ตอนที่ 257 กระตุกหนวดเหล่าหัวหน้าใหญ่

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิง

 

 

หลังจากที่ทางด้านของฉินหร่านไปแล้ว บ้านสกุลเฉียวก็รีบมาทันที

 

 

“เดี๋ยวฉันจะเอาตัวคนขับไป” เฉียวเซิงมองดูคนขับที่กำลังถูกดึงลงมาจากรถด้วยสีหน้าเย็นชา

 

 

สกุลเฉียวร่ำรวยได้ด้วยการทำอสังหาริมทรัพย์ เป็นสกุลที่มีหน้ามีตาในอวิ๋นเฉิง หากเขาต้องการคนไป ใครก็ไม่กล้าพูดอะไร

 

 

เมื่อผู้บัญชาการเฉียนมาถึง เฉียวเซิงส่งตัวคนขับล่วงหน้าไปโรงพยาบาลฝั่งนู้นก่อนแล้ว

 

 

ตอนนี้พื้นที่ถูกปิดล้อม แถบป้ายเตือนภัยถูกจัดวาง มีคนบางส่วนมองการตรวจตราอยู่ตลอดทาง คนกลุ่มหนึ่งกำลังตรวจสอบสาเหตุของเรื่องนี้ และได้รับเบาะแสเล็กน้อย

 

 

“ผู้บัญชาการเฉียน เด็กนั่นพาผู้ต้องสงสัยไปแล้วครับ” เมื่อเห็นผู้บัญชาการเฉียนเดินมา หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานนี้รีบรายงานผู้บัญชาการเฉียนทันที

 

 

เนื่องจากเกี่ยวข้องกับฉินหร่าน ผู้บัญชาการเฉียนกับเฉียวเซิงก็เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง ย่อมเป็นคนรู้จักกัน

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้บัญชาการเฉียนเพียงผงกหัว ไม่พูดอะไร ก่อนเดินไปหาเฉียวเซิงเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

 

“มือซ้ายของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ” เฉียวเซิงดูโทรศัพท์ที่หลินซือหรานเพิ่งส่งผลการตรวจมาให้เขา เขากัดมุมปากแน่นราวกับน้ำแข็งค้าง

 

 

“มือซ้ายเหรอ?” หัวคิ้วของเขามุ่ยเข้าหากัน “เข้าใจแล้ว”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนเป็นคนที่เชื่อใจได้ เฉียวเซิงจึงมอบหมายให้ผู้บัญชาการเฉียนอยู่ที่นี่ ก่อนรีบไปหาฉินหร่านที่โรงพยาบาล

 

 

โชเฟอร์ของบ้านสกุลเฉียวรอเฉียวเซิงขึ้นรถ ก่อนมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลทันที

 

 

เมื่อรถกำลังเลี้ยวออกไป เฉียวเซิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

 

เขามองออกไปทางหน้าต่าง เขารู้ว่าผู้บัญชาการเฉียนรวมทั้งเฟิงโหลวเฉิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับฉินหร่าน โดยหลักแล้วเมื่อรู้ว่ามีคนทำร้ายมือซ้ายของฉินหร่าน ทำให้เธอต้องพลาดการสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสองวัน ผู้บัญชาการเฉียนน่าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและรู้สึกเสียดายถึงจะถูก

 

 

แต่เมื่อครู่จะบอกว่าผู้บัญชาการเฉียนรู้สึกโกรธก็โกรธอยู่ ทว่า…อารมณ์เสียดายดูเหมือน…

 

 

เฉียวเซิงขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขาจะมองข้ามอะไรไป

 

 

**

 

 

ณ คฤหาสน์ใจกลางเมือง

 

 

ตอนนี้นักเรียนมัธยมปลายล้วนหยุดเรียนหมดแล้ว ไม่กี่วันมานี้ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่ต้องเข้างานที่ห้องพยาบาลอีก จึงไปหาฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนที่คฤหาสน์แต่เช้า

 

 

กลับไม่เจอใครอยู่ที่คฤหาสน์

 

 

เขานั่งบนโซฟา ยื่นมือแตะต่างหู สายตามองไปยังซือลี่หมิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล พลางใช้มืออีกข้างเท้าคาง ถามอย่างเลื่อนลอยว่า “เสี่ยวซือ นายเป็นลูกน้องของนายท่านเจวี้ยน แล้วตอนนี้ก็ติดตามคุณหนูฉินหร่านด้วยเหรอ? ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่เคยเห็นนายเลยล่ะ?”

