ตอนที่ 469 คุณไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม
เฉินฝานซิงมองเธอเงียบๆ ด้วยสายตาคู่นั้นที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
จี้อี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกเธอมองจนหน้าแดงลามไปถึงใบหู เธอรีบพูดขึ้นว่า
“ฉันแค่คิดว่าแบบนี้มันค่อนข้างจะประหยัดเวลาน่ะ เราแช่น้ำด้วยกันไปพลาง แล้วก็ปรึกษากันไปพลางๆ ว่าควรจะเอายังไง…”
ผ่านไปครู่หนึ่งเฉินฝานซิงจึงส่ายหน้า
“ฉันสบายดี ไม่ต้องแช่น้ำกับเธอหรอก ดื่มน้ำอุ่นสักหน่อยก็พอแล้ว”
คุณผู้ชายบางคนเวลาหึงแล้วก็หึงครอบจักรวาล ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหญิง หากกลับไปแล้วถูกถามขึ้นมา ทีนี้จะให้เธอตอบเขาว่าอะไร
โกหก?
เหอะ ผู้ชายช่างสังเกตคนนั้น!
คงจะหลอกเข้าไม่ได้!
ความผิดหวังถูกฉาบขึ้นในหัวใจของจี้อี้ แต่เธอกลับได้เพียงพยักหน้าแล้วเดินขึ้นข้างบนไปด้วยตัวเอง
สิบห้านาทีหลังจากนั้น จี้อี้สวมชุดลำลองเดินลงมา
ดูเหมือนว่าเฉินฝานซิงคงจะรวบเก็บกระดาษบนพื้นขึ้นมา แล้วนำไปกองไว้บนโต๊ะน้ำชาอย่างลวกๆ
ในตอนนั้นทีวีจอแอลซีดีตรงหน้าก็ถูกเปิดขึ้น บนนั้นคือภาพของแม่ของจี้อี้ที่กำลังป่วยหนัก จี้อี้กำลังเล่นเปียโนในขณะที่แม่ของเธอกำลังนั่งรับแสงแดดอยู่บนวีลแชร์ตรงระเบียง
เมื่อเห็นว่าเธอลงมา เฉินฝานซิงดันแก้วน้ำร้อนไปไว้ตรงหน้าเธอก่อนจะชี้ไปที่โทรทัศน์แล้วเอ่ยขึ้น
“เพลงเปียโนนั่นคุ้นหูจังเลย”
จี้อี้เม้มปาก สายตาทอดมองไปยังผู้เป็นแม่ที่คลุมเสื้อแจ็คเก็ตและฟังเธอเล่นเปียโนอยู่อย่างเงียบๆ บนวีลแชร์ด้วยท่าทางเห็นใจเล็กน้อย
“เป็น ‘โตวซื่ออ้าย’ (รักทั้งสิ้น) เวอร์ชั่นแรกๆ ตอนนั้นมันยังไม่ดีพอ เพราะหลังจากที่แม่ได้ฟังแล้วท่านก็ดูจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่”
เฉินฝานซิงกลับไปจดจ้องหน้าจอโทรทัศน์อยู่อีกสักพัก แม้ว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่บนวีลแชร์จะดูสีหน้าเรียบเฉย แต่เธอก็มองออกว่าบนใบหน้าที่แสนจะเย็นชานั้น ยามที่จี้อี้หันไปเล่นเปียโน มุมปากของเธอก็ได้ยกขึ้นมาจางๆ ความอ่อนโยนและการยอมรับยังคงปรากฏให้เห็นผ่านแววตา
ที่แท้เธอก็ภูมิใจในตัวของจี้อี้ แต่คงจะกลัวว่าคำชมและการยอมรับของเธอที่มีต่อจี้อี้ จะทำให้จี้อี้ได้ใจจนไม่พัฒนาตัวเอง
เธอจ้องโทรทัศน์ต่อไปอีกสักพัก มุมปากของเฉินฝานซิงก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มขึ้นอย่างพอใจ
ทันใดนั้นเมื่อเธอเหลือบไปดูนาฬิกาข้อมือก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นว่า
“ดึกมากแล้ว ฉันจะพูดให้เธอฟังคร่าวๆ แล้วกัน ออฟฟิเชียลของหลานอวิ้นได้แถลงการณ์ออกมาแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาอาจจะประกาศยกเลิกสัญญากับเธอออกสื่อ เธอก็ไม่ต้องไปสนใจ แล้วก็รุ่นพี่ของเธอคนนั้นในเมื่อทำมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันคิดว่าพรุ่งนี้เขาก็คงจะร่วมมือกับหลานอวิ้นเพื่อแฉเธอ เธอไม่ต้องไปสนใจอีกเหมือนกัน! นอกจากนี้ เธอช่วยอัดวีดีโอนี่ให้ฉันชุดหนึ่ง แล้วก็เอาบัญชีโซเชียลทั้งหมดของเธอมาให้ฉันด้วย ฉันจะจัดการให้เธอเอง!”
