ตอนที่ 115 นี่คือห้องของข้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

‘นายหญิง ข้าอาจจะต้องเก็บตัวสักระยะ’

เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ วาจานั้นขออสูรแห่งโชคชะตาทำให้นางชะงักไป

‘การก้าวข้ามขอบเขตครั้งนี้ของท่านสร้างประโยชน์ให้ข้าไม่น้อย ตอนนี้ข้าได้รับพลังบางส่วนที่สูญเสียไปกลับคืนมา ฉะนั้นข้าจึงต้องการเวลาเก็บตัวเพื่อดูดซับพลังงานเหล่านี้ เมื่อข้ากลับออกมาอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของข้าก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้น’

ซิวเอ่ยคำอธิบายเริงร่า ในน้ำเสียงที่เคยน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีมิอาจปกปิด นับว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ที่สูงส่งกว่าเจ้านายคนก่อนของมันมากมายนัก อายุเพียงสิบหกปีก็บรรลุขอบเขตมายาบรรพชนได้แล้ว อสูรผู้มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไม่มีข้อสงสัยต่อศักยภาพในอนาคตของเจ้านายใหม่ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามตอนนี้มันต้องการเวลาบ่มเพาะตนเองสักระยะหนึ่งจึงจะสามารถให้ความช่วยเหลือฉินอวี้โม่ได้อีกครั้ง

‘ข้าเข้าใจ เจ้าตั้งสมาธิกับการเก็บตัวเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องของข้า ตอนนี้ข้ามิใช่ผู้ที่ใครก็สามารถรังแกได้’

คุณหนูสี่ยิ้มร่า นางรู้ว่าซิวคงจะห่วงกังวลเรื่องของนาง ทว่าตัวนางเองไม่ได้มีความกังวลใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ด้วยพลังใหม่นี้ ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าไม่มีใครมารังแกนางได้

แม้ว่าซิวจะไม่กล่าวออกมาตรง ๆ  แต่สตรีผู้เป็นเจ้านายก็ทราบดีว่าอสูรแห่งโชคชะตาของนางกุมความลับไว้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นความลับที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด และวันใดวันหนึ่งในอนาคตอันไม่ไกล ซิวคงต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่มิอาจหลบหลีก ในฐานะเจ้านาย ฉินอวี้โม่จึงไม่อยากพึ่งพาพลังอำนาจหรือเอาแต่เร้นกายอยู่ใต้ปีกของมันไปตลอด นางต้องการจะเป็นบุคคลที่ยืนอยู่เคียงข้างและร่วมฝ่าฟันอุปสรรคเผชิญพายุที่โหมกระหน่ำไปพร้อมกับมัน

ฉินอวี้โม่และซิวคือคู่หูที่ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด ซิวคือหนึ่งในผู้ที่นางไว้ใจมากที่สุดในโลกมายาแห่งนี้ ดังนั้นแล้วฉินอวี้โม่จึงหวังอยู่เสมอว่านางจะสามารถช่วยเหลือมันได้บ้าง

แน่นอนว่าความรู้สึกในตอนนี้ของฉินอวี้โม่ ซิวเองก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี อสูรแห่งโชคชะตายิ้มรับแต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา

นายหญิงของมันหาใช่คนธรรมดาเป็นแน่แท้ ซิวเชื่อว่าวันหนึ่งสตรีผู้ที่มันยอมก้มหัวคารวะผูกพันธสัญญาด้วยความภักดีจะทำให้แผ่นดินทั้งผืนสั่นสะเทือนอย่างไร้ผู้ต้าน ส่วนความลับและปมปัญหาทั้งหลาย นางจะต้องค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละอย่าง แต่ในท้ายที่สุดจะไม่เหลือสิ่งใดขวางกั้นความยิ่งใหญ่ของสตรีผู้นี้ได้อีก

‘เอาล่ะ ข้าคงต้องเข้าสู่การเก็บตัวแล้ว ถึงแม้ข้าจะเปลี่ยนสภาพเป็นเกราะอสูรให้ท่านไม่ได้แต่ท่านยังสามารถใช้เพลิงของข้าได้ และข้าเชื่อว่าแค่เพลิงของข้าก็เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลแล้ว’

สิ้นเสียงนั้น ซิวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าซิววางผนึกบางอย่างเอาไว้ในห้วงจิตของนางก่อนมันจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

“พวกเจ้าทุกตัวได้ยินแล้วใช่ไหมว่าพี่ซิวเขาต้องเก็บตัวสักระยะ ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน ดังนั้นในระหว่างนี้พวกเราทุกตัวจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องนายหญิง”