 

 

ก่อนซือลี่หมิงกลับประเทศมา อะไรควรพูดไม่ควรพูด เฉิงสุ่ยเคยกำชับเขาอย่างละเอียดไว้แล้ว

 

 

ในเวลานี้เพียงต้องตอบกลับอย่างมีมารยาทไปว่า “นายน้อยลู่ ผมเป็นผู้ติดตามของคุณชายเฉิงสุ่ยครับ”

 

 

“อ้อ” ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

 

บ้านสกุลเฉิง มีคุณชายจิน มู่ สุย หั่ว และคุณชายถู่ ได้ยินมาว่าเฉิงมู่จะถูกให้ความสำคัญที่สุด ส่วนคุณชายคนอื่นๆ ก็ถูกตัดหางไปแล้ว คนที่ถูกตัดหางแต่ยังกลับเข้าไปได้ นับว่าสุดยอดเลยจริง ๆ

 

 

“กลับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” ลู่จ้าวอิ่งมองซือลี่หมิงแวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

 

 

คนที่สามารถติดตามฉินหร่านได้นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ แน่นอนว่าคนที่สามารถเรียกชื่อฉินหร่านได้อย่างติดปากย่อมมีไม่มากเช่นกัน ซือลี่หมิงก็นับถือในตัวลู่จ้าวอิ่งในจุดนี้

 

 

ลู่จ้าวอิ่งส่งข้อความหาฉินหร่าน ถามว่าเธอจะกลับมาได้กี่โมง แต่ฉินหร่านก็ไม่ได้ตอบกลับมา

 

 

เขานอนอยู่บนโซฟา พูดคุยกับพ่อบ้านเฉิงว่ากลางวันนี้เขาอยากกินอะไร

 

 

พ่อบ้านเฉิงจดจำเอาไว้เพื่อบอกให้คนในครัวจัดเตรียม

 

 

เขาหันหลังกำลังเดินเข้าครัว ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากห้องรับรองน้ำชา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งห้องน้ำชา พลางเดินเข้าไปรับอย่างไม่รีบร้อน เขาอยู่ห่างจากโทรศัพท์ไม่มาก ก่อนตรงไปรับสาย พลางหันไปพูดกับพ่อบ้านเฉิง “แน่นอนว่าคุณหนูฉิน…”

 

 

คำว่า “หร่าน” ยังไม่ทันพูดออกมา ก็พลันชะงักไป

 

 

ราวกับว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของลู่จ้าวอิ่งก็มืดมนลงในพริบตา

 

 

เขาวางโทรศัพท์เสียงดัง “ปัง” ก่อนวางเท้ายืนขึ้นหยิบกุญแจรถบนโต๊ะ แล้วเดินออกไป

 

 

ในฐานะที่ลู่จ้าวอิ่งเป็นลูกชายคนเล็กแห่งบ้านสกุลลู่ ก็มีนิสัยตามใจตัวเองมาโดยตลอด จะว่าไปแล้วก็คล้าย

 

 

ฉินหร่านอยู่บ้าง

 

 

เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนพ่อบ้านเฉิงตกตะลึงไป “นายน้อยลู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเดินไปถึงประตูใหญ่แล้ว เมื่อได้ยินพ่อบ้านเฉิงถาม ขาของเขาก็หยุดชะงัก จากนั้นหันมาพูดขณะที่ปากคีบบุหรี่อยู่ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “มีคนรนหาที่ตาย”

 

 

**

 

 

ณ โรงพยาบาล

 

 

เมื่อลู่จ้าวอิ่งมาถึง เฉิงเจวี้ยนและเฉิงมู่ล้วนอยู่ที่ระเบียง บนกึ่งกลางระเบียงมีชายรูปร่างท้วมคนหนึ่งนอนอยู่

 

 

แน่นอนว่าเป็นคนขับรถคนนั้น

 

 

ส่วนหลินซือหรานอยู่เป็นเพื่อนฉินหร่านที่ห้องพักผู้ป่วย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งลงมาจากลิฟต์ เขาหยิบบุหรี่โยนทิ้งถังขยะ ก่อนดินไปฝั่งนั้น

 

 

“นายท่านเจวี้ยน เป็นหมอนี่เหรอ?” เขายกเท้าเตะเข้าไปที่ชายคนนั้น พลางยิ้มอย่างเย็นชา

 

 

บอดีการ์ดของสกุลเฉียวที่อยู่ด้านข้างรีบเปิดปากพูดทันที “หมอนี่ปากหนักมากครับ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว”

 

 

เฉิงเจวี้ยนช่วยฉินหร่านจัดการแผลเสร็จ ก็เพิ่งออกมาได้ไม่นาน เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงไม่พูดอะไร เพียงนั่งหมอบลงอย่างช้าๆ ก่อนยื่นมือคว้าปกเสื้อของชายคนนั้นไว้ บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้น

 

 

ดวงตาของเขาล้วนมืดสนิท ราวกับความมืดมิดในราตรีที่ไม่มีวันสว่าง “เป็นแกที่ขับชนสินะ?”

