ตอนที่ 106 คนชั่วฟ้องร้องก่อน
“เอ้อจ้วง เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร?” ชายสองคนในกลุ่มอันธพาลเป็นชาวเมืองอันผิง เมื่อเห็นต้าจี๋ ทั้งสองคนจึงรีบสบตากันและกล่าวโยนความผิดให้พวกเด็ก ๆ
“เจ้าเด็กพวกนี้จงใจก่อเรื่องหน้าแผงลอยของพี่น้องข้า ไม่ยอมไปที่อื่นสักที และอีกอย่างเจ้าพวกนี้เป็นคนเริ่มก่อนทั้งนั้น”
“ถูกต้อง” ชายผู้โชคร้ายดึงตะกร้าที่คลุมศีรษะออกก่อนยันกายลุกยืนขึ้นพลางปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก “เดิมข้าคิดว่าพวกเขายังเด็กจึงไม่สนใจ ทีนี้เจ้าเห็นแล้วนี่ว่าเด็กพวกนี้ทำร้ายข้าก่อน…”
“โอ๊ย… ดูนังเด็กบ้านนอกคนนี้สิ โหดเหี้ยมยิ่งกว่าหมาป่าเสียอีก!”
ชายหนุ่มผู้ที่ถูกเสี่ยวส้วยเอ๋อกัดยื่นแขนข้างที่ถูกกัดออกมา บนท่อนแขนมีรอยฟันสองซี่และเลือดไหลซึมออกจากบาดแผล
“ถุย!” เสี่ยวส้วยเอ๋อจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความโมโห
หากไม่ใช่เพราะแขนของชายอันธพาลสกปรก นางอยากจะกัดให้เนื้อหลุดออกมาด้วยซ้ำ!
“ต้า…”
เมื่อสังเกตเห็นต้าจี๋ เหอยาโถวก็เตรียมเปล่งเสียงฟ้องร้องทันที ทว่าหยุนเชวี่ยห้ามไว้เสียก่อน ดังนั้นเหอยาโถวจึงใช้ไหวพริบเปลี่ยนคำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยทันที
“พวก… ท่านทุกคนเห็นชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาเป็นฝ่ายรังแกข้าก่อน”
“พวกมันทุบตีคนอื่นก่อน!” ชีจินเหวี่ยงหมัดพร้อมตะโกนเสียงดัง “ทุกคนเห็นเหตุการณ์หมดแล้ว!”
“พวกเจ้าเป็นเด็กไม่รักษากฎระเบียบ แย่งชิงลูกค้าของข้า แล้วยังจะมีข้ออ้างอะไรอีก?” ชายผู้หนึ่งด่าทอ
“เจ้าเป็นคนตั้งกฎระเบียบในการค้าขายบนท้องถนนหรือ?” เหอยาโถวยืนเท้าเอวอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ครอบครัวของเจ้าผูกขาดการขายบ๊วยดองได้เพียงผู้เดียวหรือ? เจ้าเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ไปเป็นโจรเสียล่ะ!”
“ที่นี่ห้ามผู้อื่นขายบ๊วยดองหวาน ข้าขายได้เพียงผู้เดียว!” ชายอันธพาลเผยสีหน้าดุร้าย
หยุนเชวี่ยมองชายอันธพาลอย่างพินิจและรู้สึกว่าใบหน้าของเขาช่างคุ้นตายิ่งนัก หลังจากมองตะกร้าที่ถูกวางอยู่ด้านข้าง หยุนเชวี่ยจึงจำได้ว่าชายอันธพาลผู้นี้คือพ่อค้าเร่ที่พยายามชวนนางทะเลาะเมื่อครั้งก่อน
ชายอันธพาลบอกว่าผู้หญิงควรทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ที่บ้าน และยังล้อเลียนเหอยาโถวว่างดงามยิ่งกว่าพวกคุณหนูอีก
จุ๊ ๆ ๆ ที่แท้ก็เป็นสหายเก่านี่เอง!
“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าขันจริง หากเจ้ามีแซ่จาง แล้วเจ้าจะใช้แซ่อื่นไม่ได้อีกเลยรึ? ในมณฑลมีร้านอาหารตั้งมากมาย ข้าไม่เห็นจะมีร้านใดขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำธุรกิจเดียวกัน!”
“หากจะทำการค้าขาย ข้าต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเจ้าด้วยหรือ… ลูกบ๊วยของข้ามีรสชาติอร่อย ผู้คนมากมายจึงต้องการซื้อมัน… อิจฉารึ?”