เฉินฝานซิงพูดขึ้นอย่างเร็วจี๋ราวกับกำลังรีบ
จี้อี้เองก็พลอยถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงของเธอไปด้วยเช่นกัน เธอรีบหากระดาษปากกาขึ้นมาเขียนรหัสแอคเคาท์โซเชียลของตัวเองพลางถามเฉินฝานซิงด้วยความสงสัย
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง”
“แต่งเพลง เมื่อกี้ฉันดูเพลงที่วางอยู่บนพื้นพวกนั้นคร่าวๆ ไปแล้วครึ่งหนึ่ง อันที่จริงฉันว่ามันก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เธอจะลองดูดีๆ แล้วปรับๆ แก้ๆ ดูอีกที ไม่ก็เขียนขึ้นมาใหม่สักหลายๆ เพลงเลยก็ได้ ภายในหนึ่งเดือน อย่างน้อยๆ จะต้องได้เพลงออกมาห้าเพลง หากต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ เธอมาหาฉันได้เลย ฉันพอจะรู้เรื่องดนตรีอยู่บ้าง”
จี้อี้มองเฉินฝานซิงแบบอึ้งๆ “หนึ่งเดือนห้าเพลง?!”
เฉินฝานซิงพยักหน้า “ฉวยโอกาสที่หลานอวิ้นและหลินสื่อเจียกำลังปั่นกระแสให้เธออยู่ตอนนี้ ฉันจะรีบเตรียมคอนเสิร์ตให้เธอให้ไวที่สุด!”
แป๊ก ปากกาของจี้อี้ร่วงหล่นลงพื้น เธอผงกศีรษะขึ้นมองเฉินฝานซิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณ…คุณว่าไงนะ จะจัดคอนเสิร์ตให้ฉัน?!”
ตอนที่ 470 คืนนี้ค้างที่นี่เถอะ
“คุณ…คุณว่าไงนะ จะจัดคอนเสิร์ตให้ฉัน?!”
เฉินฝานซิงพยักหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
“ใช่!”
จี้อี้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เธอค้ำโซฟาเอาไว้ด้วยมือและเท้าที่ไม่มั่นคง
“คุณ…คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า หลานอวิ้นกับหลินสื่อเจียแทบจะเล่นฉันถึงตาย พวกเขาจะมาสร้างกระแสอะไรให้ฉัน พรุ่งนี้หลังจากงานแถลงข่าว ฉันก็นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพแบบไหน! หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ฉันยังจะต้องมาจัดคอนเสิร์ตอีกหรอ ถามจริง จะมีสักกี่คนที่ซื้อตั๋วของฉัน พอถึงตอนนั้นมันต้องกลายเป็นเรื่องตลกแน่ๆ คุณ…”
จี้อี้ส่ายหน้า มันจะออกมาเป็นยังไงนะ แม้แต่คิดเธอยังไม่กล้าเลย!
เฉินฝานซิงหันมองเธอด้วยสายตาแน่วแน่ “ไม่ได้บอกว่าจะพิสูจน์ตัวเองรึไง ไม่ทันจะเริ่มก็ยอมแพ้ซะแล้วเหรอ”
จี้อี้ชะงักงัน สายตาเธอกวาดไปมองยังร่างของผู้เป็นแม่ในหน้าจอ เธอกัดริมฝีปากแน่น “ไม่ ฉันไม่ได้จะยอมแพ้ แต่ว่าตอนนี้…สภาพของฉัน…จังหวะแบบนี้จะดีจริงๆ เหรอ”
“แค่เธอเชื่อมั่นก็พอแล้ว แต่งเพลงให้สบายใจเถอะ ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
จี้อี้มองเฉินฝานซิงที่ดูใจเย็น เด็ดเดี่ยว หนักแน่น และสุขุม หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของเธอก็พลอยสงบลงอย่างช้าๆ ช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับเธอได้อย่างบอกไม่ถูก
ราวกับว่าขอแค่มีอีกฝ่ายอยู่ ทุกๆ อย่างจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายเธอก็กัดฟันแล้วพยักหน้ารับแรงๆ แววตาก็อัดแน่นไปด้วยความแน่วแน่ไม่แพ้กัน
“ค่ะ! ฉันเชื่อคุณ!”
