ตอนที่ 258 รู้ไหมว่าเธอไปหาเรื่องใคร?!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เมื่อเฉียวเซิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่เกาหัว

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงมองไปยังแขนซ้ายของฉินหร่าน

 

 

เรื่องที่ฉินหร่านเป็นคนถนัดซ้าย…ดูเหมือนทุกคนในโรงเรียนต่างรู้โดยทั่วกัน ตอนนี้มือซ้ายของเธอหุ้มเฝือกอยู่

 

 

หัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูกก็เพิ่งพูดไป ว่าต่อให้ใช้ยาทดลองในห้องทดลองพวกนั้น ฉินหร่านก็ไม่สามารถใช้แขนซ้ายได้ในระยะเวลาหนึ่งอยู่ดี

 

 

แต่ว่าการสอบจะเกิดขึ้นในอีกสองวัน เว้นแต่ว่าจะย้อนเวลาได้ มิเช่นนั้นเธอจะไปสอบได้อย่างไร?

 

 

ตอนได้ยินฉินหร่านพูดแบบนี้ ทุกคนในห้องล้วนรู้สึกว่าเธอจะต้องได้เข้าร่วมการสอบครั้งนี้

 

 

เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจของฉินหร่านจริงๆ ทุกคนต่างรับฟังเธอ แม้แต่หลินซือหรานก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เธอเข้าร่วมการสอบได้แน่นอน เธอต้องทำได้! เธอเก่งจะตายไป!”

 

 

พ่อบ้านเฉิงก็เห็นดีเห็นงามด้วย “คุณฉิน คุณอยากไปสอบเมื่อไหร่ ก็ไปสอบเมื่อนั้นครับ”

 

 

ฉินหร่าน “…”เธอไม่คิดสนใจคนพวกนี้อีก

 

 

เฉิงเจวี้ยนเดินถือยากระปุกหนึ่งเข้ามา ขณะที่โทรศัพท์ถือสายไว้ เขากำลังคุยกับเจียงหุย

 

 

ข่าวเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ในโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิงถูกปิดเอาไว้ ตอนที่เฉิงเจวี้ยนคุยโทรศัพท์ในห้องรับรองพิเศษ ตอนเดินออกมาหน้าตาดูย่ำแย่ยิ่ง แค่คนในอวิ๋นเฉิงพวกนั้นสอบถามข้อมูลเล็กน้อยก็รู้ได้ทันที

 

 

ทำให้ข่าวคราวของฉินหร่านถูกรั่วไหลออกไปด้วย

 

 

“ไม่ใช่อุบัติเหตุ?” เจียงหุยพอรู้เรื่องระหว่างฉินหร่าน ผู้บัญชาการเฉียนและเฟิงโหลวเฉิงอยู่บ้าง ขณะที่กำลังสอบถามเฉิงเจวี้ยนทางโทรศัพท์ก็คิดว่ามีคนอยากแก้แค้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนหลุบสายตาเพราะในห้องมีคนเยอะแบบนี้ เขาจึงตอบกลับเบาๆ ดังสายลมในปุยเมฆว่า “ไม่ใช่”

 

 

“ต้องการลูกน้องไหม?” เจียงหุยหรี่ตา

 

 

เฉิงเจวี้ยนวางยาลง ก่อนมองอยู่แวบหนึ่งจากนั้นหยิบยาสองเม็ดออกมาจากขวดยา มือข้างหนึ่งเปิดฝาขวด “ไม่ต้องให้ถึงมือคนของนายหรอก”

 

 

เขาตัดสาย เจียงหุยที่อยู่ฝั่งนั้นพลันเลิกคิ้ว “แสดงว่ามีคนยั่วโมโหเขาจริงๆ …”

 

 

ใครมันบังอาจกันนะ?

 

 

คนในเมืองหลวงต่างไม่มีใครกล้าหาเรื่องคนผู้นั้น หรือคนคนนี้ไม่กลัวตาย?

