ตอนที่ 107 กินไก่ย่าง
เดิมทีเหอยาโถวไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด ทว่าเมื่อเสี่ยวส้วยเอ๋ออุทานออกมา เหอยาโถวก็พบว่าบนหลังมือของตนมีรอยแผลยาวขณะที่เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทันใดนั้นความรู้สึกร้อนผ่าวพลันแล่นเข้ามา
“ซี๊ด…” เขาเผยสีหน้าเหยเกพลางสูดหายใจเข้า
“ตามข้ามาทำความสะอาดแผลก่อนเถิด”
เจ้าอ้วนเฉียนพาทุกคนเดินออกจากสำนักงานบริหารโดยใช้ประตูหลัก จากนั้นเดินเข้าไปในตรอกด้านข้างก่อนเคาะประตูอีกบานหนึ่ง
“ลุงหวัง เปิดประตูหน่อย”
“ขอรับ นายน้อย เหตุใดท่านถึงไม่ไปที่ประตูหลักล่ะขอรับ?” ชายหลังค่อมเดินกะเผลกมาเปิดประตู
“เพื่อนของข้าได้รับบาดเจ็บที่มือ” เจ้าอ้วนเฉียนบอกให้ทั้งสี่คนเดินเข้าไปก่อนหันไปกล่าวกับต้าจี๋ “ไปหาพ่อบ้านแล้วนำน้ำสะอาดและกล่องยามาที่นี่”
“ขอรับ” ต้าจี๋ตอบรับก่อนวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย
ที่นี่คงเป็นสวนหลังจวนของครอบครัวที่ร่ำรวยสินะ ภายในสวนมีโขดหิน ทางเดินสวยงาม และสระบัวที่เต็มไปด้วยดอกบัวบานสะพรั่ง
“ไป ไปนั่งกันเถอะ” เจ้าอ้วนเฉียนชี้ไปที่ศาลาริมน้ำ
ไม่นานต้าจี๋ก็มาถึงศาลาริมน้ำพร้อมกล่องยาในมือ ด้านหลังของต้าจี๋มีหญิงสาวที่สวมชุดคนรับใช้ถืออ่างทองแดงอยู่
“นายน้อยเฉียน” เมื่อสาวใช้เห็นเจ้าอ้วน นางจึงโค้งคำนับอย่างสุภาพ
ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อมองหน้ากันและกัน เด็กน้อยที่เติบโตในชนบทไม่เคยพบเห็นกฎเกณฑ์เช่นนี้ในครอบครัวขุนนางมาก่อน
เหอยาโถวเคยผจญโลกภายนอกมาบ้าง และบ้านพี่เขยรองก็มีสาวรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติเช่นกัน เพียงแค่พวกนางไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าพิถีพิถันเพียงนี้
สาวใช้ตัวน้อยผู้นี้มีหน้าตาจิ้มลิ้ม นางสวมกระโปรงยาวและเสื้อตัวโคร่งแลดูไม่คล่องตัวนัก
หยุนเชวี่ยกะพริบตาและอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจ
สวนหลังบ้านเช่นนี้ สาวใช้ตัวน้อยที่แต่งตัวเช่นนี้ หยุนเชวี่ยเคยเห็นในโทรทัศน์เมื่อชาติที่แล้ว ครอบครัวของเจ้าอ้วนเฉียนร่ำรวยไม่น้อย!
“คุณชายท่านนี้” สาวรับใช้ตัวน้อยวางอ่างทองแดงลงพลางหันไปกล่าวกับเหอยาโถว “หงหลิงขอดูบาดแผลที่มือของท่านหน่อยเจ้าค่ะ”
เสียงนั้นช่างนุ่มนวลและใสกังวาน
เหอยาโถวตกตะลึงเล็กน้อยก่อนยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย
หงหลิงหัวเราะในลำคอ “แผลไม่เหวอะหวะ แต่ท่านต้องอดทนกับความเจ็บปวดสักหน่อย”
หลังจากพูดจบ มือเรียวเล็กกวักน้ำสะอาดขึ้นมาล้างคราบเลือดบนบาดแผลอย่างระมัดระวัง
เหอยาโถวนั่งตัวตรงไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว นับประสาอะไรกับร้องโอดครวญ
หยุนเชวี่ยมองมือน้อยทั้งสองข้างของหงหลิง ในใจพลันเกิดความสงสัย ‘สาวรับใช้คนนี้ไม่ได้ทำงานหนักหรือ เหตุใดมือของนางถึงเรียวเล็กดั่งคุณหนูผู้สูงศักดิ์?’
