ตอนที่ 108 ข้าสามารถหาเงินได้
“ข้าได้เงินเยอะเช่นกัน!” ชีจินล้วงถุงเงินออกมาจากสาบเสื้อพลางเขย่า
เหรียญเงินกระทบกันเกิดเป็นเสียงอันไพเราะ ทำให้เด็กทุกคนรู้สึกตื่นเต้น
“เด็กน้อย เงินทองย่อมไม่เปิดเผย อย่าเปิดโอกาสให้พวกโจรสิ” หวังเอ้อเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินกล่าวเตือน
“มีโจรปล้นกลางวันแสก ๆ ด้วยหรือขอรับ?” เหอยาโถวกล่าวพร้อมรีบเก็บเงินใส่ถุงอย่างรวดเร็ว
“เด็กน้อยเช่นพวกเจ้าหลอกง่ายจะตายไป…” หวังเอ้อเบ้ปาก “หากปล่อยพวกต้มตุ๋นฉวยโอกาส เจ้าคงร้องไห้โฮแน่!”
“คนโกหก?”
“พวกต้มตุ๋น?”
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวหันมองหน้ากันพร้อมหัวเราะคิกคัก
“เขาเป็นนักพรตรูปร่างผอมสูงใช่หรือไม่?”
“สวมเสื้อคลุมยาวสีเหลืองและถือแส้ใช่หรือไม่?”
เสี่ยวส้วยเอ๋อกะพริบตาอย่างสงสัย “พี่เชวี่ยเอ๋อรู้จักเขาด้วยหรือ?”
“ถุย!” เหอยาโถวถ่มน้ำลาย “ไอ้คนโกหกผู้นี้สาปแช่งให้ข้าเจอกับอุบัติภัยและให้สะเดาะเคราะห์ด้วยเลือด จนหยุนเชวี่ยต้องดึงเคราปลอมและเปิดโปงตัวตนของมัน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชีจินระเบิดหัวเราะจนเกือบพ่นน้ำชาออกมา “พี่เชวี่ยเอ๋อช่างจัดจ้านยิ่งนัก!”
คำว่าจัดจ้านของชาวไร่ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบแต่อย่างใด
พวกเศรษฐีมักปลูกฝังลูกชายให้เลือกลูกสะใภ้ที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน นอบน้อม หากสามารถบรรเลงกู่ฉิน เล่นหมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพได้ยิ่งถือว่าดี
ทว่าครอบครัวชาวไร่นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาคิดว่าการบรรเลงกู่ฉิน เล่นหมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพไม่สามารถหาเลี้ยงปากท้องได้
ชาวไร่ชอบหญิงสาวผู้ที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว สามารถทำงานหนัก ทนต่อกลิ่นเหงื่อ และเชี่ยวชาญด้านงานเรือน
“พี่ชีจินไม่ละอายบ้างหรือ” เสี่ยวส้วยเอ๋อกลอกตาพร้อมเหยียดยิ้ม “อายุสิบสี่ปีแล้วยังเรียกนางว่าพี่เชวี่ยเอ๋ออีก”
“ผิดแล้ว ข้าจะมีอายุสิบสี่ปีบริบูรณ์เมื่อถึงตรุษจีนต่างหาก!” ชีจินเกาศีรษะอย่างไร้เดียงสา
“ถึงกระนั้นยังอายุมากกว่าเชวี่ยเอ๋ออยู่ดี เหตุใดท่านถึงไม่เรียกข้าว่าพี่บ้างเล่า?”
ยิ่งทั้งสองคนทะเลาะกัน ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเสี่ยวส้วยเอ๋อจึงอารมณ์เย็นลงในขณะที่ชีจินยังคงส่งเสียงหัวเราะ
“ฮ่าฮ่า…” ชีจินผู้ซื่อบื้อพูดไม่ทันอีกฝ่ายจึงทำได้แต่หัวเราะ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้หยุนเชวี่ยจะเด็กกว่าและอายุน้อยกว่า แต่ชีจินกลับเชื่อใจหยุนเชวี่ย
“ก๋วยเตี๋ยวไก่ต้มยำมาแล้ว!”