 

 

เจียงหุยพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ก่อนหยิบเสื้อโค้ตแล้วยืนขึ้น

 

 

เลขาที่อยู่ข้างตัวเขาก็ถามเขาจะไปไหน เจียงหุยหยิบโทรศัพท์เตรียมโทรหาเจียงตงเยี่ย “จะไปดูอะไรสนุกๆ หน่อย” ช่วงนี้เมืองหลวงไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเลยสักนิด

 

 

เฉิงเจวี้ยนวางสายโทรศัพท์ จากนั้นหยิบยาสี่เม็ดใส่ในกล่องเก็บยาก่อนส่งให้ฉินหร่าน

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองแขนของฉินหร่านด้วยใบหน้าคร่ำเครียด ทั้งรู้สึกกังวลและไม่สบายใจ

 

 

เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนส่งยาให้ฉินหร่าน เขารีบไปรินน้ำทันที

 

 

มือยังไม่ทันจับแก้วน้ำฝั่งนั้น เฉิงเจวี้ยนก็รินน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลางส่งน้ำให้ฉินหร่าน

 

 

เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นฉินหร่านกินทั้งข้าวและยาเรียบร้อย ถึงยืนขึ้น ใช้สายตาส่งสัญญาณให้ลู่จ้าวอิ่งออกไป

 

 

**

 

 

ทั้งสองคนเพิ่งออกมา เฉิงมู่เพิ่งขึ้นมาถึงพอดี

 

 

“แม่มันตายเถอะ” เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินหร่าน ลู่จ้าวอิ่งใช้ความพยายามยับยั้งช่างใจมาโดยตลอด เพราะไม่อาจแสดงความโกรธออกมาได้ เมื่อประตูเปิดออก บุหรี่ที่อยู่ในมือเขาล้วนแหลกคามือ “ใครเป็นคนบงการวะ?!”

 

 

เขาหลับตา

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาโม้เรื่องฉินหร่านกับใครไปแล้วบ้าง

 

 

อีกทั้งคนในโรงเรียนมัธยมเหิงชวนเห็นป้ายเกียรตินิยมของฉินหร่านอยู่บ่อยครั้ง ด้วยคะแนนสูงสุดทั้งห้าวิชาก็สามารถอยู่เหนือทุกคนได้

 

 

เธอพักการเรียนไปครึ่งปี เพิ่งได้กลับมา

 

 

ทุกหัวข้อการสนทนาในโรงเรียนล้วนเกี่ยวข้องกับเธอทั้งสิ้น ยังมีบางคนเริ่มจับตาและเดาไปต่างๆ นานาเรื่องม้ามืดปีนี้

 

 

ฉินหร่านคงเฉิดฉายอยู่บนหน้าคอลัมน์ต่างๆ

 

 

แม้แต่ลู่จ้าวอิ่งก็เตรียมแบนเนอร์ไว้อย่างดีแล้ว ทั้งยังซื้อหน้าจอโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดย่านใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิงไว้แล้วด้วย เพื่อเตรียมฉลองให้ฉินหร่านหลังจากคะแนนออก

 

 

ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?!

 

 

เฉิงมู่ล้วนเข้าใจในความรู้สึกครั้งนี้ของลู่จ้าวอิ่งดี เขายิ้มอย่างเย็นชาและโหดเหี้ยม “เมิ่งซินหราน คนของบ้านสกุลเมิ่งในเมืองหลวง”“ในเมืองหลวงมีบ้านสกุลเมิ่งอยู่ด้วย?” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา มองเฉิงมู่

 

 

“เป็นตระกูลที่แทบจะเอาตัวไม่รอดตระกูลหนึ่ง” ลู่จ้าวอิ่งยังจำคนผู้นั้นได้ เมื่อก่อนเมิ่งซินหรานคือตัวสำรองของสโมสรOST ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับฉินหร่าน ลู่จ้าวอิ่งคิดไม่ถึงว่าคนลงมือในครั้งนี้ ที่แท้บ้านสกุลเมิ่งช่างไม่กลัวตายเลยจริงๆ “กล้ามาก”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งดับไฟบุหรี่ก่อนโยนลงถังขยะ จากนั้นเดินตรงไปยังลิฟต์ “เช็กที่อยู่ของเธอรึยัง?”

 

 

เฉิงมู่เดินเข้าไปด้วย “บ้านสกุลหลินครับ”

 

 

ประโยคแรกของลู่จ้าวอิ่งคือบ้านสกุลเมิ่งจะไม่มีทางอยู่เป็นสุขจนแทบอยากจะให้โดนบีบออกจากเมืองหลวง

 

 

ที่ครั้งนี้กล้ามายุ่งกับฉินหร่าน…

 

 

สกุลเมิ่งก็นับว่าเป็นแมวตัวหนึ่งที่ต่อให้มีเก้าชีวิตก็ไม่พอสำหรับเมิ่งซินหรานที่ใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้

 

 

**

 

 

สกุลหลิน

 

 

ช่วงเวลารับประทานข้าวกลางวัน

 

 

วันนี้หลินจิ่นเซวียนไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในห้องหนังสือเพื่อรีบจัดการเรื่องของตัวเอง

 

 

“มีข่าวอย่างเป็นทางการจากอวิ๋นกวงกรุ๊ปว่าสิ้นเดือนนี้ถึงจะออกมาได้” หลินจิ่นเซวียนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ใส่หูฟังกำลังคุยอยู่กับเฟิงฉือ

 

 

หน้าจอคอมของเขาเป็นระบบสามมิติ

 

 

เฟิงฉือตอบกลับ ก่อนพูดขึ้นว่า “นายรู้เรื่องที่ฉินหร่านได้รับบาดเจ็บไหม?”

