ภาคที่ 2 ตอนที่ 130 หลังจากนี้อีกสิบปีให้ฆ่าลั่วไหวหนาน

มรรคาสู่สวรรค์

ในอีกแง่หนึ่ง สิ่งมีชีวิตนั้นกำลังแสดงความระแวดระวังต่อจิ๋งจิ่ว

 

นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับนางแล้ว จิ๋งจิ่วถือเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง

 

ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ คนที่สามารถคุกคามนางได้นั้นมีน้อยมาก หรือเรียกได้ว่าไม่มี

 

จิ๋งจิ่วมิได้ทะนงตน เขารู้ว่านั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายจดจำตนเองได้เท่านั้น

 

ลำแสงกระบี่ที่สะบั้นสายฟ้าบนยอดเขาชิงซานเมื่อในอดีตนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนล้วนแต่มองเห็น

 

ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ค่อนข้างแปลกประหลาด ดังนั้นนางจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก

 

จิ๋งจิ่วยังคงคิดอยากลอง

 

หากตนเองออกไป หรือว่าแค่ให้กระบี่ออกไป จะถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นภัยคุกคามหรือเปล่า

 

—- สถานการณ์ของไป๋เจ่ามิค่อยดีเท่าไรนัก

 

กระบี่มิคำนึงแหวกอากาศบินออกไปทางใต้อย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นเอง จิตสำนึกนั้นพุ่งมาอีกครั้ง

 

พายุหิมะโหมกระหน่ำ สายฟ้าที่ไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า

 

กระบี่มิคำหนึ่งส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนจะบินกลับมาที่มือของเขา แสงสีแดงดูอ่อนแรงลงไปเล็กน้อย

 

จิ๋งจิ่วมั่นใจว่ากระบี่มิคำนึงไม่มีปัญหา เขามองไปยังส่วนลึกของพายุหิมะ คิ้วขมวดขึ้นมา

 

ตัวเองเพียงแค่อยากจะออกไป เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้อ่อนไหวถึงเพียงนี้?

 

หรือว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนแต่เป็นเช่นนี้เมื่ออยู่ในเวลาแบบนี้? ไร้ซึ่งเหตุผลถึงเพียงนี้?

 

……

 

……

 

จิ๋งจิ่วกลับเข้ามาในถ้ำ กล่าวกับไป๋เจ่าว่า “ช่วงนี้พวกเรายังไม่สามารถออกไปได้ เตรียมตัวให้พร้อม”

 

ไป๋เจ่าถาม “ต้องรอถึงเมื่อไร?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “รอจนกว่าเจ้าจะหลอมจินตันขึ้นใหม่ แล้วใช้ตราประทับหมื่นลี้ได้”

 

ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ “นั่นอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกหลายปี หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ก็ได้”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “อย่างนั้นก็รอจนกว่านางจะคลอดลูกออกมาแล้วค่อยว่ากัน เพียงแต่ข้าไม่แน่ใจว่านานเท่าไร ในบันทึกก็ไม่เคยบันทึกเรื่องนี้เอาไว้”

 

ไป๋เจ่างุนงง กล่าวถามว่า “เจ้าหมายถึงใคร? ใครจะคลอดลูก?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ราชินีหิมะ”

 

ไป๋เจ่าตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

ในเวลานี้นางถึงได้เข้าใจ เหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ ที่เจอในการประลองวิถีพรตปีนี้ล้วนแต่มาจากสาเหตุนี้

 

เหตุใดสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นที่ราบหิมะเพื่อเตรียมตัวสำหรับคลื่นอสูรในครั้งหน้าถึงได้ตื่นขึ้นมาก่อน? เหตุใดอากาศถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้? ที่แท้เป็นเพราะราชินีน้ำแข็งกำลังจะคลอดลูก ดังนั้นนางจึงเรียกรวมพลในอาณาจักรทั้งหมด ปิดตายเส้นทางทั้งหมดที่เป็นไปได้ เพื่อป้องกันมิให้ถูกโลกภายนอกรุกราน ขณะเดียวกันเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง

 

“แล้วหมอกประหลาดนั่นมันคืออะไร?”

 

“น่าจะเป็นเลือดลมของตัวนาง”

 

ไป๋เจ่ายังไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากความตกตะลึงได้ นางกล่าวพึมพำว่า “…สมแล้วที่เป็นราชินีหิมะ เพียงแค่คลอดลูกก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขนาดนี้ได้แล้ว”

 

นางไม่สามารถหาคำพูดไหนมานิยามความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ได้

 

เมื่อได้ยินไป๋เจ่าทอดถอนใจ จิ๋งจิ่วจึงเกิดความรู้สึกแปลกๆ

 

ตอนแรกเขารับรู้ได้ว่ากำลังจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เขาคิดว่านั่นเป็นการตอบสนองของฟ้าดินจากการที่ตัวเองมายังที่ราบหิมะ

 

ความจริงแล้ว การตอบสนองของฟ้าดินเหล่านั้นมิได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แค่เป็นเพราะว่าราชินีน้ำแข็งจะคลอดลูกเท่านั้น

 

ศิษย์พี่คำนวณถึงจุดนี้ได้ ถึงได้จัดฉากให้เขามายังที่ราบหิมะ

 

ตอนนั้นเขาคิดว่าการคาดการณ์ของตัวเองนั้นอยู่บนพื้นฐานของการมั่นใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ดูแล้วมันออกจะหลงตัวเองไปหน่อยจริงๆ

 

ไป๋เจ่าถามว่า “นางไม่ยอมให้ผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์เข้าใกล้ อันนี้ยังพอเข้าใจได้ แต่เหตุใดถึงไม่ให้พวกเราออกไป?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “นางอาจจะเพิ่งเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จึงวิตกกังวลและอ่อนไหว ไม่ยอมใช้ปัญญาในการครุ่นคิดปัญหา อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการตัดสินใจ”

 

สิ่งที่เรียกว่าใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจก็คือการที่นางมองว่าจิ๋งจิ่วเป็นอันตรายอย่างมาก จำเป็นต้องจับตาดูเขาไว้ ต่อให้อยู่ห่างกันเป็นแสนลี้ก็ยังไม่อนุญาตให้เขาทำการเคลื่อนไหวใดๆ

 

ในเวลานี้จิ๋งจิ่วเข้าใจแล้ว ความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่ราชินีหิมะมองว่าเป็นภัยคุกคาม ความจริงแล้วก็คือความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา

 

เพราะสิ่งที่ราชินีหิมะเฝ้าระวังของนั้นมิใช่การจับตาดูว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการเคลื่อนไหวเหล่านั้นมันหมายความว่าอะไร หากแต่เป็นตัวเขา

 

หากผู้บำเพ็ญพรตที่สูญหายอยู่ในดินแดนอันหนาวเย็นนี้มิใช่เขา บางทีอาจจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ง่ายกว่า

 

เขาครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้เงียบๆ

 

ภายในถ้ำเงียบสงัด

 

“ราชินีหิมะหน้าตาเป็นอย่างไร? ได้ยินว่านางน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ลูกของนางที่เพิ่งคลอดออกมาจะน่ารักหรือเปล่า?”

 

ไป๋เจ่าถามอย่างสงสัย

 

จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร

 

ไป๋เจ่าพลันไอขึ้นมา บนใบหน้าอันขาวซีดมีรอยแดงที่ไม่ปกติปรากฏขึ้น

 

ในดินแดนที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงเช่นนี้ อย่าว่าแต่รักษาอาการบาดเจ็บและหลอมจินตันขึ้นมาใหม่เลย กระทั่งคิดจะมีชีวิตรอดต่อไปก็ยังเป็นปัญหา

 

จิตจำแนกที่มาจากในส่วนลึกของพายุหิมะยังคงจับตาดูที่นี่อยู่ ถึงแม้จะเป็นจิตจำแนกที่แบ่งออกมาเพียงเล็กน้อย แต่มันกลับทำให้ภายในถ้ำไม่มีที่ให้ใช้หลบซ่อนตัวได้

 

จิ๋งจิ่วรู้ว่าตนเองไม่สามารถใช้มือทำลายหิน แล้วหลบหนีออกไปทางใต้ดินได้

 

เขากับนางจะผ่านวันเวลาอันหนาวเย็นที่อาจจะนานแสนนานนี้ไปอย่างไร?

 

“คัมภีร์มุกแดงอาจจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้ แต่การฝึกวิชานี้จำเป็นต้องทำสมาธิเป็นเวลาสามปี”

 

จิ๋งจิ่วมิได้ถามนางว่ายินดีเรียนหรือไม่ หากแต่เริ่มท่องเคล็ดวิชาออกมา

 

เขาท่องออกมาได้เพียงสี่พยางค์แรกก็ต้องหยุดลง

 

เพราะไป๋เจ่าพูดออกมาประโยคหนึ่ง

 

“ที่แท้เจ้าเป็นผู้สืบทอดของวัดกั่วเฉิงจริงๆ ด้วย”

 

นางมองดูดวงตาของเขา ก่อนถามเสียงเบาๆ ว่า “พระของวัดกั่วเฉิงสามารถกลับคืนสู่โลกปุถุชนได้หรือ? แล้วแต่งงานได้หรือเปล่า?”

 

ยังไม่ทันที่จิ๋งจิ่วจะตอบคำถาม นางก็คิดถึงเรื่องราวของเทพดาบขึ้นมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กๆ

 

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปยังหว่างคิ้วของนาง ปลายนิ้วแฝงเอาไว้ด้วยพลังที่เงียบสงบอย่างมากสายหนึ่ง

 

เมื่อเห็นนิ้วมือที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ไป๋เจ่ารู้สึกตกใจเล็กน้อย

 

สุดยอดวิชาอย่างวิชาก้วนติ่งนั้นมีแต่สมณะสูงศักดิ์ของสำนักฌานเท่านั้นถึงจะใช้ได้ มาตรว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบทอดที่ลงมายังโลกปุถุชนของวัดกั่วเฉิงจริงๆ แต่อายุเพียงเท่านี้ ทำไมถึงใช้วิชานี้ได้?

 

ไร้ซึ่งซุ่มเสียง ปลายนิ้วของจิ๋งจิ่วสัมผัสกับหว่างคิ้วของนาง ภาพและตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ หลั่งไหลตามจิตจำแนกแห่งกระบี่เข้าไปในทะเลแห่งการรับรู้ของนาง

 

ไป๋เจ่าหลับตาสงบอารมณ์ เรียนรู้อย่างเงียบๆ

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ๋วจิ่วดึงนิ้วกลับมา

 

“ตรงไหนไม่เข้าใจ ในช่วงสองสามวันนี้ให้รีบมาถามข้า”

 

ไป๋เจ่าลืมตา รู้สึกไม่อยากละสายตาไปจากเขา

 

นางรู้ว่าหากตนเองเรียนรู้คัมภีร์มุกแดงนี้แล้ว ในช่วงเวลาหลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงทำสมาธิอันยาวนาน การที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเหน็บเช่นนี้ แล้วยังสามารถหลอมจินตันขึ้นมาได้ใหม่ นางย่อมต้องรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงว่าในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ ถึงแม้นจิ๋งจิ่วจะอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับไม่สามารถมองเห็นได้ ถึงอดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้

 

จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขานั่งลมปรับลมปราณ กระบี่เหล็กที่อยู่ในอ้อมอกจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง ส่องสว่างถ้ำหินที่มืดมิดและเยือกเย็น

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนจากเพลิงกระบี่ ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าใช้พลังแบบนี้ไปได้นานเท่าไร?”

 

“หากไม่หนาวไปกว่านี้ ก็น่าจะใช้ไปได้ตลอด”

 

ที่จิ๋งจิ่วพูดนั้นหมายถึงความเร็วในการฟื้นฟูปราณก่อกำเนิด

 

ไป๋เจ่ารู้สึกตกใจ กล่าวว่า “หรือเจ้าไม่คิดจะพักผ่อน”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถือเป็นการบำเพ็ญเพียรพอดี”

 

เมื่อกลับมายังชิงซานและเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง เขาไม่พบปัญหาใดๆ เขาเพียงแต่ต้องรอให้ช่วงเวลาสำคัญๆ มาถึงเท่านั้น ตอนนี้ในเมื่อไม่สามารถออกไปได้ อย่างนั้นก็บำเพ็ญเพียรต่อแล้วกัน ไม่มีใครมารบกวนพอดี

 

ไป๋เจ่ากล่าวอย่างเป็นห่วง “แบบนั้นมันลำบากมากนะ”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “สิ่งที่ศิษย์ชิงซานเคยชินมากที่สุดก็คือการฝึกฝนอย่างยากลำบาก ตอนนั้นเจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่บนยอดเขากระบี่สามปี ต้องต่อสู้กับเจตน์กระบี่ทั้งวันทั้งคืน ลำบากเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับที่นั่นแล้ว ที่นี่เพียงแค่หนาวกว่าเล็กน้อยเท่านั้น มิได้มีอะไรลำบากเลย”

 

ไป๋เจ่าคิดถึงการเผชิญหน้าครั้งแรกในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น ในใจพลางครุ่นคิดว่าความรู้สึกของตนเองน่าจะผิด จึงถามออกไปว่า “พรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตของนางดีมากหรือ?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “พอใช้ได้”

 

คำวิจารณ์นี้ไม่ถือว่าสูงนัก

 

ไป๋เจ่าถามอย่างใคร่รู้ “อย่างนั้นเจ้าว่าถ้าเทียบกับข้าแล้วเป็นอย่างไร?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนนี้สภาวะของนางยังไม่พอ นั่นเป็นเพราะอายุยังน้อย หากไม่มีอะไรผิดคาด ภายในสิบปีนางจะก้าวข้ามลั่วไหวหนานไปได้”

 

เขาไม่ได้ตอบคำถามไป๋เจ่าตรงๆ แต่ไป๋เจ่าเข้าใจความหมายของเขา

 

ลั่วไหวหนานเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาว จัวหรูซุ่ยเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาเทียนกวงไม่ออกมา บนโลกไม่มีใครที่จะเทียบเขาได้อีกแล้ว

 

หากกระทั่งพรสวรรค์ของลั่วไหวหนานยังไม่อาจเทียบเจ้าล่าเยวี่ยได้ เช่นนั้นนางก็ย่อมเทียบไม่ได้เช่นกัน

 

แต่สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้ยังแค่ถือว่า….พอใช้ได้?

 

แต่ไป๋เจ่าไม่เชื่อคำพูดของจิ๋งจิ่ว

 

หลังเกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ความรู้สึกที่นางมีต่อลั่วไหวหนานนั้นแย่ลงไปอย่างมาก ทว่านางยังคงคิดว่าไม่มีใครที่จะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตเทียบเท่าลั่วไหวหนานได้

 

ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ก็ไม่มีทางที่จะก้าวข้ามเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่สิบปีแน่นอน

 

เมื่อพูดถึงลั่วไหวหนาน ไป๋เจ่ารู้สึกเศร้าใจ จากนั้นจึงนึกถึงคำพูดที่จิ๋งจิ่วพูดในวันนั้นขึ้นมา

 

“จุดประสงค์ในการบำเพ็ญพรตคือการมีอายุยืนยาว ความเป็นความตายนั้นคือเรื่องใหญ่เพียงหนึ่งเดียว จำเป็นต้องถูกเคารพยำเกรง หากใช้มันมาเป็นเครื่องมือในการทดสอบส่งเดช นั่นเท่ากับว่าไม่เคารพ”

 

เวลานี้นางเข้าใจคำพูดประโยคนี้แล้ว

 

ลั่วไหวหนานไม่อาจก้าวข้ามการทดสอบนี้ไปได้ แต่คนที่เจ็บปวดกลับเป็นนาง

 

นางไม่อยากจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก จึงถามว่า “เจ้าล่าเยวี่ยมองลั่วไหวหนานเป็นเป้าหมาย ก็เลยบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากเช่นนี้?”

 

จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ มิได้กล่าวอะไร ในใจครุ่นคิดว่าเป้าหมายในการบำเพ็ญเพียรของนางคือตนเองต่างหาก

 

“เมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกถ้ำ เจ้าอยากจะให้กระบี่มิคำนึงบินออกไปจากที่ราบหิมะเพื่อขอความช่วยเหลือหรือ?”

 

“ไม่ใช่ คนที่สามารถช่วยพวกเราได้ ขอเพียงเข้ามาก็จะทำให้นางผู้นั้นหวาดระแวงและโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็จะถูกฆ่าตาย คนที่ไม่สามารถช่วยพวกเราได้ เข้ามาก็มีแต่จะตายเปล่า”

 

“อย่างนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

“ข้าอยากจะส่งข้อความบอกเจ้าล่าเยวี่ย”

 

“ส่งข้อความ? ข้อความอะไร?”