 

 

คนขับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ถูกแล้ว”

 

 

“ไม่มีใครคอยบงการแกอยู่หรือ?”

 

 

คนขับคิดถึงคำพูดที่คนผู้นั้นเคยบอกกับเขาว่าต่อให้ถูกซ้อมจนตายก็อย่ายอมรับเด็ดขาด แม้จะเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน คุณก็สามารถจัดการยังไงกับผมก็ได้ “ไม่ครับ ล้วนเป็นเบรกของผมขัดข้อง หากมีความผิดอะไรผมจะรับไว้ทั้งหมดเอง”

 

 

อีกฝั่งพูดแบบนี้แล้ว เขาไม่คิดจะหนีและไม่มีเจตนาฆ่า เพียงเพราะเบรกรถขัดข้องเท่านั้น ไม่อาจตัดสินใจอะไรได้มากกว่านี้

 

 

หากเรื่องนี้จบลงได้แล้วอีกฝ่ายให้เงินสองล้านแก่เขา ก็นับว่าคุ้ม

 

 

“ได้” เฉิงเจวี้ยนปล่อยมือ เขาพยักหน้าช้าๆ

 

 

เมื่อเขายืนขึ้น เฉิงมู่ก็ยื่นเอกสารล่าสุดฉบับหนึ่งที่เพิ่งปริ้นออกมาส่งให้เขา

 

 

คนขับรถที่นอนอยู่ หน้าผากมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนจัดการอย่างระมัดระวังเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเอกสารที่อยู่ในมือของเฉิงเจวี้ยน…

 

 

ด้านหลังกระดาษมีรูปปริ้นอยู่หลายใบ ดูออกว่าเป็นผู้หญิงกับเด็กคนหนึ่ง

 

 

แม้รูปร่างไม่ชัดเจน ทว่าคนที่คุ้นเคยดีมองแวบเดียวก็นึกออก

 

 

สีหน้าของคนขับรถเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “เดี๋ยวก่อน ผมพูด…”

 

 

เฉิงเจวี้ยนทิ้งเอกสาร พลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งเช็ดมือตัวเองอย่างไม่รีบร้อน

 

 

เฉิงมู่อุดปากของคนขับรถไว้ ก่อนลากมันลงมา ใบหน้าของเขาทั้งหนักแน่นและไร้อารมณ์ มีเพียงรอยยิ้มอันเยือกเย็นเท่านั้น “นายท่านเจวี้ยนให้โอกาสแกไปครั้งนึงแล้ว ในเมื่อไม่ยอมพูดเอง งั้นก็ไม่ต้องพูดไปตลอดชีวิต”

 

 

ความจริงได้ปรากฏแล้ว…

 

 

ในตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เฉิงเจวี้ยนไม่สามารถตรวจสอบได้

 

 

เฉิงเจวี้ยนผู้นี้มีวิธีการโหดเหี้ยมมากมาย ล้วนมาจากประสบการณ์อย่างโชกโชนในเมืองหลวง

 

 

เมื่อคนขับรถได้ฟัง ยิ่งต้องเพิ่มแรงขัดขืน ทว่าเฉิงมู่ในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน

 

 

ไม่ว่าจะอีกสักกี่สิบคน ก็อย่าคิดจะหนีจากน้ำมือเขาไปได้

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองต่ำ ไม่ใช่เพราะสนใจในสิ่งที่คนขับรถพูด หลังจากเช็ดมือเสร็จ ก็ไม่ได้เดินเข้าไป เพียงยืนพิงกำแพงพลางก้มหน้าหยิบบุหรี่มวลหนึ่ง ขณะที่คลายหัวคิ้วลง

 

 

ทว่าคนที่คุ้นเคยกับเขาต่างรู้ดี ตอนนี้ส่วนลึกในใจของเขาอยู่ในขอบเขตที่อันตรายอย่างยิ่งยวด

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเขา และไม่ได้ถามว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่ช่างกล้าทำอะไรแบบนี้ จึงเดินไปหาฉินหร่านที่ห้องผู้ป่วยใน ในเวลาเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้คนอื่นว่าจะออกไป

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ข้างถังขยะ บุหรี่มอดไหม้แล้วก็ไม่ได้เอาเข้าปากสักครั้ง เพียงมองก้นบุหรี่ที่กำลังถูกเผาอย่างช้า ๆ

 

 

ก่อนมีเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋าดังขึ้น เขารับสายทันที

