Ep.562 – ผล็อยหลับไป

 

ม้าทมิฬไล่ตามกู่ฉิงซานกับลอร่าจนทัน

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองมัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ด้วยเหตุนี้ สองคน หนึ่งม้าจึงกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ร่วมกันตรวจสอบสถานการณ์ไปตามท้องถนน

 

“เจ้าเองก็กลัวเหมือนกันล่ะสิ?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“กลัวงั้นหรือ?” ม้าทมิฬเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างสงบ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพของข้า ข้าเลยจำต้องอยู่กับลูกค้า เพื่อเตรียมพร้อมบริการพวกเขาได้ตลอดเวลาต่างหาก”

 

“เอาล่ะๆ ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เราเข้าใจเจ้า”

 

ลอร่ากลั้นหัวเราะ และตบลงบนตัวม้า

 

“แล้วท่านล่ะ ไม่กลัวพวกกองทัพผีร้ายหรือ?” กู่ฉิงซานถามอย่างลวกๆ

 

“แน่นอนว่ากลัว เรากลัวเจ้าสิ่งที่เกี่ยวกับอะไรพวกนี้มากที่สุดเลย” ลอร่ายืดอกยอมรับ

 

เธอนั่งอยู่บนหลังม้าทมิฬ ขณะที่กู่ฉิงซานคอยจูงมันมุ่งไปข้างหน้า

 

“ดูเหมือนพวกเราจะเจอปัญหาซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าลง

 

เบื้องหน้าพวกเขา เส้นทางถนนถูกตัดขาด

 

ปรากฏหลุมบ่อขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ตรงกลางถนน

 

บนผนังรอบบ่อนั้นเต็มไปด้วยหลุมเล็กตื้นๆ ขุรขระไม่สม่ำเสมอ แถมยังเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีดำแดง กระจายเป็นวงกว้าง

 

กู่ฉิงซานเดินไปที่บ่อ และมองข้ามมันไปทางอีกฝ่าย

 

บ่อนี้ไม่รู้ว่าถูกขุดโดยตัวอะไร แต่มันกว้างเกือบ 100 เมตร ส่วนในเรื่องความลึก –

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป และค้นพบว่าก้นบ่อลึกกว่า 200 เมตร ล่างสุดของมัน เจิ่งนองไปน้ำเลือด

 

ไม่มีอะไรอยู่ในน้ำเลือดเหนียวหนืดเหล่านั้น แต่กลับมีร่องรอยของรอยเท้าเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ บนผนังบ่อ

 

รอยเท้าสีเลือดแปลกๆนี้ย่ำไปตามผนังอีกฝั่งของบ่อ และค่อยๆหายไปตามท้องถนน

 

—เหมือนกับว่าจะมีบางสิ่งปีนขึ้นมาจากเบื้องล่างของบ่อ ไล่ไปตามกำแพงหิน ในที่สุดก็ขึ้นมาได้ และตรงไปยังใจกลางเมือง

 

“เจ้าสามารถกระโดดข้ามได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าได้ หากเป็นเรื่องวิ่งหรือกระโดด ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ” ม้าทมิฬกล่าว

 

วี๊ดดดด –

 

ใจกลางเมือง บังเกิดเสียงกรีดร้องน่าความหวาดกลัวลอยมาตามสายลม

 

เสียงนี้ไม่เหมือนกับเสียงของสัตว์ป่า แต่ดูเหมือนจะเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้คนนับไม่ถ้วนที่หวีดออกมาพร้อมๆกัน

 

ลอร่าหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เพื่อเตรียมที่จะใช้มัน

 

แต่กู่ฉิงซานคว้ากล่องส่องทางไกลเอาไว้เสียก่อน และกล่าวว่า “อย่าทำแบบนั้น ผีบางตัวมันสามารถรับรู้ถึงสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาได้”

 

เมื่อลอร่าได้ยินเขาเตือน เธอก็จำใจต้องหยุดมือลง

 

เธอลอบมองกู่ฉิงซานอย่างลับๆ และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูจะแปลกๆไปเล็กน้อย

 

“คงไม่ได้มีแค่ที่เจ้าบอกใช่ไหม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเจ้าเจออะไรแล้ว?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“อ๊ะ ไม่ๆ กระหม่อมแค่กำลังคิดถึงปัญหาอย่างอื่นอยู่น่ะ”

 