 

 

มือข้างหนึ่งของหลินจิ่นเซวียนวางอยู่บนแป้นพิมพ์ อีกข้างวางอยู่บนเมาส์ เมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน ทำให้กดแป้นพิมพ์ผิดไปตัวหนึ่ง ก่อนกดลบ “บาดเจ็บ?”

 

 

เขายืนขึ้น

 

 

พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

อีกสองวันก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เพราะที่บ้านสกุลหลินเวลานี้มีสองคนที่ต้องเข้าสอบทำให้ช่วงนี้บรรยากาศดูตึงเครียดยิ่ง

 

 

แต่ฉินหร่านได้รับบาดเจ็บในช่วงนี้เนี่ยนะ?

 

 

“พ่อฉันไปโรงพยาบาลแล้ว ได้ยินว่ากระดูกมือข้างซ้ายหัก ขยับไม่ได้หนึ่งเดือน เธอเป็นคนถนัดซ้ายนี่?” เฟิงฉือส่ายหัว “พูดแล้วก็แปลก ทำไมเรื่องมันบังเอิญเกิดขึ้นสองวันก่อนสอบ?”

 

 

หลินจิ่นเซวียนยื่นมือไปปิดคอม เดิมที่หน้าตาไม่ได้สนใจแต่อย่างใดได้เคลือบความกังวลไว้ชั้นหนึ่ง “เธออยู่โรงพยาบาลไหน?”

 

 

เขาถามพลางเดินลงบันไดไปด้วย

 

 

ชั้นล่าง

 

 

ในใจของเมิ่งซินหรานแอบหวั่นไหว ไม่มีข่าวคราวใดจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือ ก่อนคนจากด้านนอกผลักประตูเข้ามา

 

 

หลินฉีเรียกเธอ เธอก็ไม่ได้ยิน

 

 

ฉินอวี่กับหลินฉีนั่งรอที่โต๊ะกินข้าว เมิ่งซินหรานเพิ่งนั่งเก้าอี้ หลินจิ่นเซวียนก็เพิ่งลงมาจากด้านบน

 

 

“พี่” ฉินอวี่ยิ้มให้หลินจิ่นเซวียน “พี่จะไปไหนคะ?”

 

 

หลินจิ่นเซวียนเดินไปที่ประตูใหญ่ ก่อนหยุดชะงัก จากนั้นมองไปยังหนิงฉิง “ฉินหร่านโดนรถชน น่าจะเข้าร่วมการสอบไม่ได้แล้ว คุณป้ารู้เรื่องนี้รึเปล่าครับ?”

 

 

เมื่อพูดจบ เมิ่งซินหรานที่เพิ่งนั่งเก้าอี้ก็กำมือแน่น เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตสีหน้าของเธอ

 

 

หนิงฉิงเงยหน้า มองหลินจิ่นเซวียนด้วยความตกใจ “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

 

“กระดูกมือซ้ายหัก แต่ไม่ถึงตาย” หลินจิ่นเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

ท่าทีของหนิงฉิงทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาไม่พูดอะไร ก่อนเดินจากไป

 

 

เมื่อเขาไปแล้ว ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างมองหน้ากัน

 

 

หลินฉีวางตะเกียบลง หัวคิ้วมุ่ยหากันเล็กน้อย พูดด้วยความกังวล “ทำไมถึงเจอเรื่องแบบนี้ตอนใกล้สอบได้? ทั้งยังเป็นมือซ้ายอีก”

 

 

“งั้นปีนี้พี่สาวก็คงเข้าร่วมการสอบไม่ได้แล้วสิคะ?” ฉินอวี่มองแผ่นหลังที่เดินจากไปของหลินจิ่วเซวียน พลางเม้มปาก

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ก่อนยิ้มออกมา

 

 

เมื่อหนิงฉิงได้ยินหลินจิ่วเซวียนว่าฉินหร่านไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอก ในใจรู้สึกสับสนยิ่ง “คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เธอเข้าร่วมการสอบหรือไม่แล้วมันต่างกันตรงไหน?”

 

 

หนิงฉิงคิดพลางมองหน้าฉินอวี่ “อวี่เออร์ เวลานี้ลูกอย่าเพิ่งออกไปไหน สองมือคู่นั้นของลูกเทียบไม่ได้กับคนอื่น ต้องดูแลให้ดี”

 

 

“หนูรู้แล้วค่ะแม่” ฉินอวี่ละสายตาจากหลินจิ่วเซวียน

 

 

ครั้งก่อนที่มือขวาของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ เฉินซูหลานเคยบอกกับตนไว้ ว่าฉินหร่านไม่ใช่คนถนัดซ้าย

 

 

ทว่าเรื่องนี้จะพูดหรือไม่พูด หนิงฉิงก็รู้สึกว่าเปล่าประโยชน์

 

 

ถึงอย่างไรทั้งคะแนนของฉินหร่าน และการพักการเรียนไปครึ่งปีกว่า ต่อให้สอบหรือไม่สอบสำหรับเธอแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่

 

 

ปล่อยให้คนอื่นคิดไปว่าเรื่องที่เธอโดนรถชนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ดังนั้นถึงสอบมหาวิทยาลัยไม่ติด ก็ไม่ใช่เรื่องขายขี้หน้าแต่อย่างใด

 

 

เมิ่งซินหรานที่นั่งอยู่อีกฝั่งเมื่อได้ยินว่าฉินหร่านไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้ ทำให้ดูเหมือนว่ามือของเธอจะคลายลง

 

 

เธอหยิบตะเกียบ ก้มหน้าคีบอาหารเข้าปากคำหนึ่ง ดวงตาที่พริ้มลงล้วนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

 

 

เพราะเมื่อก่อนที่อยู่บ้านสกุลหลินและที่โรงเรียนล้วนถูกฉินหร่านขัดแข้งขัดขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ถูกเตะออกจากสโมสรOST ทำให้ฐานะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่ง่ายเลยที่ฉินหร่านจะพักการเรียนไปตั้งครึ่งปี เมื่อกลับมา ทุกคนในโรงเรียนก็ต่างพูดถึงแต่เธอ

 

 

เดิมเมิ่งซินหรานคิดว่าอาจารย์คงไม่แม้แต่จะเต็มใจจัดการเรื่องคะแนนของฉินหร่าน ใครจะไปรู้ว่าสอบกลางภาคครั้งแรกก็ทำให้เธอประหลาดใจ

 

 

ไม่ว่าจะแข่งเกม การเรียน… ความภาคภูมิใจทั้งหมดที่เมิ่งซินหรานมีล้วนถูกเธอบดขยี้

 

 

เมล็ดพันธุ์แห่งความอิจฉาได้เติบโตกลายเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่าน

 

 

เธอคอยสังเกต หลังจากที่ฉินหร่านกลับมา ก็ไม่เคยเหยียบบ้านสกุลหลินเลยสักครั้ง หลังจากเมิ่งซินหรานเก็บรายละเอียด เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ฉินหร่านและฉินอวี่ไม่ลงรอยกัน

 

 

ไม่มีบ้านสกุลหลินและฉินอวี่คอยหนุนหลัง ฉินหร่านในสายตาของเมิ่งซินหรานถือว่าไม่มีอะไรต้องกลัว

 

 

แม้ว่าตอนนี้สกุลเมิ่งจะไม่ได้ใหญ่โตเหมือนเมื่อก่อน ฉินหร่านก็ไม่ใช่คนที่จะแตะต้องไม่ได้

 

 

เมิ่งซินหรานก้มหน้าดูโทรศัพท์ ทั้งเวยป๋อ โซเซียลต่างๆ ล้วนไม่มีข่าวคราวใด เธอจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอก

 

 

เมื่อไม่มีใครสนใจ ฉินหร่านก็ไม่ได้ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อะไร

 

 

เธอคีบผัก แต่ไม่ได้กินลงไป

 

 

ขณะนั้นยามด้านนอกวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณชายหลิน ท่าไม่ดีแล้ว ด้านนอกมีคนบุกเข้ามาครับ!”

 

 

เมิ่งซือหรานหันไปมองทิศทางด้านนอก ไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มาเพราะเธอ ทั้งไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วตัวเองได้หาเรื่องหัวหน้าใหญ่หลายคนไว้