บทสนทนาของฉินอวี้โม่และซิวนั้น เหล่าอสูรมายาในสังกัดของฉินอวี้โม่ทุกตัวล้วนได้ยินอย่างชัดเจน เสี่ยวเฮยเป็นตัวแรกที่ตอบสนอง หน้าที่ปกป้องนายหญิงที่รักต่อไปนี้ตกอยู่ในมือของพวกมันแล้ว

“ใช่ พวกเราจะปกป้องนายหญิง ยิ่งกว่านั้นพวกเราควรจะตั้งใจฝึกฝนด้วย ตอนที่พี่ ซิวออกมาเราจะได้ไม่โดนทิ้งห่างมาก”

อสูรทั้งหลายพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกมันจะด้อยกว่าอสูรลึกลับผู้น่าเกรงขามนั้นมาก แต่ถ้าหากพยายามกันอย่างหนัก พวกมันก็อาจจะไล่ตามความก้าวหน้าของฉินอวี้โม่และซิวทันก็เป็นได้

“หึ ๆ เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าไม่รู้เลยว่าเราอยู่ที่นี่กันมานานแค่ไหนแล้ว”

ฉินอวี้โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม นางอยากจะออกไปข้างนอกเต็มที่แล้ว

หากเปรียบเทียบกับโลกที่นางจากมาในยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว ภายในดินแดนแห่งนี้นับว่าใช้ชีวิตได้ค่อนข้างยากลำบาก ที่นี่ไม่มีนาฬิกาข้อมือหรือโทรศัพท์มือถือ ฉินอวี้โม่จึงไม่รู้เลยว่านางอยู่ในห้องฝึกนี้มานานเพียงใดแล้ว

เหล่าอสูรพยักหน้ารับพลันกลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรอย่างว่าง่าย ยกเว้นแต่เจ้าเพียงพอนที่แปลงร่างกลับมาเป็นเจ้าตัวยาวขนปุกปุยหลับสบายอยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่

— ครืน! —

ฉินอวี้โม่หยิบหินมายาที่ยังคงเหลืออยู่ออกมาจากร่องในช่องว่างข้างประตู ซึ่งก็ทำให้ประตูเปิดออกในทันที หลังจากตรวจนับก้อนหินหลากสีในมือคร่าว ๆ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็พบว่านางมีหินมายาเหลืออยู่อีกประมาณสิบกว่าก้อน ซึ่งเมื่อลองคำนวณย้อนกลับแล้วตัวเลขที่ออกมาก็ชี้ชัดว่าฉินอวี้โม่เก็บตัวอยู่ในหอคอยวิญญาณแห่งนี้ได้ไม่ถึงสามสิบวัน

ทันทีที่ประตูเปิด ฉินอวี้โม่ก็พบคนผู้หนึ่งยืนเฝ้ารออยู่หน้าห้อง ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นี้กำลังจ้องเขม็งมาที่ตัวนางและใบหน้าของเขาก็ดูคล้ายใกล้จะหมดความอดทนเต็มแก่

คราแรกที่ประตูเปิดออก คนผู้นั้นก็ชะงักงันอย่างประหลาดใจ ทว่าเพียงเสี้ยวลมหายใจเขาก็ก้าวอาด ๆ เข้าหาฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้วสินะ”

อีกฝ่ายเป็นบุรุษสวมชุดสีฟ้า อายุประมาณสิบหกปี ผิวของเขาขาวผ่องสดใส และมีใบหน้าอวบอิ่มกลมมน ร่างกายของเขาจ้ำม่ำเจ้าเนื้อ ดู ๆ ไปแล้วนับว่าบุรุษผู้นี้*…น่ารักปุ๊กลุกมากจริง ๆ*

รูปร่างของเขาไม่ได้สูงมากนัก แม้ว่าวาจาเมื่อครู่จะเกิดจากเสียงที่ถูกส่งผ่านฟันที่กัดแน่น ทว่าด้วยใบหน้าอันแสนน่ารักนี้ ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะ…ยิ้ม

“เจ้ายิ้มอะไรกัน เจ้าขโมยห้องของข้าไปและฝึกอยู่นานมาก ในที่สุดก็ยอมออกมาแล้วใช่ไหม !”