“หงหลิงจะจัดยาที่มีประสิทธิภาพให้ท่าน อย่าให้บาดแผลโดนน้ำ และอีกสองวันบาดแผลคงตกสะเก็ดแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากพันแผลเสร็จ หงหลิงจึงกล่าวกำชับพลางกล่าวลาทุกคนที่อยู่ในศาลาก่อนเดินถืออ่างทองแดงออกไป
ไม่รู้ว่าเหตุใด ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อเผยสีหน้าอึดอัดออกมา
“เจ้าอ้วนเฉียน บ้านของเจ้าโก้หรูยิ่งนัก!” เมื่อไม่มีคนนอก หยุนเชวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ดอกไม้ใบหญ้าในสวนถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ชายคาของศาลาถูกสลักเป็นรูปหมู่มวลผกา ในสระน้ำมีปลาไนหลากสีจำนวนมากเวียนว่ายอยู่ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง!
“ฮ่าฮ่า ที่นี่หาใช่บ้านข้าไม่” เจ้าอ้วนเฉียนหัวเราะ
“หืม? ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเจ้าหรือ?” ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสงสัยและความประหลาดใจ
ไม่ใช่บ้านของตนรึ? ทว่าเหตุใดถึงเข้าออกได้ตามใจเช่นนี้?
“แล้วที่นี่คือที่ไหนเล่า? หากอยู่ในบ้านของคนอื่น เหตุใดเราถึงไม่ไปทักทายเจ้าของบ้าน?” หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าพวกนางปฏิบัติตนไม่เหมาะสม
“เจ้าของ…” เจ้าอ้วนเฉียนเกาศีรษะ “ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังอยู่ในสำนักบริหารหรือ?”
หยุนเชวี่ย?
เหอยาโถว?
ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อ?
ทั้งสี่คนเผยสีหน้าสับสนงุนงง
“ฮ่าฮ่า ที่นี่คือสำนักบริหารชั้นในน่ะ…” เจ้าอ้วนเฉียนกล่าวเสียงทุ้ม
ที่นี่คือสำนักบริหารชั้นในของมณฑล ไม่ใช่ที่พำนักของท่านเจ้าเมืองหรอกหรือ?
“นายน้อย พวกคนไร้ยางอายในตลาดถูกส่งตัวไปที่สำนักบริหารแล้วขอรับ” ต้าจี๋กล่าวเตือน
“ไปกันเถิด” เจ้าอ้วนโบกมือ “ไปฟังคำให้การของพวกมันกัน”
…
ทุกคนเดินตามไปอย่างว่าง่าย
เดิมหยุนเชวี่ยคิดว่าท่านเจ้าเมืองเป็นญาติของตระกูลเฉียน ทว่าเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ภายในสำนักบริหารมีรูปร่างผอมสูง ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตราวกับดวงตาของตั๊กแตนตำข้าว ไม่มีส่วนไหนคล้ายเจ้าอ้วนเฉียนเลยสักนิด
มณฑลอันผิงเป็นมณฑลที่มีความมั่งคั่ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่สุขสบายจึงไม่ค่อยมีผู้ใดมาฟ้องร้องที่สำนักบริหาร
ด้านนอกห้องโถงใหญ่มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรอดูความครึกครื้น
สิ่งนี้คือกระบวนการยุติธรรม หยุนเชวี่ยและคนอื่น ๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านเจ้าเมืองฟัง ผู้เห็นเหตุการณ์มากมายที่อยู่ด้านนอกต่างเอะอะโวยวายเพื่อขอเป็นพยาน
ตอนแรกพวกคนพาลเหล่านั้นคิดจะโต้เถียง แต่เมื่อเอ่ยปากก็ถูกพยานแย้งจนต้องนั่งคอตกและปิดปากเงียบ
เจ้าเมืองสบายเหลือหลาย เขาแทบจะไม่ต้องลงมือไต่สวนด้วยซ้ำ ซึ่งหน้าที่เดียวของเจ้าเมืองคือตัดสินอย่างเที่ยงธรรม
พ่อค้าเร่จ้าวต้าหนิว รวบรวมญาติของเขาหูตงชุ่น ชายว่างงานอู๋เอ้อจ้วง และอู๋ซานจ้วงเพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย ทำลายความสงบเรียบร้อยในที่สาธารณะ พวกเขาจึงถูกตัดสินจำคุกสามวัน ชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของร้านบะหมี่สิบเหรียญ อีกทั้งจ่ายค่าทำขวัญให้เหยื่อเช่นเหออวี้สามสิบเหรียญ
ทุกคนที่อยู่ด้านนอกต่างปรบมือเห็นด้วย
“โล่งใจจริง ๆ” ชีจินกำหมัดแน่น เมื่อเห็นจ้าวต้าหนิวและพรรคพวกถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไป
“ฮึ่ม! ช่างไม่สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำเอาเสียเลย!” เสี่ยวส้วยเอ๋อรู้สึกไม่ยุติธรรม “พวกมันทำให้มือของท่านพี่เหออวี้มีเลือดไหลออกมา!”
