ชาดอกเก๊กฮวย…เหมือนหลิวเหมยจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ปฏิกิริยาตอบสนองจากทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ[1] ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนใช้ชาดอกเก๊กฮวยตั้งเป็นเงื่อนไข
หลิวเหมยอยากยัดเงินกลับไป แต่ก็เห็นแม่ของผู้ชายฟีนิกซ์รีบดึงตัวเธอไปไว้ข้างตัวอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด จากนั้นก็ยิ้มให้เสี่ยวเชี่ยนแบบเป็นกันเองพร้อมโบกมือให้ “ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะเกรงใจทำไม—เสี่ยวลุ่ย รีบไปส่งพี่สะใภ้เร็ว”
หลิวเหมยมองเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนเดินออกไป เงินของเสี่ยวเชี่ยนอยู่ในมือเธอ เงินนี้กลับไปค่อยคืนพี่สะใภ้แล้วกัน
“พี่สะใภ้เธอเป็นใครกัน” พอเสี่ยวเชี่ยนไปแม่ของผู้ชายฟีนิกซ์ก็รีบถามทันที
“เขาเป็นลูกสะใภ้ของลูกคนที่สี่ของลุงหนูค่ะ พวกเราพักอยู่ด้วยกัน”
“ทำตัววางมาดขนาดนี้เขาทำงานอะไรน่ะ”
“เป็นหมอค่ะ” หลิวเหมยไม่ค่อยชอบให้คนอื่นซักไซ้เรื่องของเสี่ยวเชี่ยน โดยเฉพาะเมื่อกี้ที่เพิ่งจะมีเรื่องหมางใจกันไป
ถ้าไม่ติดว่าเห็นแก่หน้าของหม่าลุ่ย เธอคงออกไปกับเสี่ยวเชี่ยนแล้ว
ตอนคุยโทรศัพท์หม่าลุ่ยสร้างภาพให้พ่อแม่อย่างกับว่าเป็นพ่อแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ เลี้ยงเขาให้โตมาด้วยความยากลำบาก พยายามบอกหลิวเหมยทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า ภรรยาในอนาคตของเขาต้องกตัญญูต่อพ่อแม่เขา ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับทำผิดต่อความลำบากของพ่อแม่ที่มีมาหลายปี ก่อนหลิวเหมยมาถึงได้คิดเอาไว้ว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาอย่างยากลำบากจะต้องมีแววตาที่ใจดี—ปรากฏว่าพอเจอแล้วก็รู้สึกว่าแปลกๆตรงไหนชอบกล
“เป็นหมอจะมีเงินขนาดนั้นได้ยังไง แฟนเขารวยมากใช่ไหมล่ะ” แม่หม่ายังโลภถามต่อ สายตาเอาแต่จ้องเงินปึกใหญ่ที่อยู่ในมือหลิวเหมย เธออยากจะนับด้วยตัวเองจริงๆว่ามีเท่าไร
“พี่ชายหนูเป็นทหารค่ะ” ความรู้สึกอึดอัดของหลิวเหมยทวีคูณมากขึ้น
“เป็นทหารอยู่ที่ไหน ยศอะไร” ครั้งนี้คนที่ถามคือหม่าลุ่ย
หลิวเหมยรู้สึกอึดอัดใจมากกับการที่ถูกไล่บี้ถามเรื่องส่วนตัว เธอไม่ได้ตอบไปตรงๆ ตอบแบบอ้อมๆ
“เป็นแค่ทหารธรรมดาๆค่ะ”
พนักงานเดินเข้ามาเสิร์ฟชาดอกเก๊กฮวย เสี่ยวเชี่ยนสั่งไว้ให้ก่อนไป
หลิวเหมยพอเห็นกาน้ำชาก็นึกถึงคำพูดที่เสี่ยวเชี่ยนพูดในคืนนั้นพร้อมดื่มชาดอกเก๊กฮวย
“หมอกับทหารธรรมดาจะมีเงินเยอะขนาดนั้นได้ยังไง คงรับเงินใต้โต๊ะจากคนไข้มาเยอะสินะ ตอนนี้หมอพวกนี้เงินดีจะตาย เสี่ยวชิงอีกหน่อยหาแฟนไปเอาพวกหมอเถอะ…”