บุรุษปุ๊กลุกกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างหนัก น้ำเสียงอันหงุดหงิดงุ่นง่านนั้นฟังราวกับหมีกินรวงผึ้ง

“ที่ข้ายิ้มก็เป็นเพราะว่าเจ้าน่ารักยังไงล่ะ”

ฉินอวี้โม่ตอบก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นอีก บุรุษชุดสีฟ้าผู้นี้แม้ว่าจะโกรธ ทว่าในดวงตากลับไม่มีอารมณ์ด้านลบแสดงออกมาเลย การมองเขาในตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากมองคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย และเพราะเหตุนั้นเอง คุณหนูตระกูลฉินจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนกลมมนผู้นี้

“น่ารักอะไรกัน ? ข้ากำลังโกรธอยู่ เข้าใจไหม ?”

คำตอบของฉินอวี้โม่ทำให้บุรุษผู้ไม่สบอารมณ์ชะงักกึก ประกายแห่งความไม่เข้าใจปนหวาดระแวงแล่นผ่านนัยน์ตากลม ๆ ดำ ๆ นั้น ทว่าเพียงชั่ววูบเดียวเขาก็แผดเสียงขึ้นอีกครั้งด้วยความโกรธ

“เจ้าแย่งห้องของข้าไปเกินกว่ายี่สิบวันซึ่งมันทำให้ข้าต้องไปแย่งห้องของคนอื่นต่อ เรื่องเช่นนี้ข้ายอมรับไม่ได้ !”

“นี่คือห้องของเจ้าหรือ ?”

ฉินอวี้โม่ตกใจเล็กน้อย นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าห้องที่ชั้นหกจะมีเจ้าของด้วย

“แน่นอนสิ เจ้าไม่เห็นชื่อของข้าที่สลักอยู่บนกำแพงนั่นรึไง ?”

บุรุษผู้นั้นเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องก่อนที่จะยืดตัวเขย่งเท้าแล้วเอื้อมมือจนสุดปลายแขนชี้ไปยังกำแพงเหนือประตูห้อง

เมื่อมองตามปลายนิ้วของเขาฉินอวี้โม่ก็เข้าใจ นางเห็นว่าที่กำแพงหินเยื้องไปทางด้านซ้ายเหนือบานประตูมีตัวอักษรขนาดไม่ใหญ่สลักเอาไว้ มันเป็นชื่อคนอย่างชัดเจน*— ไป๋ฉี่*

“นั่นคือชื่อของเจ้าหรือ ?”

เมื่อมองดูอักษรเล็ก ๆ บนกำแพงแล้วหันกลับมามองบุรุษปุ๊กลุกตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มกว้างอีกครั้งไม่ได้

“แน่นอน นั่นแหละชื่อข้า ดูดีเลยใช่ไหม”

ไป๋ฉี่ตอบรับอย่างภาคภูมิ เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วพยักหน้าหงึกหงักราวกับเป็นผู้ชนะ ทั้งสีหน้าและท่าทางดูพึงพอใจในนามเรียกขานของตนอย่างมาก

“ข้ารู้จักคนชื่อไป๋ฉี่มาก่อน แต่รูปลักษณ์ของเขาค่อนข้างต่างจากเจ้า”

บุคคลที่อยู่ในความคิดของฉินอวี้โม่ตอนนี้ก็คือไป๋ฉี่ยอดขุนศึกผู้มีชื่อเสียงแห่งแคว้นฉิน ขุนพลผู้นี้มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของโลกที่ฉินอวี้โม่ผู้เป็นนักฆ่าจากมา

“เขาเป็นยังไงบ้าง ? เขาหล่อรึเปล่า ?”

ไป๋ฉี่มองฉินอวี้โม่อย่างสนใจใคร่รู้ ดวงตาเล็กหยีเบิกกว้าง เขาตั้งคำถามในทันทีและรอฟังคำตอบของนางอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งกิริยาเช่นนั้นของคู่สนทนาก็ทำให้อดีตนักฆ่าสาวรู้สึกสนใจเขาขึ้นโดยพลัน ไป๋ฉี่ในหัวของนางสลายหายไปและถูกแทนที่ด้วยไป๋ฉี่ที่กำลังทำท่าทางน่ารักน่าชังอยู่ตรงหน้านาง

“ในความคิดข้าเขาน่าจะหล่อกว่าเจ้า แต่ก็คงจะไม่น่ารักเท่าเจ้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบกลับ แน่นอนว่าในชีวิตก่อนเธอไม่เคยเห็นไป๋ฉี่ตัวจริงเพราะเกิดคนละยุค ทว่าเธอเคยดูละครอิงประวัติศาสตร์จากในทีวี อดีตสาวจากศตวรรษที่ 21 จึงเหมารวมเอาว่าหน้าตาของยอดขุนศึกไป๋ฉี่ก็คือใบหน้าของนักแสดงในละคร

“แล้วเขาอยู่ที่ไหน ? พาเขามาพบข้าหน่อย กล้าใช้ชื่อเหมือนข้าแล้วยังหล่อกว่าอีก อภัยให้ไม่ได้”

เมื่อไป๋ฉี่ได้ยินว่า บุรุษผู้มีนามเดียวกันกับเขาหล่อเหลากว่าตัวเขาเอง มนุษย์กลมมนก็มองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาขุ่นเคือง *‘ยังมีคนที่หล่อกว่าเขาอีกหรือเนี่ย ?’*นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้ !

“เขาตายไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่ตอบยิ้ม ๆ นางต้องขอบคุณขุนศึกไป๋ฉี่คนนั้นจริง ๆ ที่ทำให้นางได้พบความน่าสนใจในตัวไป๋ฉี่ผู้อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้

“ตายแล้ว?”

ไป๋ฉี่ตัวกลมอึ้งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา “ถ้างั้นก็ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจคนที่ตายไปแล้ว อย่างน้อยตอนนี้คนที่หล่อที่สุดและใช้ชื่อไป๋ฉี่ก็คือข้าคนนี้”

เมื่อได้ยินบุรุษที่อยู่ตรงหน้ากล่าวชมว่าตัวเองหล่ออีกครั้ง นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“เหอะ แม่นางอย่าเปลี่ยนเรื่อง ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เจ้าแย่งห้องฝึกของข้าอยู่ ตอนนี้ข้ากำลังโกรธเจ้ามากนะ”

ไป๋ฉี่ปั้นหน้าโกรธขึ้น ทว่าด้วยใบหน้าที่อวบอิ่มกลมแน่นของเขากลับให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม

“ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่รู้เลยว่าห้องนี้เป็นห้องของเจ้า”

ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้เขา แล้วกล่าวต่อ “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะต้องจองห้องฝึกก่อนใช้งาน ปกติแล้วทางโรงเรียนจะให้มีการจองห้องในชั้นที่หกก่อนใช้งานอย่างนั้นหรือ ?”

“เจ้าเองก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนสินะ”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ไป๋ฉี่ก็มองนางด้วยความสงสัยก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าชื่ออะไร ? เหมือนว่าข้าจะไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน”

“ข้าชื่อฉินอวี้โม่ ข้าคือนักเรียนใหม่ของปีนี้”

ฉินอวี้โม่ตอบด้วยรอยยิ้ม

“ฉินอวี้โม่ ข้าจะจำเอาไว้”

ไป๋ฉี่พยักหน้า มันเหมือนกับว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อฉินอวี้โม่มาก่อนเลย

เมื่อเห็นท่าทีของไป๋ฉี่ ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที

ปกติแล้วนักเรียนที่สามารถขึ้นมาถึงชั้นที่หกของหอคอยวิญญาณได้ก็ไม่ควรจะเป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก นักเรียนในโรงเรียนนี้ก็ไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไรนัก ผู้ที่เป็นเพียงนักเรียนเข้าใหม่แต่ยังแข็งแกร่งถึงระดับนี้ ต่อให้ไม่อยากจะมีชื่อเสียงก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ไม่เคยเห็นชื่อของไป๋ฉี่อยู่ในทำเนียบทั้งสามของโรงเรียนเลย และไป๋ฉี่ก็ดูเหมือนกับว่าจะมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ตอนที่ได้ยินชื่อของเขาครั้งแรกนอกจากไป๋ฉี่ที่เป็นยอดขุนศึกในโลกเดิมของนางแล้ว นางก็เหมือนจะไม่เคยได้ยินนามเช่นนี้มาก่อนเลย

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็เกิดข้อสงสัยบางอย่าง หน้าตาดูอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ใช่นักเรียนใหม่รุ่นเดียวกับนาง แล้วตัวตนของคนผู้นี้จะเป็นอะไรได้อีก

“ข้าควรจะเรียกเจ้าว่ารุ่นพี่ดีหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ถามออกไปเพื่อหยั่งเชิง นางรู้สึกว่าไป๋ฉี่ผู้นี้ดูลึกลับและไม่ธรรมดา เขาจะต้องมีเบื้องหลังบางอย่างเป็นแน่

“ไม่ เจ้าเรียกข้าว่าไป๋ฉี่นั่นแหละ”

ไป๋ฉี่ยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ใบหน้าอวบอิ่มของเขาดูน่ารักขึ้นอีกมากโข

“ไป๋ฉี่ เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ ?”

ยิ่งมองฉินอวี้โม่ก็ยิ่งมันเขี้ยวจนอยากจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาว ๆ อวบ ๆ ของมนุษย์ปุ๊กลุกตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยั้งตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยแทน

“ฮ่า ๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”

ไป๋ฉี่หัวเราะคิกคัก แต่ไม่ยอมบอกอายุที่แท้จริง

“อืม ถือว่าเจ้าเป็นนักเรียนใหม่ เรื่องที่เจ้ามาแย่งห้องของข้าข้าจะไม่ถือสาก็แล้วกัน แต่ต่อไปเจ้าต้องจำไว้ด้วยว่านี่คือห้องของข้า ไป๋-ฉี่-สุด-หล่อ”

ฉินอวี้พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย นางพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้จึงต้องรีบหมุนตัวกลับเพื่อจะออกไปจากที่นี่

“ฉินอวี้โม่ รอเดี๋ยวก่อน ข้ายังพูดไม่จบ”

ไป๋ฉี่หยุดคู่สนทนาของเขาเอาไว้

“ฉินอวี้โม่ ก่อนที่เจ้าจะเข้าไปเก็บตัวเจ้าสังเกตหรือไม่ว่าบนชั้นที่หกมีห้องอยู่ทั้งหมดก็ห้อง ?”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ เรื่องนี้นางไม่ได้สังเกตมาก่อน นางเพียงแต่มองหาห้องว่าง ๆ แล้วก็เข้าไปฝึก ส่วนเรื่องจำนวนห้องในชั้นที่หกนั้นนางไม่ได้ให้ความสนใจเลย

“ข้าจะบอกเจ้านะ บนชั้นที่หกนี้มีห้องอยู่เพียงแปดห้องเท่านั้น และในแปดห้องนี้มีห้องว่างเพียงสองห้อง ห้องอื่น ๆ ก็เหมือนกับห้องของข้าคือมีคนจับจองอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้ามาใช้ห้องของข้า หากว่าเจ้าไปใช้ห้องของคนอื่น เจ้าอาจจะไม่โชคดีเหมือนตอนนี้ก็ได้”

ไป๋ฉี่ยิ้ม ข้อมูลนี้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

เรื่องที่ห้องถูกจับจองไปหกห้องแล้วนางไม่เคยทราบมาก่อนเลย

“ไป๋ฉี่ เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าอีกห้าห้องมีใครอยู่บ้าง ?”

ฉินอวี้โม่หาที่ว่างนั่งลงไม่ไกลตัวบุรุษอ้วนกลมแล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อเห็นดังนั้น ไป๋ฉี่ก็ยอบตัวลงนั่งข้างกายฉินอวี้โม่ แล้วบอกเล่า

“ห้องแรกคือห้องที่นักเรียนอันดับหนึ่งของโรงเรียนจับจองอยู่ ชื่อของเขาคือปิงเสวียน เขาอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา ห้องถัดไปคือห้องซึ่งลั่วเฉินอันดับที่สองของทำเนียบนภาใช้ฝึกฝน ความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างจากปิงเสวียนแต่ดูเหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย ห้องที่สามคือห้องของอันดับสามอย่างจีหย่งยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนแปดดารา

ส่วนผู้จับจองห้องที่สี่ไม่ได้อยู่ในทำเนียบนภาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไร้ฝีมือนะ อันที่จริงความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าจีหย่งเสียอีก ทว่าเขาไม่ชอบทำตัวโดดเด่นจึงเลือกรับภารกิจเพื่อให้ได้หินมายามาแทนการขึ้นไปมีชื่อติดในทำเนียบพวกนั้น และห้องที่ห้าห้องสุดท้ายคือห้องของผู้ที่ชื่นชอบการต่อสู้มาก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนหกดารา แต่ก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบนภา”

ไป๋ฉี่แนะนำผู้จับจองห้องฝึกแต่ละห้องในชั้นที่หกให้ฉินอวี้โม่ฟังคร่าว ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น

เรื่องที่ว่า ชั้นหกแห่งหอคอยวิญญาณเป็นแหล่งรวมของนักเรียนระดับแนวหน้าของโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมากนัก ทว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่รู้สึกสงสัยเหลือเกินก็คือบุรุษตัวกลมนามไป๋ฉีผู้นี้ จากที่นางสัมผัสได้ เขาดูจะแข็งแกร่งกว่าปิงเสวียนนักเรียนอันดับหนึ่งเสียด้วยซ้ำ แต่แล้วเหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนเลย ?

.

.