กู่ฉิงซานตอบกลับ ขณะเดียวกันก็ยืนตริตรองอยู่หน้าบ่อเลือดสักพัก

 

แล้วเขาก็กลับมา จูงม้าทมิฬออกไปยังอีกมุมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปของถนน

 

ดิสก์ค่ายกลถูกหยิบออกมา และกู่ฉิงซานก็เริ่มทำการจัดตั้งค่ายกลอีกครั้ง 

 

ค่ายกลแล้ว ค่ายกลเล่าได้ถูกจัดวางลง

 

โดยไม่คิดคำนึงถึงศิลาวิญญาณที่ต้องเสียไป เพียงลมหายใจเดียว กู่ฉิงซานก็ได้จัดวางค่ายกลป้องกันระดับสูงทั้งหมดจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็ต่อด้วยค่ายกลโจมตีอีกหลายสิบชนิด

 

ด้วยอำนาจของค่ายกลที่ถูกจัดวาง และปริมาณของพวกมัน นับว่าเพียงพอแล้วที่จะใช้เปิดศึกสงครามครั้งใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ!

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” ลอร่าถามด้วยความสงสัย

 

“จัดตั้งค่ายกลป้องกัน”

 

กู่ฉิงซานอยากจะไตร่ตรองเสียก่อน เขาจึงวางค่ายกลป้องกันเสียงอย่างเงียบๆ

 

ลอร่า “เรารู้ว่าเจ้ากำลังจัดวางค่ายกล แต่ทำไมเจ้าถึงต้องจัดวางค่ายกลป้องกันที่นี่ ตอนนี้ด้วย?”

 

“พวกเราจะพักผ่อนกันก่อน”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็ชะงักไป

 

“พวกเราได้ทำสิ่งต่างๆมามากมาย เดินทางไปตั้งหลายสถานที่โดยไม่มีหยุดพัก ขณะที่ข้างหน้าต่อจากนี้ไปกำลังมีอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมเฝ้ารออยู่ แต่ความเหนื่อยของพวกเรากลับสะสมมากขึ้น แบบนี้คงจะไม่ดี เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและความสามารถในการตอบสนองจนอาจคุกคามถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“หากเจ้าไม่บอก เราคงไม่สังเกตถึงจุดนี้เลย อันที่จริงแล้วเราง่วงมาก แต่อาจจะเป็นเพราะตลอดมาล้วนเผชิญกับอันตรายที่มากเกินไป เลยไม่ทันได้ตระหนักถึงสภาพร่างกายของตัวเอง” ลอร่าหาว

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และวางโต๊ะขนาดใหญ่ลงกลางค่ายกล

 

เครื่องปรุง หัวหอม ขิง กระเทียม ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู พริกไทย พริกขี้หนู ฯลฯ ถูกจัดวางเอาไว้อย่างประณีต ตามด้วยอาหารสดที่ถูกนำออกมา ใส่ลงในหม้อไฟ

 

“ฝ่าบาทคุ้นเคยกับอาหารมนุษย์หรือไม่?”

 

“กินได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

แล้วเก้าอี้สองตัวก็โผล่ออกมาจากอากาศที่บางเบา

 

“เชิญฝ่าบาทนั่งรอสักครู่ ไม่นานกระหม่อมก็เตรียมอาหารเสร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่หันกลับมามอง

 

ว่าจบ เขาก็เริ่มที่จะต้มซุป

 

ลอร่านั่งลง และเฝ้ามองเขาที่กำลังวุ่นอย่างเงียบๆ

 

“ไม่คิดเลยว่าจู่ๆจะได้ชิมอาหารฝีมือเจ้า”

 

“นั่นเพราะกระหม่อมต้องการให้ฝ่าบาทเพลิดเพลินไปกับอาหารร้อนๆแสนอร่อย จากนั้นก็หลับพักผ่อน พอถึงรุ่งสางในวันพรุ่ง ฝ่าบาทก็จะได้สดชื่นและมีพลังงานเต็มเปี่ยม จากนั้นพวกเราค่อยไปสำรวจเมืองกัน”

 

“นั่นฟังดูเยี่ยมไปเลย!” ลอร่าชูสองมือขึ้นไชโย ตะโกนด้วยความดีใจ

 

เพียงไม่นาน มื้ออาหารแสนอร่อยก็ถูกเสิร์ฟลงในที่สุด

 