พอได้ยินคำพูดของแม่หม่าหลิวเหมยก็ยิ่งสับสน พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาอย่างยากลำบากควรเป็นแบบนี้เหรอ…
พอออกจากร้านอาหารสุ่ยเซียนก็ถอนหายใจโล่งอก “อึดอัดเป็นบ้าเลย…เชี่ยนเอ๋อ ใจเธอนี่กว้างแค่ไหนกันนะ เงินเหลือเยอะใช่ไหม เอาเงินให้น้องสาวทำไม ต่อให้เขาเอาเงินเปย์บ้านนั้น คนพวกนั้นก็ไม่เห็นในความดีหรอก เธอเงินเยอะเอาไปบริจาคเด็กด้อยโอกาสไม่ดีกว่าเหรอ หรือไม่ก็ซื้ออาหารแมวอาหารหมาเอาไปเลี้ยงหมาแมวจรจัดยังจะดีซะกว่า เมื่อกี้ถ้าเธอไม่หยิกฉัน ฉันคงลุยซักตั้งแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนหัวเราะหึหึ “เปย์ที่ไหนกันเล่า นั่นน่ะแค่อุปกรณ์ที่ใช้ยั่วโมโหคน”
“ยั่วโมโห ครอบครัวที่เห็นเงินเป็นพระเจ้านั่น เธอยื่นเงินให้มีแต่จะระริกระรี้หางกระดิกล่ะไม่ว่า แล้วจะโมโหได้ยังไง ฉันเริ่มเดาทางเธอไม่ถูกแล้วนะ ปกติเธอไม่ลงไม้ลงมือ แต่วันนี้ไม่ใช่แค่ลงมือยังจะให้เงินด้วย”
“ที่ฉันไม่ค่อยลงไม้ลงมือเป็นเพราะฉันเชื่อว่าคนเราถ้ามีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่าก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง สำหรับคนที่หน้าหนาชนิดที่กระสุนยังยิงไม่เข้าแบบนั้น ตบทีเดียวยังถือว่าให้เกียรติด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรถ้าเอาเงินให้เห็นแต่เอาไปใช้ไม่ได้ ไม่ยิ่งทำให้คนพวกนั้นทรมากว่าหรอกเหรอ เธอรอดูฉันปั่นหัวคนพวกนั้นต่อไปเถอะ”
เสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“หา…ฉันเข้าใจแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนี้สุ่ยเซียนก็เข้าใจทันที ทั้งขำทั้งสงสัย “เชี่ยนเอ๋อ ที่เธอไม่พาเหมยจื่อออกมาจากครอบครัวนั้นก็เพื่อแก้แค้นเหรอ”
“ก็ไม่ถึงกับแก้แค้นหรอก เพราะยังไงน้องฉันก็ยังไม่ได้ถูกหลอกเอาเงินหรือเสียตัว ฉันก็แค่ไม่สบอารมณ์ที่คนในครอบครัวฉันถูกคนเหยียบย่ำแบบนั้น มีประโยชน์ก็เหยียบ พอไม่มีประโยชน์ก็เขี่ยทิ้ง ดังนั้นการที่ให้คนพวกนั้นมาในครั้งนี้ก็เพื่อเอาคืนด้วยวิธีเดียวกัน พวกเขาเหยียบน้องสาวฉันใช่ไหมล่ะ ฉันก็จะเหยียบกลับ”
“คนแบบนั้นมีค่าอะไรให้เธอเหยียบ” สุ่ยเซียนพอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ที่เผชิญหน้ากันก็รู้สึกขนลุก
“ขนาดขี้ยังเป็นปุ๋ยได้ คนเลวก็ใช้เป็นยากระตุ้นให้เติบโตได้เหมือนกัน ฉันจะใช้โอกาสนี้ให้น้องฉันได้เรียนรู้ ได้บทเรียนแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวดไม่ดีเหรอ”
ถ้าไม่เจอกับอุปสรรคก็จะไม่เห็นโลกแห่งความจริง แล้วหลิวเหมยจะเจอแก่นแท้ของการแต่งงานได้ยังไง