“ตอนที่ชุลมุน ข้าไม่ทันระวังตัวจึงถูกตะกร้าขูดเอา ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“เที่ยงแล้ว พวกเจ้าหิวกันหรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
หากนางไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็ยังไม่รู้สึกหิว… พวกเขาตื่นนอนแต่เช้าตรู่และทำงานยุ่งทั้งเช้า จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก
“ไปกันเถอะ พวกเราไปหาอะไรกินกันก่อน” หยุนเชวี่ยเหลือบมองเจ้าอ้วนเฉียน “วันนี้ต้องขอบคุณเจ้าและพี่ต้าจี๋ยิ่งนัก เชิญพวกท่านไปรับประทานอาหารกับเราเถิด”
“วันนี้คงไม่สะดวก ท่านป้ารองของข้ากำลังรออยู่ที่บ้าน นางกลับมาจากต่างแดนเพื่อเยี่ยมญาติน่ะ ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ” เจ้าอ้วนเฉียนกล่าว
“อืม ถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบกลับเถิด” หยุนเชวี่ยตอบอย่างเป็นกันเอง
ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันที่สำนักงานบริหาร
“พวกเจ้าอยากกินอะไร?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามเหอยาโถว
หากได้รับบาดเจ็บ เจ้ามักจะได้รับสิทธิพิเศษเสมอ
“กิน…”
กลิ่นไก่ย่างลอยตามลมมาจากภัตตาคารหลงชิงที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เหอยาโถวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “กินบะหมี่กันเถอะ”
ไก่ย่างในภัตตาคารหลงชิงนั้นมีราคาแพงเกินไป พวกเขามีเงินแค่สี่สิบห้าเหรียญจึงทำได้เพียงดมกลิ่นเท่านั้น
“เสี่ยวส้วยเอ๋อกับชีจินล่ะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอีกครั้ง
“อะไรก็ได้ ฮี่ฮี่”
“ข้ากินบะหมี่เช่นเดียวกับเหออวี้”
ทั้งสองคนสูดดมกลิ่นไก่ย่างพลางกลืนน้ำลาย
“อืม ไปร้านบะหมี่ของหวังเอ้อกัน” หยุนเชวี่ยเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก่อนหันกลับมามองคนที่เหลือ “หากขายบ๊วยเหล่านี้จนหมดเกลี้ยง ข้าจะเลี้ยงไก่ย่าง… ตกลงหรือไม่?
“จริงรึ?” ดวงตาของชีจินเปล่งประกาย เมื่อคิดทบทวน ชีจินก็ตระหนักว่าไก่ย่างนั้นราคาแพงเกินไปจึงส่ายศีรษะ
“จริงสิ ข้ารักษาสัญญาแน่นอน หลังจากขายหมดเกลี้ยงแล้วเราไปฉลองที่ร้านอาหารกัน!”
“ไปกินอาหารแล้วแบ่งเงินกันคนละครึ่งเถิด” เหอยาโถวตบถุงเงินในอ้อมแขนอย่างใจกว้าง
ร้านบะหมี่หวังเอ้อ
เด็กทั้งสี่คนนั่งรอบโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก่อนรินชาดื่มและฉวยโอกาสคำนวณรายได้ก่อนที่บะหมี่จะทำเสร็จ
ในยามเที่ยง เสี่ยวส้วยเอ๋อขายบ๊วยดองน้ำตาลได้สามสิบห้าห่อ คิดเป็นเงินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าหยวน ซึ่งเสี่ยวส้วยเอ๋อจะได้ส่วนแบ่งทั้งหมดสามสิบห้าหยวน
“ว้าว…” เมื่อเทเหรียญเงินในกระเป๋าออกมา เสี่ยวส้วยเอ๋อก็เบิกตากว้างพร้อมกลืนน้ำลาย
“ข้าไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน…”