7 จานเนื้อ 4 จานผัก และซุปถ้วยใหญ่อีก 1 ถ้วย

 

ลอร่าค่อยๆกินอย่างช้าๆ ขณะที่กู่ฉิงซานกวาดไปสองสามชามในลมหายใจเดียว

 

ม้าทมิฬมองมายังโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารด้วยแววตาน่าสงสาร

 

กู่ฉิงซานจึงหยิบหญ้าวิญญาณออกมา ยื่นให้มันกิน พอกัดไปได้ไม่กี่คำ ในหัวใจของม้าทมิฬก็รู้สึกเปรมปรีด์เป็นอย่างมาก

 

มันโค้งหัวลงด้วยความนอบน้อม แสดงท่าทีขอบคุณ

 

สองคน หนึ่งม้าจึงเริ่มรับประทานมื้ออาหารเลิศรสกัน

 

หลังจากมื้ออาหารจบลง กู่ฉิงซานก็ล้างอุปกรณ์ทุกอย่าง เขาเก็บมัน และหยิบเตียงออกมา

 

“ตอนนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนแล้วนะ”

 

เขายกผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นคลุมตัวให้ลอร่า และคอยยืนปกป้องเธอ

 

ภายใต้ค่ายกลทรงประสิทธิภาพกว่า 100 ค่าย และอุณหภูมิที่เหมาะสม เปี่ยมไปด้วยพลังงานวิญญาณ และความสงบ

 

ลอร่าที่กำลังนอนอยู่บนเตียง แม้ทั้งกายใจของเธอจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังมีท่าทีไม่เต็มใจที่จะหลับลง

 

“แล้วเจ้าเล่า ไม่นอนหลับบ้างหรือ?” เธอเอ่ยถาม

 

“สำหรับผู้ฝึกยุทธ การนั่งสมาธิ จะช่วยให้ได้รับการพักผ่อนที่ดียิ่งกว่า”

 

“แต่กู่ฉิงซาน เรารู้สึกหวดากลัวนิดหน่อย เลยยังนอนไม่หลับ”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”

 

“เพราะกระทั่งตอนนี้ เราก็ยังรู้สึกหวาดวิตกอยู่เสมอ”

 

“นั่นมันก็แค่จินตนาการไปเอง ทางฝั่งกระหม่อมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

 

“เจ้าไม่รู้สึกถึงมันอย่างงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้องแล้ว กระหม่อมเป็นผู้ฝึกยุทธนะ ฝ่าบาทน่าจะทรงทราบดีว่าผู้ฝึกยุทธมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณ ซึ่งสามาระตระหนักถึงลางร้ายได้”

 

“แต่ผีแห่งความอลหม่านก่อนหน้านี้ -”

 

“กระหม่อมย่อมตระหนักถึงมัน ฝ่าบาทจำไม่ได้หรือ? ว่าเป็นกระหม่อมที่จัดวางค่ายกลก่อน จึงสกัดมันเอาไว้ได้”

 

“ฉะนั้นหากตอนนี้กระหม่อมมิได้สัมผัสถึงลางร้ายใดๆ นั่นหมายความว่าฝ่าบาทเองตื่นตระหนกไปเอง”

 

“เราเข้าใจแล้ว .. ”

 

หลังจากได้ยินคำตอบของกู่ฉิงซาน ลอร่าก็โล่งใจ

 

“ดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆนี้เราจะตึงเครียดมากเกินไป เลยหลอนไปเอง” ลอร่าใช้นิ้ววนๆรอบคิ้วของเธอ ปากเอ่ยพึมพำ

 

“สมควรจะเป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานลูบหัวเธอเบาๆ “หลับให้สบายเถอะ ท่านต้องการพักผ่อนนะ”

 

“อืม”

 

ลอร่าหลับตาลง

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็หยิบฟูกออกมา และวางมันนั่งลงข้างเตียง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“กู่ฉิงซาน”

 

“หืม?”

 

“เรานอนไม่หลับ มาเล่นเกมก่อนนานกันเถอะ”

 

“เกมอะไร?”

 

“เจ้าต้องบอกความลับเล็กๆน้อยๆของตัวเองออกมา ขณะที่เราเองก็ต้องเล่าเหมือนกัน ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันไง”

 

“ … ”

 

“ปกติแล้ว จะเป็นท่านแม่ที่มักจะเล่นเกมๆนี้กับเราทุกคืน … ”

 

“เอาล่ะๆ หยุดดราม่าเถอะ ลอร่า ท่านรู้ไหมว่าทำไมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวถึงได้ยอมให้กระหม่อมอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็ก?”

