ตอนที่ 114 มายาบรรพชน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บนชั้นที่หกของหอคอยวิญญาณแห่งโรงเรียนราชสำนัก ฉินอวี้โม่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางสภาวะพลังอันหนาแน่นที่ไหลวนอยู่รอบกาย คุณหนูสี่ตระกูลฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจ

การคาดคะเนของนางนับว่าผิดจากความเป็นจริงไปมาก ความหนาแน่นของพลังในชั้นที่หกนี้มีมากกว่านอกหอคอยถึงสิบเท่า นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าบนชั้นเจ็ดจะมีพลังที่เข้มข้นมากเพียงใด

ก่อนหน้านี้เดิมทีฉินอวี้โม่ต้องการจะก้าวขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดเพราะถึงแม้ว่าชั้นหกจะมีสภาวะพลังอันเข้มข้นมาก แต่นางก็พบว่าร่างกายของตนยังสามารถทนรับความกดดันได้ อย่างไรก็ตามซิวกลับห้ามปรามนางเอาไว้

ถึงแม้จะไม่ทราบเหตุผลที่อสูรแห่งโชคชะตาไม่ยินยอมให้เข้าไปบนหอคอยวิญญาณชั้นสูงสุด แต่ฉินอวี้โม่ก็เชื่อฟังคำแนะนำของมันอย่างไร้เงื่อนไขและหยุดอยู่เพียงชั้นที่หกเท่านั้น

เมื่อได้สำรวจโดยรอบ คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็พบว่าในชั้นที่หกนี้มีห้องอยู่หลายห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก การจะเข้าไปในห้องเหล่านั้นจะต้องใช้หินมายาเพื่อผ่านทาง หากมีคนอยู่ในห้อง คนอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถเปิดเข้าไปในใช้ห้องนั้นได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีคนเข้าไปขัดจังหวะการฝึกฝนที่อยู่ในช่วงสำคัญของผู้อื่น

ฉินอวี้โม่รู้ว่าที่นี่ถูกออกแบบมาอย่างดีและรัดกุม คุณหนูตระกูลฉินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาห้องว่าง

นางเห็นว่ามีห้องอยู่หลายห้องที่ปิดอยู่ นั่นแสดงว่ามียอดฝีมือกำลังฝึกฝนอยู่ภายในนั้น ฉินอวี้โม่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่อยู่ห้องและนางก็ไม่คิดที่จะรบกวน

สตรีโฉมงามหันไปมองโดยรอบอีกครั้งก่อนจะพบห้องว่างห้องหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออก คุณหนูตระกูลฉินจึงเดินตรงไปยังจุดนั้นอย่างไม่รีบเร่ง

เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นร่องไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่บนกำแพงด้านหนึ่งใกล้ ๆ กับประตูห้อง ร่องนี้เกิดจากการเจาะกำแพงเข้าไปเป็นช่อง ดูเหมือนร่องดังกล่าวจะเป็นที่สำหรับวางหินมายาลงไปเพื่อเปิดใช้งานห้องสำหรับฝึก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็นำหินมายาออกมาและวางลงไปทันที

ครืน ! —

เกิดเสียงดังขึ้น ประตูของห้องค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ ฉินอวี้โม่เริ่มทำการเก็บตัวฝึกฝนในทันที

….

“โอ้ สาวน้อยผู้นั้นเลือกฝึกในชั้นที่หกอย่างนั้นรึ”

ภายในห้องลับแห่งหนึ่งในโรงเรียนราชสำนัก มู่อวิ๋นและผู้อาวุโสที่สวมชุดสีดำกำลังเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของคุณหนูตระกูลฉินที่อยู่ภายในหอคอยวิญญาณผ่านทางจอภาพมายา

“ท่านอธิการ ข้ารู้สึกเหมือนว่าฉินอวี้โม่จะอยากขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดแต่มีบางสิ่งหยุดนางเอาไว้ทำให้นางอยู่เพียงที่ชั้นหก”

แน่นอนว่าผู้อาวุโสชุดดำผู้นี้ก็คือคนเดียวกับผู้ที่เคยจับตาดูฉินอวี้โม่ภายในดินแดนต้องห้ามจากทางจอภาพมายาพร้อมกับท่านอธิการมู่อวิ๋นก่อนหน้านี้

“หึ ๆ ดูเหมือนว่านางจะมีความลับบางอย่างอยู่แต่ยังไม่อยากให้พวกเรารู้ จริงอยู่ที่พวกเราในฐานะอาจารย์ผู้ดูแลก็ควรจะรู้ทุกเรื่องราวของนักเรียนในโรงเรียนก็ตาม แต่ตราบใดที่นางยังไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับโรงเรียนก็ปล่อยนางทำตามใจได้ !”

