะสูงกว่าหลิวเหมยเล็กน้อยแต่กลับดูไม่ผึ่งผายเท่าหลิวเหมย หน้าตาก็กลางๆค่อนไปทางแย่ ดูมาดขรึม
อวี๋หมิงหลางเองก็เป็นคนมาดขรึม แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกไม่น่าไว้ใจแบบนี้
ผู้ชายคนนี้เมื่อเทียบกับอวี๋หมิงหลางโดนเขี่ยทิ้งทันที แค่บุคลิกก็ไม่โอเคแล้ว
หลิวเหมยยืนอยู่กับเขา ไม่เหมาะกันเลยสักนิด สุ่ยเซียนถึงกับรู้สึกว่าถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนหลิวเหมย ไม่สู้บอกว่าเป็นบอดี้การ์ด บุคลิกไม่เข้ากันเลยจริงๆ
สุ่ยเซียนเหลือบมองเสี่ยวเชี่ยน ความหมายคือ น้องสาวญาติอวี๋หมิงหลางรสนิยมแบบไหนกัน
ประธานเชี่ยนยักไหล่ ไม่เจอคนแย่ๆเข้ามาในชีวิตบ้างยังจะเรียกว่าชีวิตวัยรุ่นเหรอ
“พวกเธอ…รู้จักกัน” เสี่ยวเชี่ยนไม่คิดว่าบทจะพลิกขนาดนี้ เมื่อกี้ครอบครัวเธอพูดจาว่าหลิวเหมยไปเยอะมาก ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงสองคนที่ดูเจ้าเล่ห์จะรู้จักกับหลิวเหมย
ผู้หญิงที่สวยกว่า ดูดีกว่า รวยกว่าตัวเอง เสี่ยวชิงเหมาเอาหมดว่าเป็นผู้หญิงดัดจริต อีกทั้งยังมีความคิดว่าผู้หญิงแบบนี้มีเสี่ยเลี้ยง เธอก็แค่หน้าตาธรรมดาไปหน่อย ถ้าสวยกว่านี้อีกนิดต้องได้ดีกว่าเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนแน่
ซึ่งตรรกะเพี้ยนแบบนี้เหมือนกับแม่ตัวเองไม่มีผิด
เวลานี้ครอบครัวเสี่ยวชิงนึกไม่ถึงเลยว่า เสี่ยวเชี่ยนจะเป็นพี่สะใภ้ของหลิวเหมย
“เขาเป็นพี่สะใภ้ฉันเอง ตอนนี้ฉันพักอยู่บ้านเขา ทำไมพี่สะใภ้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ” หลิวเหมยตากแดดมาเหงื่อออก
เธอได้รับข้อความจากแฟนว่าครอบครัวแฟนมาถึงแล้ว เดิมเธอจะไปรับด้วยตัวเอง แต่ปรากฏว่าประธานเชี่ยนอยู่ๆก็บอกตอนเช้าว่าไปดูทำเลกับฉิวฉิวมาที่นึง โอเคมาก อยากให้เธอกับฉิวฉิวไปคุยเรื่องราคา ถ้าพลาดวันนี้ ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้เช่าที่ราคางามแบบนี้อีกแล้ว
หลิวเหมยชั่งน้ำหนักดู จึงตัดสินใจไปดูสถานที่ก่อน เธอโทรไปเล่าสถานการณ์ให้หม่าลุ่ยฟัง แต่นึกไม่ถึงว่าหม่าลุ่ยกลับบอกว่าเขามาถึงเมืองนี้ตั้งแต่สองวันก่อนเพราะเรื่องงาน แล้วให้เธอรอเขาเพื่อไปคุยเรื่องราคาด้วยกัน
ตอนที่หลิวเหมยได้ยินแบบนั้นก็เหมือนฟ้าผ่ากลางหัวในวันฟ้าใส เขามาถึงเมืองนี้ก่อนแล้วทำไมไม่บอกเธอ
หม่าลุ่ยให้เหตุผลว่าทางหน่วยให้ปิดเป็นความลับ หลิวเหมยก็ยังคงรู้สึกไม่โอเค ถ้าก่อนหน้านี้ปิดเป็นความลับไม่บอกเธอ ไม่ติดต่อเธอ งั้นทำไมถึงเพิ่งมามีเวลาว่างตอนเธอจะไปตกลงราคาเรื่องสถานที่
ตอนไปคุยราคาก็ไม่ราบรื่นเท่าไร ดูเหมือนหม่าลุ่ยตั้งใจไม่อยากให้เธอกับฉิวฉิวเช่าได้สำเร็จ เอาแต่หาเรื่องทะเลาะกับเจ้าของจนสุดท้ายต้องแยกกันแบบไม่พอใจ เรื่องสถานที่ไม่เรียบร้อย แถมเธอยังมาสายอีก
เสี่ยวเชี่ยนมีสีหน้ายิ้มแย้มแต่ไร้ความรู้สึก กวาดตามองครอบครัวประหลาดด้วยสายตาเย็นชา พ่อแม่ครอบครัวหม่าพอเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็อึ้ง
“พี่อยู่ตรงนี้ได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวอวี๋ของเราพอดีเลย พวกคุณว่าไงคะ ใช่ไหม”
สามคนที่ถูกเธอไล่มองถึงกับยิ้มไม่ออก
ไม่มีเรื่องที่น่าอายเท่านี้อีกแล้ว