 

ลอร่าถูกดึงดูดโดยคำถามนี้ เธอพยายามนึกและตอบกลับไปว่า “เพราะเจ้าเป็นคนดี … รึเปล่า?”

 

“ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะระดับฝีมือในการทำอาหารของกระหม่อมสามารถชนะใจพวกเขาได้”

 

“แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ เอาเถอะ แต่เจ้าก็ทำอาหารได้อร่อยจริงๆนั่นแหละ”

“งั้นคราวนี้ ก็ถึงเวลาที่ฝ่าบาทจะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองบ้างแล้ว”

 

“กู่ฉิงซาน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้กลัวความสูง”

 

“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้กระหม่อมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุใดหรือฝ่าบาท?”

 

“วิหคหนามน่ะ เวลาถือกำเนิดขึ้นมาจะมีความทรงจำในวันนั้นอยู่ และวันที่เราเกิด พ่อของเราตื่นเต้นมากเกินไป เขาที่กำลังอุ้มเรา โยนเราด้วยความปิติยินดี จนเราร่วงตกจากรุกขชาตศักดิ์สิทธิ์”

 

“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์?”

 

“ใช่ รุกขชาตศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม มันเป็นสิ่งที่คอยมอบอำนาจอันลึกลับให้กับพวกเราเสมอมา และมีความสูงกว่า 10000 เมตร”

 

“ … ทันทีที่เกิดมา ก็ต้องตกลงจากความสูงเช่นนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่ามันรู้สึกอย่างไร?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ความประทับใจแรกเมื่อยามลืมตาดูโลกของเรา คือร่วงหล่น เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกลง”

 

“แต่บิดาของท่านก็น่าจะช่วยท่านได้โดยเร็วนะ”

 

“ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อคิดว่าท่านแม่ของข้าจะเป็นคนลงมือช่วย ขณะที่ท่านแม่ก็คิดว่าท่านพ่อคงจะเป็นคนทำ ส่วนพวกรัฐมนตรีก็คิดว่าราชากับราชินีคงจะเป็นคนช่วยเอง พวกองครักษ์ก็ดันคิดว่ารัฐมนตรีน่าจะเป็นคนช่วยเหลือ เพื่อที่จะได้รับคำชมเชย ขณะที่แขกเหรื่อก็ต่างพากันคิดว่าองครักษ์นั่นแหละที่จะเข้าไปช่วย”

 

“ถ้างั้น ก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเลยหรือ?”

 

“ใช่ เราร่วงตกลงมาตั้งหลายพันเมตร กว่าที่จะได้รับการช่วยเหลือจากทุกคน”

 

“อ่า ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”

 

“ถึงตาเจ้าแล้ว ไหนลองบอกความลับของเจ้ามาสิ”

 

“ความลับงั้นหรอ … ก็คงจะเป็น ตัวกระหม่อมฝันว่าได้ข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มายาวนานหลายปี จนสุดท้ายก็ตายลง เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ค้นพบว่าตัวเองได้กลับมาอายุ 18 ปี อีกครั้ง น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง”

 

“นี่มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆ เราขอเดาว่าเสี่ยวเหมียวจะต้องสนใจพล็อตเรื่องแบบนี้แน่ๆ”

 

“นั่นสินะ ก็เธอเป็นนักเขียนนี่นา”

 

“ … ”

 

สองตาของลอร่าค่อยๆหุบลง และผล็อยหลับไป

 

กู่ฉิงซานเฝ้ารออย่างเงียบๆ

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

สักพักก็เห็นแค่เพียงลอร่าที่เริ่มร้องไห้ขึ้นมา ส่งเสียงสะอื้นในความฝัน

 

“ท่านแม่ .. หนูคิดถึงท่าน .. ”

 

แล้วเธอก็เริ่มพลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่าย

 

กู่ฉิงซานมองฉากนี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบธูปหอมขึ้นมาแล้วจุดมัน

 

นี่คือสิ่งที่ฉินเซี่ยวโหลวบรรจงสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน มันไม่เพียงทำให้ผู้คนหลับไหลลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยปลอบประโลมจิตเทวะไปในตัวอีกด้วย

