ตอนที่ 256 กระดูกมือซ้ายหัก เฉิงเจวี้ยนบันดาลโทสะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อีกสองวันถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย โรงเรียนเพิ่มยามรักษาความปลอดภัยเพื่อรองรับการดูแลของผู้เข้าสอบในช่วงเวลาสอบ

 

 

เมื่อเกิดเรื่องรถบรรทุกเสียหลักที่โรงเรียนอวิ๋นเฉิง มีเสียงกรีดร้องจากนักเรียนและผู้ปกครองดังขึ้น ฝ่ายรักษาการเมื่อได้รับโทรศัพท์ก็รีบรุดมาที่เกิดเหตุทันที

 

 

สถานที่เกิดเหตุในตอนนี้มีนักเรียนโทรแจ้งตำรวจ บางคนกำลังขอความช่วยเหลือจากรถพยาบาล

 

 

ทุกคนรู้ดีว่าฉินหร่านช่วยพวกเขาเอาไว้ คนกลุ่มหนึ่งรีบพุ่งพรวดเขามา

 

 

ปกติเฉียวเซิงเป็นคนไม่จริงจังอะไรมาก แต่ภายใต้สถานการณ์นี้กลับมีสติได้ก่อนหลินซือหราน มือข้างหนึ่งของเขาหยิบโทรศัพท์โทรหาคนผู้หนึ่ง อีกข้างคอยพยุงหลังฉินหร่านไว้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทุกคนอย่ามาเบียดกันตรงนี้ เว้นพื้นที่ว่างไว้ด้วย”

 

 

ภายใต้สถานการณ์วุ่นวายดูเหมือนจะเป็นระเบียบขึ้นเล็กน้อย

 

 

ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมมุงเข้ามา

 

 

ผู้ชายวัยกลางคนหัวเกรียนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา พลางดึงลูกสาวที่อยู่ข้างตัว พูดด้วยความกังวล “หนูไม่เป็นไรนะ?”

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อ รีบไปดูฉินหร่านก่อน” ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมเหิงชวน ย่อมรู้จักคนที่มีชื่อเสียงอย่างเฉียวเซิงและฉินหร่านดี

 

 

ชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นหมอ เมื่อได้ยินลูกสาวพูดเช่นนั้นจึงพยักหน้าก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปหาฉินหร่านฝั่งนั้น “ทุกคนถอยไป ผมเป็นหมอ ให้ผมเข้าไปดูนักเรียนที่บาดเจ็บหน่อยครับ!”

 

 

บนตัวของฉินหร่านยังมีเลือดออก เมื่อได้ยินว่าที่นี่มีหมอ ทุกคนจึงตะโกนเปิดทาง เพื่อให้ชายกลางคนเดินเข้ามา

 

 

หลินซือหรานและเฉียวเซิงต่างถอยออกมา สายตามองไปยังชายกลางคนผู้นั้น

 

 

วันนี้ฉินหร่านไม่ได้ใส่เสื้อยืดสีขาว เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแดงลายสก็อต มีคราบเลือดติดบนเสื้อแต่ไม่ชัดเจน ทว่าแขนเสื้อสามารถเห็นว่ามือซ้ายและแขนของเธอดูแปลกไปเล็กน้อย

 

 

ชายวัยกลางคนเป็นหมอศัลยกรรมกระดูก มองดูก็รู้ว่าเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเธอ

 

 

“มือขวาของเธอรู้สึกยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ

 

 

“อา” ฉินหร่านได้สติกลับมา เธอก้มหัว มองดูมือขวา ที่มีรูปใบหนึ่งยังถือไว้อยู่ในมือ และมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย เธอเงยหน้าตอบอย่างเยือกเย็น “ไม่เป็นไรค่ะ”

 

 

“งั้นก็ดีแล้ว” ชายกลางคนผงกหัว ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

 

 

จากนั้นหันไปมองเฉียวเซิงและหลินซือหราน “พวกเธออย่าโดนแขนซ้ายของคนไข้ ไม่แน่ว่าบนตัวยังมีแผลถลอกอยู่ด้วย”

 

 

เซียวเฉิงและหลินซือหรานไม่ได้ตอบอะไร น้ำเสียงของชายวัยกลางคนยังคงกึกก้องอยู่ในหูของพวกเขา ราวกับเสียงของฟ้าผ่าในที่แจ้ง

 

 

ยามรักษาของโรงเรียนรีบเข้ามาควบคุมคนขับรถบรรทุก และรักษาพื้นที่เกิดเหตุ

 

 

“พวกเราออกไปกัน” เสียงของคนรอบข้างดังเกินไป หัวคิ้วของฉินหร่านขมวดเข้าหากัน ก่อนเก็บรูปใส่กระเป๋า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

ราวกับว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บอะไร

 

 

หลังจากพวกเขาเดินไปแล้ว ลูกสาวของชายวัยกลางคนจึงกล้าเดินเข้ามา “พ่อ ฉินหร่านเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”

 

 

“ยังดีอยู่ แค่บาดเจ็บที่มือซ้าย” ชายวัยกลางคนก็เคยได้ยินลูกสาวของเขาพูดถึงชื่อฉินหร่านตอนอยู่บ้าน โดยเฉพาะช่วงนี้มักพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ว่ากันว่าเป็นนักเรียนที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วคนหนึ่ง เหมือนว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่สอบได้ที่หนึ่งทุกวิชา

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจอย่างเบาใจ

 

 

ดีที่มือขวาไม่ได้บาดเจ็บ มิเช่นนั้นคงน่าเสียดาย

 

 

“มือซ้ายเหรอคะ?” ลูกสาวของเขาตกตะลึง

 

 

ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก้มหน้าถามลูกสาว “ทำไมรึ?”

 

 

ลูกสาวของเขามองดูฉินหร่านที่เดินจากไป ดวงตาตกอยู่ในภวังค์ ก่อนพึมพำออกมา “เธอเป็นคนถนัดซ้ายนี่…”

 

 

**

 

 

พวกของฉินหร่านเดินออกมาจากประตูใหญ่ได้ห้าถึงหกนาที

 

 

ด้านนอกประตูมีเฉิงมู่ที่นั่งรอฉินหร่านกับเฉียวเซิงในรถฝั่งที่นั่งคนขับ ขณะเดียวกันมีคนจำนวนไม่น้อยที่กระจายตัวออกมาจากเหตุวุ่นวายในเขตโรงเรียนและพูดถึงเรื่อง “รถบรรทุก”

 

 

ทั้งยังมีคนจำนวนหนึ่งเข้าไปดูสถานการณ์วุ่นวายในโรงเรียน

 

 

ไม่ไกลจากที่นั่นมีเสียงของรถพยาบาลดังเข้ามาเรื่อยๆ

 

 

เฉิงมู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปลอดภัย เขาดึงกุญแจรถออก จากนั้นลงจากรถเพื่อเข้าไปหาฉินหร่าน หลินซือหรานทั้งสามคนตามถนนหลัก

 

 

เพิ่งเดินเลี้ยวเข้าไปก็เห็นกลุ่มคนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

 

 

มองเห็นเฉียวเซิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงคนจำนวนมาก ก็ได้กลิ่นคาวราวกับเลือดก็ไม่ปาน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “คุณหนูฉิน?!”

 

 

ใบหน้าของฉินหร่านยังคงปกติ เธอส่ายหัว พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นเคย “ไปโรงพยาบาลก่อน”

 

 

เมื่อเฉียวเซิงเห็นเฉิงมู่ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกช้าๆ “นายพาเธอไปโรงพยาบาล เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”

 

 

ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์หาทางบ้านสกุลเฉียวแล้ว การปรากฏตัวของคนขับรถบรรทุกคันนี้นับว่าแปลกเกินไป

 

 

เสียงของรถพยาบาลดังเข้ามาเรื่อยๆ เฉิงมู่ย่อมไม่ให้ฉินหร่านไปกับรถพยาบาล เขาหยิบกุญแจรถและโทรศัพท์หาเฉิงเจวี้ยน

 

 

อีกฝั่งหนึ่ง เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์ขณะนั่งอยู่ในห้องรับรองพิเศษกับเจียงหุย

 

 

ทั้งสองคนนั่งคุยอยู่กับบุคคลสำคัญหลายท่านของอวิ๋นเฉิง

 

 

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน โทรศัพท์ในมือของเฉิงเจวี้ยนก็ดังขึ้น ชื่อของเฉิงมู่ปรากฏชัดขึ้นมาบนโทรศัพท์

 

 

เพราะตอนนี้เฉิงมู่น่าจะอยู่กับฉินหร่าน ทำให้ตอนนี้เฉิงเจวี้ยนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว

 

 

หากโทรศัพท์หาเขา ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินหร่านทั้งสิ้น

 

 

ลำตัวของเฉิงเจวี้ยนตั้งตรง พลางยื่นมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ได้เดินออกไปด้านนอก แต่รับสายในทันที

 

 

เมื่อฝั่งนั้นพูดมาประโยคหนึ่ง ใบหน้าในตอนนั้นที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายในตอนแรกพลันมืดมนลง

 

 

แสงไฟในห้องรับรองไม่ได้สว่างจ้า แม้แอร์ในห้องเปิดอยู่ แต่ใบหน้าของเขาในเวลานี้กลับซึมไปด้วยน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ ราวกับว่าอุณหภูมิติดลบหลายองศา

 

 

เจียงหุยที่เดิมพูดคุยเสียงเบากับคนด้านข้าง สัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวผิดปกติเล็กน้อย เขาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยน

 

 

“ขอโทษที พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”เขายังไม่ได้กดวางสาย พลางมองไปยังเจียงหุยด้วยแววตามืดสนิทและใบหน้าราวกับน้ำแข็งค้าง

 

 

ก่อนก้มหัวอย่างเป็นมารยาท ไม่ต้องรอให้เจียงหุยถาม เขาก็ถือโทรศัพท์แล้วเดินออกไป ท่าทีและน้ำเสียงดูลนลานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 

ในห้องรับรองพิเศษ เจียงหุยและคนอื่นๆ ต่างมองตากัน

 

 

“คือว่านายน้อยเฉิง…” มีคนหนึ่งหันมาถามเจียงหุย

 

 

เจียงหุยมองดูร่างอันเยือกเย็นที่เลือนหายไปในสายตา พลางส่ายหัวหรี่ตา

 

 

แม้พวกเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน แต่เพราะเรื่องของอายุ เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจเฉิงเจวี้ยนนัก เพียงได้ยินคนพูดถึงเรื่องท่านชายแห่งบ้านสกุลท่านนั้นอยู่บ่อยๆ

 

 

เฉิงเจวี้ยนคนนี้มีชื่อเสียงนอกเมืองหลวง คนวงในต่างเรียกเขาอย่างเคารพเป็นเสียงเดียวกันว่านายท่านเฉิง คนที่ได้เจอเขาตัวเป็นๆ นับว่าน้อยมาก

 

 

คนวงในต่างประเมินว่าเขาคือคน “ขี้เกียจ” คนหนึ่ง มีข่าวลือไม่น้อยในเมืองหลวงว่าเขาเป็นคนไม่เอาการเอางาน ทว่ามีเพียงน้อยคนรู้ว่าเฉิงเจวี้ยนผู้นี้เป็นพวกเสือซ่อนเล็บ ต่อหน้าคนมากมายก็สามารถรับมือได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 

เจียงหุยประคองถ้วยชา สายตามองลงมาด้วยความสงสัย แต่แทบไม่เคยเห็นว่าเขามีอารมณ์เปลี่ยนไปขนาดนี้เลย…

 

 

ก็ไม่ใช่ไม่เคยเห็นหรอก…

 

 

นิ้วมือของเจียงหุยเคาะอยู่บนขอบถ้วย ทันใดนั้นในหัวก็คิดถึงคนผู้นั้นแวบหนึ่ง

 

 

**

 

 

โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอวิ๋นเฉิง

 

 

เฉิงมู่ขับรถตรงมายังที่แห่งนี้

 

 

ระหว่างทาง เฉิงเจวี้ยนได้โทรหาทางโรงพยาบาล

 

 

เมื่อเฉิงมู่พาฉินหร่านมาถึงโรงพยาบาล ก็มีหมอกลุ่มหนึ่งออกมายืนรับอยู่ด้านนอกแล้ว

 

 

โรงพยาบาลชั้นที่28คือชั้นที่เฉิงเจวี้ยนใช้เงินติดตั้งสายการผลิตใหม่อีกครั้ง ทำให้ในโรงพยาบาลต่างมีอุปกรณ์ครบครัน

 

 

แพทย์ที่ดูแลครั้งนี้จึงไม่ได้พาฉินหร่านไปเบียดเสียดกับผู้ป่วยคนอื่น ก่อนตรงไปยังชั้น28 เดินพลางพูดไปว่า “ไปตรวจเช็กร่างกายก่อน นายท่านกำลังรีบตามมา”

 

 

เนื่องจากรู้ว่าคนไข้ฉินหร่านคนนี้เป็นคนสำคัญยิ่ง หน้าผากและหลังของเขาจึงซึมไปด้วยเหงื่อเย็น

 

 

มีแพทย์ดูแลและพยาบาลหลายคนเดินเข้าไป

 

 

ส่วนเฉิงมู่และหลินซือหรานรออยู่ด้านนอก

 

 

ด้านนอกมีเก้าอี้น้ำเงินวางอยู่แถวหนึ่ง ทว่าทั้งสองคนไม่ได้นั่งลง หลินซือหรานยืนพิงผนัง แม้มีแอร์เปิดอยู่ตลอดทาง แต่หน้าผากของเธอกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เส้นผมเหนียวเหนอะหนะบนหน้าผากกระจัดกระจายเต็มหน้า

 

 

“มือซ้ายของหรานหร่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”ตั้งแต่เกิดเรื่องรถบรรทุกจนถึงตอนนี้ ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอยังคงไม่ได้สติครบถ้วน

 

 

เฉิงมู่ส่ายหัว ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก

 

 

ห้านาทีผ่านไป ประตูห้องตรวจร่างกายเปิดออก เจ้าหน้าที่แพทย์เดินออกมาจากด้านใน ช่วงเวลานี้เองเห็นได้ชัดว่ารอบตัวเงียบสงบลง

 

 

“กระดูกมือซ้ายหัก มีรอยขีดข่วนบางส่วน บริเวณน่องมีบาดแผล ส่วนเรื่องอื่นไม่มีอะไรเป็นภัยต่อชีวิตคนไข้ครับ” พูดจบ แพทย์ผู้ดูแลก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

เฉิงมู่รู้สึกอกสั่นขวัญผวาในใจ เนื่องจากคำพูดของหมอ ทำให้อารมณ์ดำดิ่งลง

 

 

กระดูกหัก…

 

 

พูดให้ถูกคือต้องใช้เวลาอีกสี่อาทิตย์ถึงกลับมาดีขึ้น

 

 

ทว่าอีกสองวันคือวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว…

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังคงรีบวิ่งตามมา ในมือของเฉิงมู่ยังถือโทรศัพท์ไว้ เฉิงเจวี้ยนกำลังรอโทรศัพท์จากเขา แต่เวลานี้ เขาไม่รู้เลยว่าควรพูดอย่างไร

 

 

ชั้น28 ลิฟต์หยุดลง เมื่อประตูเปิดออก ร่างเย็นชาสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งเดินออกมา

 

 

เฉิงเจวี้ยนทำงานในโรงพยาบาลเคยผ่าตัดให้คนไข้มานับไม่ถ้วน

 

 

หมอที่อยู่ด้านนอกล้วนรู้จักเขา ในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เป็นเขาที่ทำการผ่าตัด ผู้ที่รับผิดชอบการตรวจร่างกายให้ฉินหร่านย่อมเป็นเขาเช่นกัน

 

 

เฉิงเจวี้ยนเป็นคนสุขุมมาโดยตลอด ไม่ว่าการผ่าตัดจะเจอกับเรื่องอะไร เขาก็ทำอย่างไม่รีบร้อน หัวคิ้วไม่เคยเลิกขึ้นสักครั้ง

 

 

แต่มาครั้งนี้ ผู้ดูแลเห็นท่าทางและหน้าตาอันประณีตกำลังอดทนอดกลั้น เต็มไปด้วยอารมณ์และความโหดเหี้ยม

 

 

“นายท่านเจวี้ยน คุณหนูฉินยังคงตรวจร่างกายอยู่ข้างในครับ หมอบอกว่ากระดูกของเธอหัก…”เฉิงมู่พูดขึ้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองประตูที่กำลังเปิดออก ไม่ได้รีบเข้าไปในทันที พลางยื่นมือปลดกระดุมเม็ดหนึ่งที่ปกเสื้อ

 

 

ขณะนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นผู้บัญชาการเฉียน มุมปากของเขาโค้งขึ้นราวกับว่ารอยยิ้มมีเลือดเจือปนอยู่ พลางตอบเบาๆ “คนลงมือล่ะ? ไม่ได้พามันมาด้วยหรือ?”