คนบางคนนินทาลับหลังอย่างมีความสุข แต่พอต้องเผชิญหน้าจริงๆก็อ่อน เมื่อกี้ยังเห็นทำปากเก่ง มาตอนนี้กลับนั่งเงียบ ครอบครัวนี้ขี้ขลาดถึงขนาดที่ไม่กล้าสบตาเสี่ยวเชี่ยน
“พี่สะใภ้ พี่พูดเรื่องอะไรเหรอคะ” หลิวเหมยไม่เข้าใจความหมายที่เสี่ยวเชี่ยนต้องการสื่อ แต่เธอกลับมองออกว่าครอบครัวนี้กำลังรู้สึกขายหน้า
“ที่แท้ก็พี่สะใภ้เธอนี่เอง ดูซิเนี่ยเมื่อกี้ไม่รู้ ถ้ารู้ก็มานั่งกินด้วยกันแล้ว” หญิงสูงวัยได้สติก่อนใคร
“ถ้าพวกคุณรู้ว่าฉันเป็นใครยังจะพูดถึงหลิวเหมยกับครอบครัวอวี๋ของเราแบบนั้นไหมคะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างนุ่มนวลแต่กลับให้ความรู้สึกกดดัน
เหงื่อหยดจากหน้าผากของแม่หม่า เธอยิ้มแห้งออกมา เธอนินทาคนอื่นมาตลอดชีวิต แต่ยังไม่เคยโดนจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ เสี่ยวเชี่ยนมีท่าทีชัดเจนว่าไม่เหลือทางให้เธอลง บรรยากาศกระอักกระอ่วนสุดๆ
ผู้ชายที่อยู่ข้างหลิวเหมยมองเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนอย่างละเอียด สายตาของเขาหยุดที่ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนอยู่สักพัก
หลิวเหมยหน้าตาสวย อยู่ในประเภทสาวน้อยที่แข็งแรงสุขภาพดี คนละแบบกับเสี่ยวเชี่ยน แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ชายรู้สึกว่าเสี่ยวเชี่ยนโดดเด่นกว่า สุ่ยเซียนที่อยู่ข้างๆก็ไม่เลว
การมองคนสวยล้วนเป็นงานอดิเรกที่มาจากสัญชาตญาณของผู้ชายส่วนใหญ่ แต่หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนแสดงตัวว่าเป็นพี่สะใภ้ของหลิวเหมยแล้ว เขายังกล้าจ้องเสี่ยวเชี่ยนต่อหน้าหลิวเหมยขนาดนี้ เสี่ยวเชี่ยนขอฟันธงเลยว่า ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแต่จะหน้าแย่ สันดานยังแย่ด้วย
“ฉันคิดว่าพวกคุณคงต้องมาคุยกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ เมื่อกี้คำพูดพวกนั้นหมายความว่ายังไงคะ” เสี่ยวเชี่ยนขยี้บรรยากาศให้กระอักกระอ่วนมากกว่าเดิม กดดันให้ครอบครัวหม่าพูดออกมา
“คุยอะไร เธอเป็นแค่ใครกัน ไม่ใช่พ่อกับแม่เขาสักหน่อย เป็นแค่พี่สะใภ้ยังมาทำตัวอวดดีขนาดนี้…” หม่าชิงพูดอย่างไม่ยอม
“ตกลงว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หม่าลุ่ยถาม
“โอ๊ย ก็ไม่มีอะไรหรอก น้องแกพูดอะไรไร้สาระออกไปแล้วถูกพี่สะใภ้ของหลิวเหมยได้ยินเข้า เรื่องนี้จริงๆมันก็ไม่มีอะไรหรอก เด็กวัยรุ่นพูดจาไม่คิด อีกหน่อยแต่งออกไปก็กลายเป็นครอบครัวอื่นแล้ว นี่คุณพี่สะใภ้อย่าโกรธไปเลยนะ อายุยังน้อยกันทั้งนั้น น่าจะเข้าใจดี”” แม่หม่ารีบกู้สถานการณ์ แต่คำพูดฟังแล้วไม่เข้าหูเท่าไร
ความหมายคือ คำพูดของลูกสาวตัวเองอย่าไปถือสา คำพูดพี่สะใภ้อย่างเธอก็ไม่มีน้ำหนักเท่าไร อย่ามาทำเป็นเรื่องใหญ่
หลิวเหมยยังคงงงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสี่ยวเชี่ยนหยิบกระดาษมาเช็ดมือ
“อ้อ เรื่องของวัยรุ่นต้องเข้าใจกันใช่ไหมคะ”
“ใช่ๆๆ”
“ผัวะ” มือของเสี่ยวเชี่ยนฟาดเข้าไปที่หน้าของเสี่ยวชิงอย่างจัง เธอออกแรงเต็มที่ หน้าของเสี่ยวชิงแดงทันที
“ฉันยังเด็กอยู่ ตบแค่นี้คงเข้าใจใช่ไหมคะ จากตรรกะของพวกคุณ ฉันแต่งเข้าตระกูลอวี๋แล้วก็เป็นคนของครอบครัวนี้ ฉันเอาคืนพวกคนที่พูดจาไม่ดีใส่ครอบครัวของฉันคงไม่ผิดใช่ไหมคะ”