“เจ้าเป็นเจ้าของตลาดแห่งนี้หรือ ทุกสิ่งที่เจ้าพูดมาจึงถือว่าเป็นกฎเกณฑ์? นอกจากนี้มีกฎเกณฑ์อะไรอีกหรือไม่?”
เรื่องการใช้กำลัง เหอยาโถวอาจเทียบไม่ได้ แต่เรื่องตีฝีปาก เหอยาโถวไม่เป็นรองผู้ใด
หยุนเชวี่ย เสี่ยวส้วยเอ๋อ และชีจินที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ต้องเปลืองน้ำลายในการโต้เถียงเลย
ฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ บ้างพยักหน้าเห็นด้วย บ้างกระซิบกระซาบ
“ผู้ใหญ่หลายคนรุมรังแกเด็กน้อย น่ารังเกียจนัก”
“ข้ารู้จักชายผู้นั้น เขาติดหนี้บ่อนพนันเชิ่งเต๋อเป็นเงินจำนวนไม่น้อย”
“ชายรูปร่างผอมดำคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ชายโสดผู้เลื่องชื่อในหมู่บ้านอาวสือที่ทุบตีมารดาจนตายอย่างไรล่ะ!”
ชาวบ้านอีกคนหนึ่งนิ่งอึ้ง
คำว่า ‘ชายโสด’ ไม่ได้หมายความว่าชายโสดที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่หมายถึงอันธพาลผู้โลภมากต่างหาก
“ข้าเห็นทุกอย่าง!” ทันใดนั้นเสียงอันทรงพลังก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“ข้าตั้งแผงลอยค้าขายอยู่ที่นี่สักพักแล้ว เห็นได้ชัดว่าหนุ่มน้อยชุดขาวถูกคนพาลพวกนี้รังแกก่อน!”
พ่อค้าเฒ่าที่ขายลูกหมูอยู่ข้างทางเอ่ยขึ้น รูปร่างของเขาผอมแห้งจนเห็นกระดูก ผมหงอกเต็มศีรษะ แต่เสียงนั้นกลับหนักแน่นผิดกับรูปลักษณ์ พ่อค้าเฒ่ายกนิ้วที่เหี่ยวย่นชี้ไปที่ชายรูปร่างผอมดำ “เขาคือหัวโจก!”
ชายอันธพาลหรี่ตาลงพลางเผยแววตาดุร้าย
ชาวบ้านรอบ ๆ ต่างเหงื่อแตกพลั่กแทนชายชรา
พ่อค้าเฒ่าลุกยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว หลังของเขายืดตรงพร้อมตะโกนว่า “มองอะไร? ข้ามีลูกชายห้าคน หลานชายอีกสิบสองคน! แต่ละคนมีร่างกายกำยำและแข็งแรงทั้งนั้น!”
หลังจากพูดจบ พ่อค้าเฒ่าก็ยืดตัวขึ้นพลางเป่าเคราสีขาวอย่างภาคภูมิใจ!
หยุนเชวี่ย…
เมื่อก่อนหยุนเชวี่ยไม่เข้าใจในความยึดมั่นถือมั่นของคนสมัยโบราณที่มีต่อคำว่า ‘ลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง’ แม้แต่น้อย ทว่าวันนี้หยุนเชวี่ยได้สัมผัสด้วยตนเองแล้ว
ภายใต้พื้นฐานทางสังคมที่ล้าหลัง การมีลูกหลายคนจึงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เห็นได้ชัดว่า ‘จำนวนคนในครอบครัว’ นั้นพูดถึงแค่สมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ชาย หากมีลูกสาวเพียงคนเดียว พ่อค้าเฒ่าต้องเจอกับเรื่องยากแน่นอน
เมื่อเห็นพ่อค้าเฒ่าตะโกนขึ้น ผู้คนรอบ ๆ จึงทำตาม “ข้าเห็นเหมือนกัน!”
“ข้าก็เห็น!”
“ใช่ ข้าก็เห็นเหมือนกัน!”
“ข้ากำลังซื้อบ๊วยดองจากพี่ชายคนนี้อยู่! และเมื่อมาถึง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงถีบพี่ชายคนนี้ล้มลงไปกับพื้น เขาเป็นคนทำ! เราต้องจับเขาไปส่งที่สำนักบริหาร!”
หญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดเดินออกมาพลางยกนิ้วเรียวยาวขึ้นชี้ชายอันธพาล
หญิงสาวที่มีอายุแก่กว่าก้าวไปขวางหญิงสาวคนนั้นเอาไว้
“พี่ชุนหลัน ข้าไม่กลัวเขาหรอก” มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวร้ายกาจไม่เบา นางเชิดคางพลางกลอกตา “สามีของข้ามีพี่น้องสี่คน ตัวข้าเองก็มีพี่น้องสี่คน แล้วข้าจะกลัวอะไร?”
แม้แต่หญิงสาวยังกล้าต่อกรกับอันธพาล ผู้คนรอบ ๆ จึงไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว เสียงตะโกนจึงดังเซ็งแซ่
“พูดถูก พวกเราต้องจับตัวเขาไปที่สำนักงานบริหาร!”
“ใช่! ให้ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ!”
แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่น้อยเห็นด้วยกับความคิดนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงส่งเสียงโห่ร้องอย่างครึกครื้น
“ใช่! ให้ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ตัดสินว่าใครต้องชดใช้น้ำซุปบะหมี่หม้อใหญ่และผงแป้งให้กับข้า” เจ้าของร้านบะหมี่กล่าวอย่างขมขื่น
เสี่ยวส้วยเอ๋อหยิบห่อบ๊วยดองน้ำตาลที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ขึ้นมาจากพื้น เนื่องจากส่วนที่เหลือตกกระจัดกระจายและสกปรกจนไม่สามารถนำมาขายใหม่ได้
“ในเมื่อผู้เห็นเหตุการณ์บอกเล่าเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราไปที่สำนักงานบริหารกันเถอะ” ต้าจี๋เชิดหน้าขึ้นพลางโบกมือเป็นสัญญาณ
“มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อยน่ะ ท่านเจ้าเมืองงานยุ่งอยู่แล้ว อย่าไปรบกวนท่านเลย” ชายอันธพาลเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนยิ้มเจื่อน
“ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่านายน้อยของข้ารังเกียจคนเช่นเจ้ายิ่งนัก!” ต้าจี๋เอามือไพล่หลังพลางมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ยังไม่ไปอีกรึ? ต้องให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานบริหารมาเชิญหรือไม่”
เดิมหยุนเชวี่ยคิดว่าต้าจี๋พาบ่าวรับใช้ในตระกูลมาร่วมงานเทศกาลและบังเอิญเจอพวกตนตกที่นั่งลำบากจึงยื่นมือเข้าช่วย จนกระทั่งหยุนเชวี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
น้ำเสียงนี้…
บรรยากาศเช่นนี้…
หรือว่าเจ้าอ้วนเฉียนจะเป็นลูกชายของท่านเจ้าเมือง?
ไม่สิ…
สองวันก่อนขณะที่อยู่ในร้านขายของชำ ต้าจี๋เคยพูดว่านายน้อยของเขาเป็นเพื่อนกับลูกชายของท่านเข้าเมืองไม่ใช่หรือ?
หรือบางที… เจ้าอ้วนเฉียนอาจไม่ต้องการทำตัวสูงส่งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น?
หยุนเชวี่ยพบว่าตนเองไม่รู้ข้อมูลของเจ้าอ้วนเฉียนแม้แต่น้อย นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าครอบครัวของเจ้าอ้วนเฉียนมีหน้ามีตาในสังคมและยังร่ำรวยอีกด้วย
ต้าจี๋และเด็กรับใช้มองทั้งสี่คนเดินเข้าไปในสำนักงานบริหาร
เจ้าอ้วนเฉียนที่เพิ่งได้ข่าวกำลังเดินทางมา เมื่อเห็นร่างของหยุนเชวี่ยมาจากที่ไกล ๆ ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้าน
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”
“ข้าไม่เป็นอะไร” หยุนเชวี่ยถือตะกร้าด้วยมือเพียงข้างเดียวพร้อมส่ายศีรษะ “เหออวี้ถูกทำร้าย”
เหอยาโถวมีสภาพน่าสังเวช เดิมทีเขามักแต่งตัวเรียบร้อยและหล่อเหลาราวกับจะไปเกี้ยวหญิงสาว ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเหอยาโถวซีดเผือด บนเสื้อคลุมยาวมีรอยรองเท้าขนาดใหญ่ประมาณสี่ถึงห้ารอย
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเหมือนกัน” เหอยาโถวโบกมือปฏิเสธ
ถึงอย่างไรเหอยาโถวก็เป็นเด็กผู้ชาย ถูกรังแกต่อหน้าสาธารณชนถือว่าน่าอับอายพอแล้ว เหอยาโถวจึงไม่อยากแสดงท่าทางอ่อนแอออกมา
“อ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นกับมือของเจ้า!” เสี่ยวส้วยเอ๋อคว้าแขนของเหอยาโถวเอาไว้พร้อมอุทานออกมาด้วยความตกใจ