“อื้ม” เฉินฝานซิงพยักหน้ารับ แล้วนำบัญชีโซเชียลต่างๆ ของจี้อี้ขึ้นมาเก็บเอาไว้
“ตอนนี้อัดวิดีโอนั่นให้ฉันชุดหนึ่ง” เฉินฝานซิงชี้ไปที่ทีวี
“อ้อ ได้สิ!”
จากนั้นไม่นาน เฉินฝานซิงก็ได้รับแฟลชไดร์ฟมา ก่อนจะกำชับเธอด้วยเสียงเย็นชาอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ไปเซ็นสัญญากับฉันที่ซิงเฉินกั๋วจี้ด้วย”
จี้อี้กลืนน้ำลานลงคอไปอึกหนึ่งด้วยความกังวล “คุณ…คุณจะให้ฉันเซ็นสัญญาจริงๆ เหรอ”
เฉินฝานซิงกวาดตามองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป
“เธอจะไม่มาฉันก็ไม่ว่า”
จี้อี้รีบคว้าข้อมือเฉินฝานซิงเอาไว้ “ไม่ๆ ไม่ ฉันจะไปค่ะ! ฉันแค่กลัวว่าจะทำให้คุณเสียใจภายหลังถึงได้ถามไปแบบนั้น”
“นั่นก็ต้องดูว่าเธอมีความสามารถแค่ไหนที่จะไม่ทำให้ฉันนึกเสียใจภายหลัง!”
“ฉัน…ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน!”
เฉินฝานซิงกระตุกมุมปาก เสียงเย็นยังคงเอ่ยขึ้นอย่างประหยัดถ้อยคำ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
เธอดึงข้อมือของตัวเองกลับแล้วหยิบกุญแจรถขึ้นมาก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังทางออก
จี้อี้วิ่งเหยาะๆ ตามเธอไป “ดึกป่านนี้แล้ว ก็ค้างเสียที่นี่เถอะ!”
เฉินฝานซิงผ่อนลมหายใจด้วยความจนใจ “ไม่ต้องหรอก”
นี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว อย่าว่าแต่ดึกๆ ดื่นๆ ป่านนี้ไม่ยอมกลับบ้าน กลับไปแล้วเธอก็ไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับคุณผู้ชายบางคนอย่างไร
จี้อี้มองเฉินฝานซิงที่ออกไปขึ้นรถ แถมยังบึ่งรถออกไปอย่างเร็วรี่ หัวคิ้วของจี้อี้ก็ขยับเข้าหากันเล็กน้อย อย่างไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้เธอใจร้อนกลับบ้านไปแบบนั้น
ทว่าครู่หนึ่งหลังจากนั้น เธอก็สูดลมหายใจเข้าจนชุ่มปอด แล้วหมุนตัวเข้าบ้านไป หยิบเนื้อเพลงหลายแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาตรงเข้าไปยังห้องทำงาน
ในตอนนี้เธอมีความรู้สึกมากมายที่อยากจะบรรยาย และความคิดมากมายที่อยากจะพรั่งพรูออกมา หนึ่งเดือนห้าเพลง มาคิดๆ ดูแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่เห็นจะสักเท่าไหร่
เงียบหายไปตั้งหลายปี แค่ห้าเพลงจะไปพอแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างไร
เพียงไม่นาน จี้อี้ก็ได้เข้าสู่โหมดทำงานไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อเฉินฝานซิงกลับมาถึงคอนโด ไฟในห้องยังคงสว่างไสวตามที่คาดไว้ เมื่อเธอขึ้นมาข้างบนแล้ว เดินผ่านห้องอ่านหนังสือ ป๋อจิ่งชวนยังคงจัดการงานสำคัญอยู่ในนั้น
เพียงแค่เสื้อผ้าบนร่างกายได้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดคลุมนอนไปเรียบร้อยแล้ว