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าหลิวเหมยไม่ได้ชอบแฟนคนนี้เท่าไรหรอก ก็แค่เชื่อคำทำนายบ้าบอของอาจารย์ที่ว่าถ้าไม่แต่งงานปีนี้จะซวยทั้งบ้าน ดังนั้นพอมีคนที่เหมาะสมอยู่ใกล้ตัวเธอก็จึงเอามาขัดตาทัพก่อน หากเสี่ยวเชี่ยนอยากจะแยกสองคนนี้ก็แค่พูดไปประโยคเดียว อย่างไรเสียก่อนหน้านี้สองคนนี้ก็เคยเลิกกันมาแล้ว เป็นเพราะเสี่ยวเชี่ยนวางแผนให้หลิวเหมยใช้ข้ออ้างเรื่องซื้อบ้านทำให้ผู้ชายกลับมาขอคืนดี
ตอนที่สุ่ยเซียนเพิ่งกลับมาวันแรกได้ถามเสี่ยวเชี่ยนเรื่องหลิวเหมย เสี่ยวเชี่ยนยิ้มแบบมีเลศนัย เพราะเธอเริ่มวางแผนให้หลิวเหมยตั้งแต่ตอนนั้น
เสี่ยวเชี่ยนปรึกษากับอวี๋หมิงหลางแล้ว สุดท้ายเสี่ยวเฉียงก็เห็นด้วยกับวิธีของเธอ
เพราะต่อให้เธอหยุดเรื่องหลิวเหมยกับหม่าลุ่ยได้ แต่ถ้าหลิวเหมยไม่ได้บทเรียนจากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ต่อไปก็คงจะมีเรื่องของจูลุ่ย หวางลุ่ย หลี่ลุ่ยตามมาอีก พอเจอคนมากๆเข้า ถ้าผู้หญิงยังไร้เดียงสา ก็คือเนื้ออันโอชะของผู้ชายเจ้าเล่ห์ดีๆนี่เอง
คนที่ตรรกะความคิดประหลาดมีถมเถ เมื่อกี้จริงๆแล้วเธอจะพาตัวหลิวเหมยออกมาเลยก็ได้ แต่ต่อไปคิดว่าจะไม่เจอคนแบบนี้อีกเหรอ ไม่สู้ปล่อยหลิวเหมยไว้ให้ได้เห็นธาตุแท้ของครอบครัวนี้กับตาตัวเอง รอจนหลิวเหมยตาสว่างเตะหม่าลุ่ยทิ้ง เธอก็จะได้บทเรียนแล้วไม่ถูกหลอกอีก
เสี่ยวเชี่ยนทิ้งหลิวเหมยเอาไว้เพราะความคิดที่อยากลองใจหม่าลุ่ย ซึ่งอีกฝ่ายก็ติดกับทันที
เรื่องของครอบครัวหม่าก็เป็นเครื่องเตือนใจให้สุ่ยเซียน การสั่งสอนของประธานเชี่ยนได้เป็นเครื่องเตือนใจให้ทั้งสุ่ยเซียนและหลิวเหมย ถือเป็นเรื่งที่ได้บุญ
“ได้เป็นน้องของเธอถือเป็นวาสนา ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้น” สุ่ยเซียนพูด การที่ได้อยู่กับประธานเชี่ยนผู้เป็นดั่งภูผาอันแข็งแกร่งนับว่าเป็นบุญของพวกเธอ
พฤติกรรมของครอบครัวหม่าเมื่อครู่ทำให้สุ่ยเซียนรู้สึกขยะแขยง เธอรู้สึกว่าประธานเชี่ยนยังเอาคืนไม่สาแก่ใจ ควรจะตบต่อเนื่อง
“ช่วงนี้หาเงินได้เยอะ รู้สึกว่าควรทำการกุศล” เสี่ยวเชี่ยนพูด
“เธอทำการกุศลอะไร หรือนั่นไม่ได้เป็นการช่วยตระกูลอวี๋”
“ฉันไม่ใช่แค่ช่วยน้องสาวในครอบครัวนะ หลังจากที่ครอบครัวนั้นได้รับบทเรียนแล้วก็จะเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ไม่เท่ากับว่าฉันได้ช่วยให้คนเลวได้กลับตัวเหรอ แถมได้ปรับทัศนคติคนบางคนที่คิดจะหาประโยชน์จากผู้หญิงด้วย”
ประโยคสุดท้ายเธอหันไปมองอาเหม็ด อาเหม็ดถูกเสี่ยวเชี่ยนหลอกด่ามาหลายครั้งแล้วจนตอนนี้เขาไม่คิดจะหันไปมองเสี่ยวเชี่ยนอีก แถมยังแอบท่องว่า ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน…
[1] ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเกิดจากการวางเงื่อนไข