มู่อวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของฉินอวี้โม่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดจะใช้อำนาจทำการสอบสวนนาง เขาเป็นถึงอธิการ การใช้อำนาจล้ำเส้นผู้อื่นเพียงเพราะความอยากรู้ของตัวเองเป็นเรื่องน่ารังเกียจ อย่างไรสาวน้อยตระกูลฉินผู้นั้นก็ยังไม่เคยสร้างความเสื่อมเสียหรือเป็นภัยร้ายให้แก่โรงเรียน

“อีกเรื่อง หนุ่มน้อยโม่ฉือบอกกับข้าว่าให้ดูแลนางเป็นพิเศษ ข้าคิดว่าดรุณีน้อยผู้นี้คงจะเป็นคนสำคัญต่อเขามาก และดูท่าจะมากกว่ากว่าสตรีคนใดในแผ่นดินนี้”

มู่อวิ๋นยิ้มและโบกมือในอากาศครั้งหนึ่ง หลังจากเขาทำเช่นนั้นจอภาพมายาก็ดับมืดลงไป

“ต่อไปนี้เราจะเลิกจับตาดูแม่นางฉินอวี้โม่ ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าหากไม่จับตามองนาง สาวน้อยผู้นั้นจะสร้างความประหลาดใจอะไรให้ข้าได้ชมอีก”

มู่อวิ๋นยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนจะเดินออกไปจากห้องลับอย่างช้า ๆ

“ขอรับท่านอธิการ”

ผู้อาวุโสชุดดำพยักหน้าและเดินตามมู่อวิ๋นออกไป

….

“ว่าไงนะ รุ่นน้องอวี้โม่ไปฝึกฝนอยู่ในหอคอยวิญญาณชั้นหก นี่เจ้าพูดจริงหรือ ?”

เวลานี้ข่าวเรื่องที่ฉินอวี้โม่ขึ้นไปฝึกฝนอยู่ในหอคอยวิญญาณชั้นที่หกได้แพร่สะบัดไปทั่วทั้งโรงเรียนราชสำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ใช่ ข้าจำได้ โรงเรียนมีกฎอยู่ว่าให้นักเรียนใหม่ฝึกฝนได้สูงสุดที่ชั้นสาม”

มีบางคนเริ่มที่จะไม่เชื่อแล้วว่าฉินอวี้โม่มีสถานะเป็นเพียงนักเรียนใหม่ธรรมดาทั่วไปเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็ยากมากที่ทางโรงเรียนจะยกเว้นให้นางเป็นพิเศษเช่นนี้

“เรื่องนี้เป็นความจริง ข้าจะโกหกพวกเจ้าไปเพื่ออะไร ข้าเห็นนางที่ชั้นสี่ด้วยตาของข้าเอง ข้าเดินเข้าไปถามผู้อาวุโสที่เฝ้าทางขึ้นชั้นห้าแล้ว เขาบอกว่านางขึ้นไปยังชั้นที่ห้า พอข้าขึ้นไปที่ชั้นห้า แล้วถามผู้อาวุโสที่เฝ้าทางขึ้นชั้นหก เขาก็บอกว่านางขึ้นที่ชั้นหกเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าหลังจากนั้นข้าไม่รู้ ข้าไม่กล้าตามขึ้นไปเพราะชั้นห้าเป็นขีดจำกัดของข้า”

นักเรียนชายผู้บอกเล่าเรื่องราวพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นแล้วกล่าว

คนอื่น ๆ ที่อยู่ในวงสนทนาต่างก็มองดูบุรุษที่กำลังเล่าเรื่องด้วยสายตาเลื่อมใส เพราะทราบถึงความแข็งแกร่งของสหายดี พวกเขาจึงเชื่อคำพูดของคนคนนี้อย่างไร้ข้อกังขา อย่างไรก็ตามในหัวใจของทุกคนกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

นักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่กี่วันกลับสามารถของดการเข้าชั้นเรียนสามัญได้ เท่านั้นยังไม่พอนางยังได้สิทธิพิเศษจากทางโรงเรียนอนุญาตให้ใช้หอคอยวิญญาณในชั้นที่สูงกว่านักเรียนใหม่ทั่วไปจะใช้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะคาดเดาเหตุผลได้โดยง่าย

ฉินอวี้โม่นับเป็นนักเรียนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทุกคนในโรงเรียนราชสำนักรู้จักและจดจำชื่อของนางได้ภายในสามวันแรกที่ก้าวเข้ามาในรั้วโรงเรียนแห่งนี้

“ช่างเถอะ เราอย่ามัวคิดเรื่องนี้กันเลย รุ่นน้องอวี้โม่อายุเพียงสิบหกปีก็เป็นถึงจอมยุทธ์นภมายาเก้าดาราแล้ว ยิ่งกว่านั้นจุดประสงค์ของการเข้าไปยังหอคอยวิญญาณในครั้งนี้ก็คงจะเพื่อให้ก้าวข้ามไปยังขอบเขตมายาบรรพชนเป็นแน่ ขณะที่พวกเราเข้ามาเรียนกันตั้งนานแล้วแต่กลับยังไม่ถึงแม้แต่ขั้นนภมายาเก้าดาราเลยด้วยซ้ำ ข้าว่าพวกเราเอาเวลาไปฝึกฝนตัวเองกันจะดีกว่า”

คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเพื่อบอกให้ทุกคนเลิกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของฉินอวี้โม่

“ถูกต้อง พวกเราควรจะตั้งใจฝึกฝนกัน รุ่นน้องในปีนี้ต่างก็แข็งแกร่งจนน่ากลัว นอกจากฉินอวี้โม่แล้วก็ยังมีโอวหยางชิงเฟิง เยว่ชิงเฉิง หลิงซวงและเสี่ยวโร่ว คนพวกนี้ก็ไม่ธรรมดา พวกเราควรจะรีบใช้เวลานี้ในการฝึกฝนไม่งั้นก็คงจะถูกรุ่นน้องแซงหน้ากันไปหมดแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง รุ่นพี่อย่างเราก็ควรจะเตรียมตัวจะมุดดินหนีอายได้เลย”

อีกคนหนึ่งยิ้มแล้วเอ่ยสนับสนุนความคิดที่ให้ไปตั้งใจฝึกฝน

อย่างไรก็ตามทางด้านของฉินอวี้โม่และเหล่าสหายนักเรียนใหม่ทั้งหลายกลับไม่รับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้เลย…เป็นเพราะพวกเขาได้แสดงพรสวรรค์อันน่าตกใจออกมาทำให้นักเรียนทั้งโรงเรียนเกิดแรงกระตุ้นจนพากันตั้งใจฝึกฝนมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้บรรยากาศทั่วทั้งโรงเรียนราชสำนักร้อนแรงราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง เปลวเพลิงดังกล่าวคือไฟแห่งความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย

โอวหยางชิงเฟิงฝึกอยู่ในชั้นที่สามของหอคอยวิญญาณเป็นเวลาเจ็ดวันก่อนที่เขาจะออกมาแล้วไปร่วมชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนตามเดิม เสี่ยวโร่วเองก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจากอาจารย์เฒ่าลึกลับผู้สอนวิชาข่ายอาคมอยู่เจ็ดวันเต็มก่อนจะกลับเข้าไปร่วมชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนเช่นกัน

หลังจากผ่านพ้นหนึ่งสัปดาห์แห่งการฝึกอันแสนหฤโหด นักเรียนของอาจารย์ซางกวนทั้งหมดก็ผ่านการทดสอบแรกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ สำหรับนักเรียนผู้มีความมุ่งมั่นแล้ว จางหม่าปู้สองชั่วยามนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยแม้แต่น้อย