 

ควันสีฟ้าจากธูปลอยฟุ้งไปทั่ว แทรกกลิ่นหอมจางๆไปในชั้นอากาศ

 

ไม่นานนัก ลมหายใจของลอร่าก็กลับมาสงบและสม่ำเสมอ การแสดงออกทางสีหน้าของเธอผ่อนคลายลง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองเธอ แล้วค่อยๆคลายใจลง

 

“น่าจะโอเคแล้ว” เขากล่าวเสียงกระซิบ

 

ทันใดนั้นดาบยาวที่สาดแสงคล้ายหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า

 

ดาบยาวหมุวนอย่างเงียบๆ และเปลี่ยนร่างตนกลายเป็นผู้หญิงในชุดคลุมฟ้า

 

“นายน้อย ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

 

“อืม คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้นจากฟูก และมอบตำแหน่งเดิมของเขาให้แก่ฉานนู่

 

“นายน้อย ถ้าท่านจะสู้ .. ” ฉานนู่กล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย

 

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังมีดาบพิภพกับเช่าหยินอยู่ เอาไว้ถ้าสถานการณ์ไม่สู้ดี ข้าจะเรียกเจ้าก็แล้วกัน”

 

“แต่นั่น-”

 

“วางใจเถอะ เจ้าก็ตระหนักดีนี่ ว่าท่าร่างของข้ายอดเยี่ยมเพียงใด หากคิดหนี ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย”

 

“เจ้าค่ะ”

 

ฉานนู่พอได้ฟัง จึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย

 

เธอเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ตนให้กลายเป็นกู่ฉิงซาน

 

ฉานนู่กลายเป็นกู่ฉิงซาน นั่งลงบนฟูกและคอยเฝ้ามองลอร่า

 

ขณะที่กู่ฉิงซานตัวจริงพร้อมที่จะจากไปแล้ว

 

ม้าทมิฬจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

กู่ฉิงซานลูบหัวของมันและกล่าว “สถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เจ้าเองพักอยู่ที่นี่เถอะ”

 

ม้าทมิฬพยักหน้า “ท่านจะไปสู้งั้นหรือ? ระมัดระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม และพุ่งออกจากค่ายกลไป

 

สายลมยามค่ำคืนปะทะกายต้อนรับเขา กู่ฉิงซานกระโจนข้ามบ่อเลือด วิ่งไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร่างศพ มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง

 

ซึ่งนี่แตกต่างจากตอนที่เขามากับลอร่า กู่ฉิงซานในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ต้องมาคอยกังวล เมื่อเขาเดินทางเพียงลำพัง

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับสายฟ้าฟาด วูบวาบผ่านเมืองที่นิ่งงันไปด้วยความตายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ดาบพิภพและเช่าหยินตามติดเขาอย่างใกล้ชิด และบินไปข้างหน้าด้วยกัน

 

วี้ดดดด!

 

วู้วววว!

 

ฮี่ฮี่!

 

วู้มมมมมม!

 

เบื้องหน้า บังเกิดเสียงร้องแปลกๆนับไม่ถ้วนดังขึ้น ทั้งเสียงโกรธ เสียงหัวเราะ เสียงตื่นตระหนก หรือเสียงที่ฟังดูบ้าคลั่ง ดังขึ้นมาพร้อมกันในคราเดียว

 

กู่ฉิงซานหยุด และทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า

 

ตำแหน่งนี้ อยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมาก

 

โซนข้างหน้า คงจะเป็นจุดที่เข้าสู่พื้นที่ต่อสู้!

 

ภายในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน พื้นที่แห่งนั้นคือนรก มันคือทุ่งสังหาร เป็นสถานที่อันน่าขนหัวลุก

 

หากคนทั่วไปได้ย่างกรายเข้าสู่สถานที่ดังกล่าว เกรงว่าต่อจากนี้ไป ก็คงจะมีภาพความทรงจำสยองเกล้าที่มิอาจลบเลือนได้ติดตัวไปชั่วชีวิตของเขา

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ ปากเอ่ยพึมพำ “ผล็อยหลับไปก็ดีแล้ว เพราะภาพต่อจากนี้ไป มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆสมควรจะดู”

 

ว่าจบ หนึ่งมือก็คว้าจับดาบพิภพ ขณะที่สองเท้าก้าวเดินตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ..