เหล่าลูกศิษย์ที่ควบคุมเรือกระบี่ต่างสบตากันพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ภารกิจของพวกเขาก็คือไปเมืองเจาเกอรับเอาเจ้าล่าเยวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา เห็นๆ อยู่ว่าชิงซานอยู่ตรงหน้า รั้งอยู่ข้างนอกหลายวันเช่นนี้ก็ถือเป็นการขัดคำสั่งเหล่าอาจารย์แล้ว แล้วนี่ยังจะให้ไปทางเหนือที่อยู่ไกลออกไปอีก?
กู้ชิงมองศิษย์เหล่านั้น พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “รีบไปเตรียมตัวเถอะ พวกเจ้าก็รู้ว่าอารมณ์ของอาจารย์อากับอาจารย์ของข้าไม่ค่อยดีเท่าไร”
ชั้นเมฆรอบเรือกระบี่ถูกแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ทำให้ปั่นป่วนขึ้นมา กลายเป็นเส้นยาวๆ ทอดตัวไปด้านหลัง
กู้ชิงเดินกลับมาที่หัวเรือ สายตาเลื่อนจากเมฆหมอกที่ถูกแหวกออกกลับมายังแผ่นหลังของเจ้าล่าเยวี่ย ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ความเร็วของเรือกระบี่ยังคงเชื่องช้า เจ้าล่าเยวี่ยมิได้เร่งเร้าอะไร หลังจากนั้นอีกหลายวันกว่าจะมาถึงเมืองไป๋เฉิง
เมืองไป๋เฉิงที่ในอดีตเงียบสงบ ในเวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นคึกคัก แต่กลับหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมด้วยเช่นกัน
ท้องฟ้ายามเย็นแดงฉาน แต่มิได้มีความรู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เห็นๆ อยู่ว่าเป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่กลับคล้ายว่าอยู่กลางฤดูหนาว
ในตอนที่เรือกระบี่ของชิงซานร่อนลง ตรงที่ที่ไกลออกไปคล้ายมองเห็นเรือวิเศษของสำนักอื่นด้วย
บนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยหิมะ มีเรือจำนวนมากตั้งกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่วันมานี้
“ในเวลาแบบนี้ก็ยังไม่ลืมที่จะพักอย่างสบาย สมกับเป็นพวกเซียนจริงๆ”
ในตอนที่กู้ชิงกล่าวประโยคนี้ สีหน้าราบเรียบเป็นยิ่งนัก สัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกเย้ยหยันในคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายมิได้ยินคำพูดของเขา สายตามองไปในท้องฟ้ายามเย็นที่อยู่รอบกาย
สภาวะของนางยังตื้นเขิน แต่ความสามารถในการรับรู้ของร่างกระบี่หลังกำเนิดนั้นเฉียบคมเป็นอย่างมาก นางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านบนชั้นเมฆ
ดูเหมือนยอดคนของแต่ละสำนักกำลังจ้องมองไปทางทิศเหนือจากตรงนั้น
เพียงแต่ว่า แค่ดูเฉยๆ อย่างนี้หรือ?
……
……
เรือกระบี่ไม้ลงจอดด้านนอกเรือนหลังหนึ่ง
หนานว่างยืนอยู่ด้านนอกเรือน
หลายวันก่อน นางกับเหอกั๋วกงและคนอื่นๆ เดินทางจากเมืองเจาเกอมาถึงที่นี่
หากเป็นเวลาปกติ นางไม่มีทางที่จะออกมารอรับเจ้าล่าเยวี่ยด้วยตัวเองเด็ดขาด
ถึงแม้สถานะและความอาวุโสของทั้งสองฝ่ายจะเท่าเทียมกัน แต่ประสบการณ์และสภาวะนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
แต่สถานการณ์ในวันนี้ไม่เหมือนกัน
จิ๋งจิ่วสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงให้แก่สำนักชิงซานไปจนถึงทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต แต่เขากลับยังติดอยู่ในที่ราบหิมะ เป็นตายอย่างไรไม่รู้
ยอดเขาเสินม่อเดินทางมาดูแลเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่สมควร แล้วก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้าไปในเรือน เหล่าศิษย์ชิงซานพากันโค้งคารวะ
กู้ชิงเดินตามอยู่ด้านหลังนาง สายตากวาดมองดู พบว่าไม่มากไม่น้อย เก้าคนพอดี
หนานว่างมิได้ตามเข้ามา เพื่อที่จะให้ยอดเขาเสินม่อสะดวกที่จะสอบถาม หรือว่าระบายความโกรธ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เจ้าล่าเยวี่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เยาซงซานก้าวออกมา บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการประลองวิถีพรตอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ สายตากวาดผ่านใบหน้าของศิษย์ชิงซานเหล่านี้
ศิษย์ชิงซานเหล่านี้ล้วนแต่ก้มหน้า
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ชื่อเหลยอี้จิงใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายมิกล้าสู้หน้า
ในตอนที่จิ๋งจิ่วขอให้พวกเขาหนีออกมา พวกเขากลับมีท่าทีแข็งขืน กระทั่งคิดจะขัดคำสั่งโดยไม่สนใจสถานะความอาวุโส
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานประลองวิธีพรตหลังจากนั้นได้พิสูจน์การคาดการณ์ของจิ๋งจิ่ว
หากมิเป็นเพราะจิ๋งจิ่ว พวกเขาอาจจะตายอยู่ในหมอกประหลาดเหมือนอย่างศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ทั้งสองคนนั้นแล้วก็เป็นได้
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ทำเหมือนอย่างที่หนานว่างคาดเอาไว้ หลังสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดแล้วก็มิได้กล่าวอะไร หากแต่ให้พวกเขาออกไป
หลังจากนั้น ต้าเจ๋อลิ่งและผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเสวียนหลิงได้เดินทางมาขอบคุณ พร้อมขอเจ้าล่าเยวี่ยอย่าได้เศร้าเสียใจ
จากนั้นคนอื่นๆ อย่างเหอกั๋วกงและสมณะตู้ไห่ต่างก็เข้ามาเยี่ยม
จนในที่สุดก็ไม่มีใครมาอีก ภายในเรือนกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
“อย่าได้เศร้าเสียใจมันหมายความว่าอะไร? นี่มันเกินไปแล้ว!”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าวด้วยขอบตาที่แดงเล็กน้อย
กู้ชิงยังคงเยือกเย็น กล่าวว่า “หลังจากนี้จะทำอย่างไร หรือว่าทำได้แค่เพียงรอเฉยๆ อยู่ที่นี่?”
“ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในที่ราบหิมะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในคำสั่งของเจ้าสำนักบอกเอาไว้ชัดเจน ห้ามมิให้ศิษย์ชิงซานเข้าไปในที่ราบหิมะแม้แต่ก้าวเดียว โดยเฉพาะข้า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา
กู้ชิงครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าจะไปสอบถามทางนั้นเสียหน่อย ต่อให้ลั่วไหวหนานจะบาดเจ็บหนักแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะสลบอยู่ที่ยอดเขาอวิ๋นเมิ่งนานขนาดนี้แน่”
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางเมฆครึ้มทางทิศใต้ที่กำลังมีฝนตกลงมา กล่าวว่า “ข้าจะไปพบกฎแห่งกระบี่”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนคล้ายอยากจะกล่าวอะไรแต่ก็หยุดไป
……
……
กู้ชิงไปยังสถานที่ของสำนักจงโจว
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะเช่นเดียวกัน แต่ไหนแต่ไรมาสำนักจงโจวและสำนักชิงซานจึงไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าไร
หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางที่จะได้รับการต้อนรับที่ดีแน่ มีแต่จะถูกมองด้วยสายตาที่หวาดระแวงและเป็นศัตรู
แต่วันนี้เขากลับได้รับชาร้อนถ้วยหนึ่ง หลังจากที่ทราบว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของจิ๋งจิ่ว บนโต๊ะเบื้องหน้ายังมีผลไม้เพิ่มมาอีกจานหนึ่ง
คนที่มาต้อนรับเขาเปลี่ยนจากศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปผู้หนึ่ง
บรรยากาศภายในเรือนของสำนักจงโจวค่อนข้างตึงเครียดกดดัน
ไป๋เจ่าเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนัก สถานะของนางเมื่อเทียบกับจิ๋งจิ่วเวลาที่อยู่ในชิงซานแล้วไม่รู้ว่าสำคัญกว่าตั้งกี่เท่า
กู้ชิงกล่าวถามว่า “ขอเรียนถามผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าอาจารย์เซียนลั่วตื่นขึ้นมาแล้วหรือยังขอรับ”
ผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าว “ยังเลย ท่านนักพรตไป๋กำลังรักษาเขาอยู่”
ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างรู้ว่าไป๋เจ่าใช้แซ่ตามมารดา นักพรตไป๋ที่ว่าก็คือฮูหยินของเจ้าสำนักจงโจว
เจ้าล่าเยวี่ยถูกเว่ยเฉิงจึซึ่งเป็นอาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวลอบสังหารในหุบเขาหมิงชุ่ยที่อยู่นอกเมืองเจาเกอ เพื่อเรื่องนี้แล้ว นักพรตไป๋ได้เดินทางไปพบเจ้าสำนักชิงซานและหยวนฉีชิงที่ชิงซานเพื่ออธิบายเรื่องนี้ ด้วยสถานะและความอาวุโสของกู้ชิงแล้ว ย่อมไม่มีทางเข้าพบได้
เจ้าสำนักจงโจวและฮูหยินล้วนแต่เป็นยอดคนที่บรรลุสภาวะขั้นยานใหญ่ เทียบเท่ากับยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์อย่างเจ้าสำนักชิงซานและหยวนฉีจิง พลังฝีมือล้ำลึกสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ใกล้เคียงกับเทพเซียนที่อยู่ในตำนาน เมื่อได้ยอดคนเช่นนี้ลงมือรักษา ขอเพียงลั่วไหวหนานยังมีลมหายใจอยู่ อีกไม่นานก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้
กู้ชิงกล่าวว่า “ข้าขอรออยู่ที่นี่ได้หรือไม่ขอรับ?”
ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวมองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว เจ้าซึ่งเป็นศิษย์ชิงซานมาอยู่ในสำนักของข้าย่อมต้องไม่สะดวก แต่ก็เข้าใจว่าเขาร้อนใจเรื่องใด จึงมิได้กล่าวส่งแขก หากแต่กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ที่นี่แล้วกัน”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คืออย่าเที่ยวเดินไปทั่ว ถ้าเกิดเข้าใจผิดขึ้นมามันจะไม่ดี
กู้ชิงกล่าวขอบคุณ
ผู้อาวุโสสำนักจงโจวย่อมไม่มีทางอยู่เป็นเพื่อน เขาเดินออกไปก่อน
เมื่อเห็นชาร้อนและจานผลไม้ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ ความรู้สึกที่อยู่ในใจกู้ชิงก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ความสัมพันธ์ของสำนักชิงซานและสำนักจงโจวกำลังจะดีขึ้นแล้ว
อาจารย์กับไป๋เจ่าหายไปด้วยกัน ที่แท้กลายเป็นการเร่งให้โลกแห่งการบำเพ็ญพรตเกิดความสามัคคีกัน
กู้ชิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องเพ้อฝันเหล่านี้ นั่งรออย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียงฝีเท้าดังขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมา
ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวผู้นั้นเดินเข้ามา กล่าวว่า “ไหวหนานตื่นแล้ว”
กู้ชิงสีหน้าจริงจัง ปรับเปลี่ยนท่านั่ง ตั้งท่าพร้อมรับฟัง
ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวเริ่มบรรยายเรื่องราวที่ลั่วไหวหนานเล่าให้ฟัง
กู้ชิงฟังอย่างตั้งใจ สีหน้ามีสมาธิ ส่งเสียงอืมๆ ออกมาเป็นระยะ บางครั้งถอนใจเบาๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ากังวลใจ ทั้งยังรู้สึกตื้นตัน สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าเสียใจ
ในเรื่องราวนั้น จิ๋งจิ่วกับไป๋เจ่าเป็นคนดี ลั่วไหวหนานย่อมต้องเป็นคนดีเช่นกัน
เพียงแต่ก่อนหน้านั้น เขาได้ต่อสู้กับหนอนหิมะเพื่อช่วยถงหลู ก่อนจะถูกกลืนลงไปในท้องของหนอนหิมะจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สติค่อนข้างเลือนลาง
สิ่งที่เขาจำได้คือมีกระบี่สีแดงเล่มหนึ่งกรีดแทงผิวหนังของหนอนหิมะ
มีศิษย์น้องไป๋เจ่าถ่ายทอดปราณก่อกำเนิดเข้ามาในร่างกายของเขา
มีจิ๋งจิ่วยืนอยู่ในพายุหิมะ ต่อสู้กับหนอนหิมะด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หมอกอันหนาวเย็นคล้ายไม่สามารถทำอะไรเขาได้
พายุหิมะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไอหมอกยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ดูอันตรายขึ้นเรื่อยๆ ทั่วทั้งร่างของจิ๋งจิ่วเต็มไปด้วยเลือด แต่เขายังคงต่อสู้อย่างห้าวหาญ ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถต้านทานต่อไปได้แล้ว ศิษย์น้องไป๋เจ่าจึงใช้ตราประทับหมื่นลี้ส่งเขากลับมายังเขาอวิ๋นเมิ่ง
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือศิษย์น้องไป๋เจ่าทะยานเข้าไปหาจิ๋งจิ่ว จากนั้นฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน
หิมะถล่มลงมา
สิ่งที่ตกลงมาจากบนหน้าผามิใช่หิมะจริงๆ หากแต่เป็นหนอนหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน
……
……
ลั่วไหวหนานเล่าเรื่องเหล่านี้จบก็สลบลงไปอีกครั้ง
กู้ชิงฟังเรื่องราวนี้จบก็กล่าวลา
หลังบอกเล่าเรื่องราวจบ สายตาที่ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวมองดูเขามีความอ่อนโยนมากขึ้น กล่าวแสดงความเสียใจกับเขาเล็กน้อย ก่อนจะให้เซี่ยงหว่านซูออกมาส่งเขา
เซี่ยงหว่านซูเศร้าใจเป็นยิ่งนัก กล่าวอะไรกับเขาสองสามประโยค
กู้ชิงจำเนื้อหาในคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ เขาได้ยินประมาณว่าขอบคุณ หากไม่ได้จิ๋งจิ่ว ได้โปรดบอก หากมีเวลา อยากจะไปเยี่ยม…
ที่เขาไม่สามารถจดจำคำพูดเหล่านี้ได้ อาจจะเป็นเพราะในเวลานี้เขารู้สึกค่อนข้างหนาว
ทุ่งกว้างของเมืองไป๋เฉิงในเวลากลางคืนยิ่งหนาวเย็นกว่าในเวลากลางวัน
เขามองไปยังสีเทาขาวที่ปรากฏขึ้นลางๆ ภายใต้ท้องฟ้าทางทิศเหนือ ในใจครุ่นคิดว่านั่นคือหมอกอันหนาวเย็นที่เล่าลือกันว่าเข้าไปแล้วต้องตายอย่างนั้นหรือ?
อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?
เขากระชับคอเสื้อให้แน่น
ตอนที่อยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาฝึกเคล็ดกระบี่สุริยันของยอดเขาซื่อเยวี่ย กระบี่กลายเป็นเหมือนมังกรเพลิงทั้งหกตัว เจตน์กระบี่เองก็เช่นกัน ไม่หวาดกลัวความหนาว
แต่ตัวเขาในเวลากลับสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูก
……
……
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป
รุ่งอรุณกำลังมาเยือน
ในตอนที่กู้ชิงกลับมายังเรือนของสำนักชิงซาน เจ้าล่าเยวี่ยเองก็เพิ่งจะกลับมาพอดี
ไม่รู้ว่านางไปอยู่ใต้เมฆดำที่มีฝนตกนั้นนานเท่าไร แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทีท่าของเหล่ายอดคนแห่งสำนักชิงซานได้
หยวนฉีจิงไม่ยอมให้นางเข้าไปในที่ราบหิมะ
เด็กหนุ่มแซ่หยวนสีหน้าลังเล กล่าวว่า “ถ้ายังไงให้ข้า…”
กู้ชิงตบบ่าเขา กล่าวว่า “ไม่ต้อง”
จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องของลั่วไหวหนานให้ฟัง
เรื่องราวนี้ง่ายดายเป็นอย่างมาก เพราะลั่วไหวหนานได้รับบาดเจ็บสาหัส สติเลือนลาง ขาดรายละเอียดไปมากมาย เด็กหนุ่มแซ่หยวนฟังอย่างตั้งใจ ปะติดปะต่อภาพเหล่านี้เข้าไปในหัวสมอง รู้สึกว่าอาจารย์อาช่างยิ่งใหญ่ เลือดลมพุ่งพล่าน คิดอยากจะพุ่งเข้าไปในที่ราบหิมะ ห้ำหั่นกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นเสียเดี๋ยวนี้
เจ้าล่าเยวี่ยพลันมองกู้ชิงแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่ายังไง?”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เมื่อไม่มีรายละเอียด ก็ไม่มีช่องโหว่ แต่ข้า…ยังคงไม่เชื่อ”
และเป็นเพราะไม่เชื่อ เมื่อครู่ในตอนที่ออกมาจากสำนักจงโจว เขาถึงได้รู้สึกว่าลมยามค่ำคืนมันช่างหนาวเย็น
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนรู้สึกตกใจ กล่าวถามว่า “แต่ข้าไม่เห็นว่ามีตรงไหนแปลกเลย”
กู้ชิงกล่าว “นั่นเป็นเพราะเจ้าคลุกคลีกับอาจารย์น้อยเกินไป”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนถามอย่างไม่เข้าใจ “อาจารย์อาทำไมหรือ?”
เสียงของกู้ชงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เพราะเขาไม่มีทางเป็นคนที่ต่อสู้อย่างกระหายเลือด ห้าวหาญไม่หวาดหวั่น จนกระทั่งถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ยอมถอยหนีออกมาเหมือนอย่างที่ลั่วไหวหนานบรรยายมาน่ะสิ”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าเช่นนั้นเหตุใดลั่วไหวหนานถึงต้องพูดแทนอาจารย์อาจิ๋งมากมายขนาดนี้ บรรยายตัวเขาเสียจนยอดเยี่ยมเพียงนี้?
กู้ชิงกล่าว “ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก แต่เอาเป็นว่าคนที่เขาเล่ามานั้นไม่ตรงกับนิสัยของอาจารย์”
ขนตาของเจ้าล่าเยวี่ยลู่ตกลงเล็กน้อยกล่าวว่า “นั่นสิ เขาขี้เกียจขนาดนั้น กลัวตายขนาดนั้น….”
………………………………