 

 

เป็นนายท่านเฉิง

 

 

“พ่อบ้านเฉิงบอกกับพ่อแล้ว” น้ำเสียงของนายท่านเฉิงฝั่งนั้นฟังดูเยือกเย็น ริ้วรอยบนใบหน้าย่นลึก “เธอเข้าร่วมการสอบหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เรื่องที่เหลือเดี๋ยวพ่อจะจัดการเอง”

 

 

กลิ่นอายความโหดเหี้ยมปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฉิงเจวี้ยนที่ตลบอบอวลด้วยควันบุหรี่

 

 

เขาทำทีหัวเราะ ตอบด้วยน้ำเสียงอันเบา “ไม่ต้องหรอกพ่อ”

 

 

เขาตัดสายโทรศัพท์ เดินเข้าห้องผู้ป่วยใน

 

 

ฉินหร่านไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เธอได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงทำให้คนในอวิ๋นเฉิงแตกตื่น แม้แต่หัวหน้าใหญ่หลายๆ คนในเมืองหลวง ล้วนขวัญผวากันไปหมด

 

 

**

 

 

ห้องผู้ป่วยใน ลู่จ้าวอิ่ง หลินซือหราน และเฉียวเซิงล้วนอยู่ที่นั่น พ่อบ้านเฉิงตามหลังจ้าวลู่อิงมาติดๆ ทั้งยังนำสำรับอาหารมาด้วย ด้านในบรรจุซุปกระดูกและกับข้าวอยู่

 

 

เขานำกล่องข้าววางบนโต๊ะ ก่อนนำกับข้าวออกมาวาง พลางใช้หางตามองอย่างระมัดระวังว่าจะโดนเฝือกที่แขนของฉินหร่านเข้า ขณะที่ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด

 

 

“คุณหนูฉิน ดื่มน้ำซุปก่อนครับ” พ่อบ้านเฉิงยื่นน้ำซุปที่อุ่นกำลังดีให้ฉินหร่าน

 

 

หลินซือหรานที่นั่งข้างฉินหร่าน พูดคุยกับฉินหร่านเรื่องข่าวของคนขับรถคนนั้นอย่างออกรสออกชาติ

 

 

ทุกคนที่เข้ามานานแล้วต่างระมัดระวังยิ่ง รวมถึงลู่จ้าวอิ่ง ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องมือซ้ายของฉินหร่าน

 

 

เพราะไม่อยากทิ่มแทงใจของฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านยื่นมือมารับน้ำซุป ทุกคนไม่รู้สึกว่ามือของเธอเจ็บมากเพียงใด ใบหน้าไม่มีสีหน้าของความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพียงแค่ดื่มน้ำซุปและกินข้าวอย่างเชื่องช้า

 

 

หลินซือหรานที่นั่งอยู่ด้านข้างมองการเคลื่อนไหวอยู่ค่อนวัน ที่สุดก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เธอมองฉินหร่าน ก่อนพูดอย่างทนไม่ได้ว่า “หรานหร่าน ถ้าเธออยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ! อย่าทำเป็นเข้มแข็งเลย”

 

 

“ร้องไห้?” ฉินหร่านเงยหน้าด้วยความประหลาดใจยิ่ง “ฉันร้องไห้เนี่ยนะ?”

 

 

“ปีนี้เธอเข้าร่วมการสอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” หลินซือหรานหยิกมือ “ฉินคิดๆ ดูแล้ว ไม่แน่ว่าปีนี้ฉันอาจจะสอบมหาลัยเมืองหลวงไม่ติด ฉันจะเรียนซ้ำชั้นกับเธอเอง!”

 

 

เฉียวเซิงเกาหัว เขาไม่กล้าเรียนซ้ำชั้นกับฉินหร่าน เดิมพ่อของเขาก็บอกว่าเขาเป็นพวกสำมะเลเทเมาอยู่แล้ว หากยังเรียนซ้ำชั้นอีก พ่อของเขาคงตัดหางปล่อยวัดเป็นแน่

 

 

พ่อบ้านเฉิงเก็บกองซี่โครงหมูออกมา พูดปลอบใจเบาๆ ว่า “คุณหนูฉิน คุณเข้าร่วมการสอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมกับนายท่านได้คุยกันไว้แล้ว…”

 

 

ทุกคนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายยิ่ง และไม่มีท่าทีเสียดายแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อจิตใจของฉินหร่าน

 

 

“ไม่ใช่…” ในที่สุดฉินหร่านก็หาโอกาสพูดได้ เธอมองทุกคนด้วยความประหลาดใจ “ทำไมฉันถึงเข้าร่วมการสอบไม่ได้ล่ะ?”