 

“หากอีกสิบปีหลังจากนี้ข้ายังออกไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้ฆ่าลั่วไหวหนานซะ”

 

“เหตุใดถึงไม่ส่งข้อความเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของลั่วไหวหนาน?”

 

“เพราะไม่มีใครที่จะเชื่อเรื่องนี้ นอกเสียจากพวกเราจะมีชีวิตรอดออกไปพูดเรื่องนี้เอง”

 

“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ยอมใช้ตราประทับหมื่นลี้หนีไป? นางผู้นั้นน่าจะหยุดไม่ได้”

 

“ข้าออกไปพูดเรื่องนี้คนเดียว ก็ยังไม่มีใครเชื่ออยู่ดี”

 

“แต่อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีชีวิตรอด”

 

“เดิมข้าก็ไม่มีทางตายอยู่แล้ว”

 

“แต่ก็ไม่ต้องมาทรมานอยู่ในที่ที่หนาวเย็นเช่นนี้”

 

“ถ้าข้าจากไป ก็จะไม่กลับมาอีก แบบนั้นมันยุ่งยากเกินไป เจ้าจะตายได้”

 

“เจ้าเป็นห่วงข้า ก็เลยอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้า?”

 

“หากเจ้ายังไม่ตั้งใจรักษาอาการบาดเจ็บตัวเอง อีกไม่นานเจ้าก็จะตาย เช่นนั้นแล้วข้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่”

 

……

 

……

 

กลางฤดูร้อน เมฆภายในเมืองอวิ๋นจี๋ยังคงเยอะเหมือนก่อน หรืออาจจะเยอะกว่าแต่ก่อนเสียอีก

 

เมฆหมอกที่ไหลออกมาจากในหมู่เขาปกคลุมท้องฟ้าที่อยู่เหนือเมือง ไม่ยอมสลายตัวไป

 

ในช่วงที่แสงอาทิตย์ร้อนแรงที่สุด บนก้อนเมฆมีเรือกระบี่ลำหนึ่งปรากฏกายตะคุ่มๆ ทอดเงาลงมาจากพื้นเบื้องล่าง

 

ชาวบ้านที่อยู่ในเมือง นักท่องเที่ยวที่ได้ข่าวแล้วเดินทางมาและเหล่าสาวกคุกเข่าอยู่ใต้เงานั้น พากันเงยหน้ามองดูเรือกระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้า ด้วยหวังว่าจะได้รับโชคที่ท่านอาจารย์เซียนประทานลงมาให้

 

เรือกระบี่มิได้กลับชิงซาน นี่เป็นคำขอของเจ้าล่าเยวี่ย

 

เป็นเพราะนางได้รับบาดเจ็บ เรือกระบี่จึงมิกล้าบินเร็ว จากเมืองเจาเกอมาถึงที่นี่ใช้เวลาไปพอสมควร เรี่ยวแรงนางฟื้นคืนมาบางส่วน แต่สีหน้ายังคงขาวซีด

 

ในตอนที่เรือกระบี่หยุดลง การประลองวิถีพรตเพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่กี่วัน หรือก็คือตอนที่จิ๋งจิ่วรู้สึกไม่ดี

 

นางเองก็รู้สึกแปลกๆ

 

จากนั้นก็มีข่าวส่งมาจากทางที่ราบหิมะเรื่อยๆ

 

จิ๋งจิ่วเคลื่อนไหวแล้ว

 

จิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต

 

จิ๋งจิ่วขอให้การประลองวิถีพรตหยุดลง บังคับให้ศิษย์ชิงซานทุกคนที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตกลับออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นเมืองเจาเกอหรือว่าในชิงซาน เรื่องนี้ล้วนแต่ทำให้เกิดการพูดคุยกันเป็นวงกว้าง

 

ศิษย์ชิงซานเก้าคนถูกส่งกลับมายังเมืองไป๋เฉิงอย่างปลอดภัย

 

แต่จิ๋งจิ่วกลับหายไป

 

เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ที่หัวเรือ ทอดตาเมืองไปยังชั้นเมฆที่ไกลออกไป พลางกล่าวว่า “ไปเมืองไป๋เฉิง”

 

……………………………………..