นักเรียนใหม่หลายคนที่ผ่านการทดสอบได้ต่างก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาผิดหูผิดตาหากเทียบกับเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดล้วนยังไม่ทราบว่ามีบทเรียนที่โหดร้ายและยากเย็นยิ่งกว่านี้รอคอยพวกเขาอยู่

ในวันนี้ซ่างกวนซวี่ให้วันหยุดทุกคนหนึ่งวันแล้วในวันรุ่งขึ้นจะมีบทเรียนที่เป็นการฝึกในกระบวนท่าใหม่มาให้ทุกคนได้เรียนรู้

เมื่อบทเรียนใหม่เริ่มต้นขึ้น นักเรียนทุกคนของชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนก็พบว่า พวกเขายังคงต้องฝึกฝนท่าจางหม่าปู้กันอยู่แต่เป็นเฉพาะในช่วงเช้าของวัน ส่วนในช่วงบ่ายพวกเขาต้องฝึกซ้อมท่าใหม่ที่เรียกว่า ‘วิ่งแบกน้ำหนัก’

เป็นเพราะนักเรียนในชั้นเรียนนี้ดูหน่วยก้านดีและยังแข็งแกร่งกว่านักเรียนปกติทั่วไปมาก ซ่างกวนซวี่จึงจัดหาน้ำหนักที่คิดว่าเหมาะสมกับพวกเขามาให้

นักเรียนในชั้นเรียนแต่ละคนจะต้องแบกน้ำหนักห้าสิบจิน* และวิ่งรอบโรงเรียนเป็นระยะทางหนึ่งร้อยลี้*

(* 1 จิน(斤) เท่ากับ 500 กรัม, 1 ลี้ (里) เท่ากับ 500 เมตร)

โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วมีประสบการณ์ในการฝึกเช่นนี้มาก่อน จึงเป็นที่แน่นอนว่าคนทั้งสองสามารถทำสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ในครั้งนี้ซ่างกวนซวี่ไม่ได้มอบวันหยุดให้พวกเขา แต่กลับมอบหน้าที่ให้พวกเขาวิ่งนำหัวขบวนและคอยกระตุ้นคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน

ในหนึ่งสัปดาห์นี้ทุกคนต่างก็พยายามกันอย่างหนัก แม้ว่าจะมีบางคนทนไม่ไหวและอยากจะขอลาออก ทว่าก็ถูกเหล่าสหายทั้งหลายช่วยกันปลอบประโลมและให้กำลังใจจนพวกเขาเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นเช่นเดิม ในที่สุดทุกคนต่างก็กัดฟันทนจนผ่านพ้นมาโดยไม่มีผู้สอบตกแม้แต่คนเดียวได้

ทว่าในบทเรียนที่สามนี้ กลับโหดหินเสียยิ่งกว่าบทเรียนที่หนึ่งและสองเสียอีก การฝึกนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ยืนจ้านจวง*’ ซึ่งเป็นการฝึกที่ต้องอาศัยการควบคุมความสมดุลของร่างกายอันสูงส่ง

*ยืนจ้านจวงเป็นท่ายืนพื้นฐานท่าหนึ่งของไท่เก๊ก

เมื่อเห็นผลงานของนักเรียนทั้งชั้นในสองบทเรียนที่ผ่านมา ซ่างกวนซวี่จึงเพิ่มความยากให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือพวกเขาแต่ละคนจะต้องแบกน้ำหนักคนละห้าสิบจินโดยยืนอยู่ในท่าจ้านจวงและคงอยู่ในท่าเช่นนั้นให้ได้จนครบเวลาสองชั่วยามจึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ

การฝึกนี้หลายคนก็ทำได้ดีไม่ต่างจากสองการทดสอบที่ผ่านมา ทว่าก็มีบางคนที่มีความแข็งแกร่งของร่างกายไม่เพียงพอจึงไม่สามารถอดทนได้และสอบไม่ผ่าน

อย่างไรก็ตามอาจารย์ซ่างกวนซวี่ก็ยังไม่ใจร้ายจนเกินไป เมื่อมีนักเรียนที่สอบไม่ผ่านเขาก็เพียงแค่ส่งเด็กเหล่านั้นไปเข้าชั้นเรียนของอาจารย์มู่โหยงเซียวซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาสามัญให้นักเรียนหน้าใหม่อีกท่านหนึ่ง

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ บทเรียนที่สามก็จบลงในที่สุด

เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ สามารถทนผ่านการฝึกในบทเรียนที่สามได้ แม้ว่าจะเหนื่อยล้ามาก ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายย่ำแย่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามพวกเขากลับรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งแกร่งมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า สมรรถภาพทางกายของพวกเขาทุกคนดีเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

เวลานี้ซ่างกวนซวี่ให้วันหยุดพวกเขาหนึ่งวันก่อนที่จะเริ่มต้นบทเรียนสุดท้าย

“เสี่ยวโร่ว คุณหนูของเจ้าเข้าไปเก็บตัวตั้งยี่สิบวันแล้ว เหตุใดถึงยังไม่กลับออกมาอีก?”

ภายในหอพัก เยว่ชิงเฉิงเอ่ยถาม สีหน้าของนางเจือแววกังวลน้อย ๆ

ตอนนี้ฉินอวี้โม่เก็บตัวมากว่ายี่สิบวันแล้ว ไม่มีผู้ใดพบเห็นนางออกมาจากหอคอยวิญญาณเลยแม้แต่คนเดียว คุณหนูช่างหลอมจึงอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าการทะลวงพลังของสหายสาวมีอุปสรรคหรือเรื่องไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นหรือไม่

“คุณหนูชิงเฉิง อย่าห่วงเรื่องคุณหนูอวี้โม่เลย ข้าเชื่อมั่นในตัวคุณหนูของข้า”

เสี่ยวโร่วยิ้ม นางเชื่อมั่นเต็มสิบส่วนว่าฉินอวี้โม่จะต้องก้าวข้ามขอบเขตได้สำเร็จอย่างแน่นอน

หลังจากหนึ่งวันเต็มแห่งวันหยุดสิ้นสุดลง บทเรียนสุดท้ายของชั้นเรียนการฝึกสมรรถภาพทางร่างกายก็เริ่มขึ้น บทเรียนนี้คือการฝึก ‘เอาตัวรอดยามค่ำคืน’ ดังนั้นทุกคนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมแห่งรัตติกาลอันมืดมิด ชั้นเรียนของบทเรียนสุดท้ายนี้ไม่ได้จัดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนราชสำนัก ทว่าอาจารย์ซ่างกวนซวี่พานักเรียนของเขาออกไปยังพื้นที่นอกโรงเรียน

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก ในเวลานี้นางกำลังเพ่งสมาธิกับการทะลวงพลัง การทะลวงพลังข้ามขอบเขตของนางก็ก้าวล่วงมาจนถึงช่วงที่สำคัญที่สุดแล้ว

จนถึงเวลานี้ คุณหนูตระกูลฉินไม่ทราบเลยว่าตัวเองอยู่ในห้องฝึกของหอคอยวิญญาณชั้นที่หกนี้มานานเพียงใดแล้ว ทว่าสตรีผู้มุ่งมั่นก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องเวลามากนัก เพราะบัดนี้นางกำลังเพ่งสมาธิไปกับการดูดซับพลังจากบรรยากาศโดยรอบเข้ามาแปรเปลี่ยนเป็นพลังมายาเพื่อใช้ในการก้าวข้ามขอบเขตอย่างจริงจัง

ช่องว่างระหว่างขอบเขตนภมายาและมายาบรรพชนมีอยู่อย่างมหาศาลโดยแท้ ฉินอวี้โม่คาดว่าพลังมายาที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนางในตอนที่ทะลวงพลังสำเร็จน่าจะมีมากกว่าตอนที่อยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราถึงสิบเท่า

หลังจากพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมายาวนาน ในที่สุดร่างกายของนางก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

ในขั้นตอนแรกของการทะลวงผ่านจากขอบเขตนภมายาไปยังขอบเขตมายาบรรพชน กระแสแห่งพลังมายาภายในร่างจะหมุนวนและไหลเวียนเปลี่ยนเฉดสีไปเรื่อย ๆ ราวกับไร้จุดสิ้นสุด ทว่าในที่สุดกระแสพลังเหล่านั้นก็กลายสภาพเป็นโปร่งใสไร้สีก่อนจะหยุดนิ่ง

ต้องทราบก่อนว่า ในตอนที่ยังอยู่ขอบเขตนภมายา พลังมายาภายในร่างกายของเหล่ายอดฝีมือจะเป็นสีขาวราวน้ำนม ซึ่งการที่มันค่อย ๆ เปลี่ยนสีและแปรสภาพไปนั้นนับเป็นข้อพิสูจน์ว่ากระบวนการก้าวข้ามขอบเขตได้เริ่มต้นขึ้น

ขอเพียงแค่พลังมายาทั่วทั้งร่างเปลี่ยนกลายเป็นโปร่งใสจนหมดสิ้นก็ถือว่าการทะลวงพลังสำเร็จลุล่วง

ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าในกระบวนการทะลวงพลังครั้งนี้ นางใช้เวลาไปนานเท่าใด แต่ในที่สุดนางก็พบว่าพลังมายาทั่วทั้งร่างกายที่เคยเป็นสีขาวน้ำนมได้หายไปจนหมด ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูตระกูลฉินยังรู้สึกด้วยว่าเส้นชีพจรพลังที่อยู่ภายในขยายขนาดจนกว้างกว่าเดิมหลายเท่า

ในเวลานี้ ที่ใต้ฝ่าเท้าของนางแสงแห่งการเลื่อนระดับพลังปรากฏขึ้นมา

กระบี่เล็ก ๆ ทั้งเก้าเล่มผสานรวมกันเป็นหนึ่งแล้วเปลี่ยนกลายกระบี่เล่มใหญ่สง่างาม ก่อนที่ดาราดวงน้อยจะปรากฏขึ้นเคียงข้าง นี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเวลานี้ฉินอวี้โม่คือจอมยุทธ์มายาบรรพชนหนึ่งดาราโดยสมบูรณ์แล้ว

ด้วยการก้าวข้ามขอบเขตพลังของฉินอวี้โม่ครั้งนี้ เหล่าอสูรมายาที่ผูกพันธสัญญากับนางต่างก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย พวกมันทั้งหมดออกมาจากมิติเชื่อมอสูรแล้วปรากฏร่างขึ้นรอบกายนางตัวแล้วตัวเล่า

เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินกลายเป็นอสูรเทวะราชันเก้าดารา เสี่ยวเยี่ยกลายเป็นอสูรเทวะราชันแปดดารา ส่วนเพียงพอนที่มีพลังน้อยที่สุดก็หลุดพ้นพันธนาการแห่งระดับเทวะจนกลายเป็นอสูรเทวะราชันได้ ในตอนนี้มันเปลี่ยนร่างมาเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาอายุราว ๆ สิบห้าปี แต่ที่น่าประหลาดใจไม่น้อยคือเสี่ยวจิ่วและม่อเสียที่เข้าสู่ขอบเขตสวรรค์และกลายเป็นอสูรสวรรค์ไปเป็นที่เรียบร้อย

ทว่านั่นก็ไม่น่าประหลาดใจเท่ากับเรื่องที่ว่า เจ้ามังกรทองห้าเล็บตัวน้อยกลับเปลี่ยนสภาพกลับกลายเป็นไข่อีกครั้ง ดูเหมือนมันจะเข้าสู่กระบวนการวิวัฒนาการบางอย่าง

ฉินอวี้โม่รีบส่งไข่ใบนั้นกลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรทันที นางเองก็อยากจะรู้ว่าเมื่อมันฟักออกมาจากไข่ เจ้าตัวน้อยจะมีสภาพเป็นเช่นไร

อย่างไรก็ตาม การก้าวข้ามระดับพลังในครั้งนี้ของฉินอวี้โม่ ผู้ที่ได้รับประโยชน์อันมหาศาลที่สุดกลับมิใช่มีเพียงแต่เหล่าอสูรมายาที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น

.