ลูกจ้างของร้านตะโกนเสียงดังพลางยกบะหมี่สี่ชามที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นวางลงบนโต๊ะ
บะหมี่เส้นเล็กกินคู่กับน้ำซุปสีเหลืองนวลที่เคี่ยวจนมีรสกลมกล่อม ด้านบนมีน้ำมันสีเหลืองอร่ามลอยอยู่ โรยด้วยต้นหอมและไก่ฉีกหนึ่งกำมือ
เพียงได้กลิ่น ท้องก็ร้องโครกครากแล้ว
“รีบกินเร็วเข้า!” หยุนเชวี่ยหยิบตะเกียบขึ้นและถูเข้าด้วยกันตามความเคยชิน
“หอมจัง!” ชีจินหิวกระหายยิ่งนักจึงคีบบะหมี่เข้าปากอย่างตะกละตะกลาม ลิ้นของชีจินร้อนผ่าวจนน้ำตาแทบไหลออกมา
“กินช้า ๆ หน่อย หากไม่อิ่มสามารถสั่งเพิ่มได้”
เหอยาโถวเคยสัมผัสกับประสบการณ์นั้นแล้ว เมื่อมองเผิน ๆ จะเห็นว่าซุปไก่นั้นเข้มข้นและดูเหมือนว่าจะเย็นชืด ทว่าอันที่จริงมันร้อนมาก หากไม่เป่าให้หายร้อน น้ำซุปอาจลวกริมฝีปากและลิ้นจนพองได้
เหอยาโถวเป่าน้ำมันที่แยกชั้นกับน้ำซุปออกพลางเขี่ยเส้นบะหมี่ไปมาสักพักก่อนคีบเส้นบะหมี่คำเล็ก ๆ เข้าปาก
“เสี่ยวส้วยเอ๋อ เจ้าไม่กินหรือ? หากเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อยเอานะ” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นเสี่ยวส้วยเอ๋อถือตะเกียบและนิ่งไป
เสี่ยวส้วยเอ๋อเบ้ปากพลางก้มศีรษะลง “หอมจริง ๆ”
“ถ้ามันหอมก็กินเร็วเข้า!” ชีจินกล่าว ลิ้นของเขาถูกน้ำซุปลวกจนพุพอง ทว่ายังคงกินไม่หยุดราวกับคนอดอยาก
“ท่านแม่ของข้าไม่เคยเข้าร้านอาหารหรือกินอาหารรสเลิศเช่นนี้มาก่อน…” เสี่ยวส้วยเอ๋อกล่าวคำเบา
ชีจินที่กำลังยกชามบะหมี่ขึ้นซดนิ่งอึ้ง
เดิมทีชีจินไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวส้วยเอ๋อ ความรู้สึกผิดพลันแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของชีจิน
“ท่านแม่ของข้าก็เช่นกัน…
ครอบครัวยากไร้ในชนบทไม่มีเงินซื้อแม้แต่เนื้อ นับประสาอะไรกับแป้งสาลีที่สามารถซื้อกินได้เพียงไม่กี่ครั้งในหนึ่งปี
“ตอนนี้พวกเจ้าสองคนมีรายได้แล้วนี่ ก่อนกลับบ้านก็แวะซื้ออาหารอร่อย ๆ ไปตอบแทนบุญคุณของแม่เสียสิ” เหอยาโถวกล่าว
“ถูกต้อง” หยุนเชวี่ยพยักหน้า “อีกประเดี๋ยวข้าจะเอาเงินส่วนแบ่งที่เจ้าสองคนสมควรได้รับให้นะ”
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ เวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงยามบ่ายแล้ว
ผู้คนยังพลุกพล่าน ทว่าบางตากว่าตอนเช้ามาก
เดิมหยุนเชวี่ยวางแผนหารือกันเรื่องกลยุทธ์การค้า แต่เหอยาโถวได้รับบาดเจ็บที่มือ เสื้อผ้าสกปรก อีกทั้งบ๊วยในตะกร้าเหลือเพียงครึ่งเดียว หยุนเชวี่ยจึงตัดสินใจยกเลิกการขายไปก่อนและกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้
ภายในร้านบะหมี่ของหวังเอ้อ เด็กทั้งสี่คนแบ่งสันปันส่วนเงินส่วนที่ควรจะได้รับเสร็จสรรพแล้ว
เสี่ยวส้วยเอ๋อได้รับเงินสามสิบห้าเหรียญ ชีจินได้รับเงินสามสิบเหรียญ ส่วนหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวจะแบ่งเงินกันหลังจากขายบ๊วยดองน้ำตาลทั้งหมดและหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง
“นั่น… เป็นของข้าทั้งหมดเลยหรือ?” ชีจินแทบไม่เชื่อสายตาตนเองหลังจากมองไปที่เหรียญเงินสามสิบห้าเหรียญตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือออกไปหยิบมัน
หยุนเชวี่ยเอามือเท้าคาง “แน่นอนว่าเป็นของเจ้า”
“ข้าหาเงินทั้งหมดนี้ได้ภายในหนึ่งวันหรือ?”
“ไม่ใช่หนึ่งวัน แต่เป็นครึ่งวันต่างหาก”
ชีจินยืดคอพลางกลืนน้ำลาย “เงินทั้งหมดนี้สามารถซื้ออาหารได้มากแค่ไหน!”
มารดาของชีจินทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการทำไร่นาตลอดทั้งปี ซึ่งมีรายรับเพียงพอแค่ใช้จ่ายไปวัน ๆ เท่านั้น ทว่าชีจินกลับหาเงินมากมายได้เพียงครึ่งวัน!
“ข้าไม่ได้พูดมากใช่หรือไม่? ตราบใดที่เราขยันหมั่นเพียรเหมือนเชวี่ยเอ๋อ เราก็จะหาเงินได้มากขึ้น!” เหอยาโถวกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
เขารู้สึกว่าตนเองไม่ไร้ประโยชน์อีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย
หยุนเชวี่ย…
“วันนี้มีงานเทศกาล ผู้คนพลุกพล่านย่อมขายดีเป็นธรรมดา หากเรากลับมาพรุ่งนี้ ยอดขายอาจไม่มาก”
นางจำเป็นต้องบอกให้ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อรับรู้ถึงความเป็นจริง วันนี้หาเงินได้มากพวกเขาย่อมมีความสุข หากภายหลังหาเงินได้น้อยลง ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อจะได้ไม่ท้อถอย
ทำการค้าขายต้องปลูกฝังความคิดที่ถูกต้องทีละขั้นอย่างมั่นคง
“อืม!” เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะหาเงินได้มากมายเพียงนี้!” เสี่ยวส้วยเอ๋อกำถุงเงินแน่น “เดิมทีข้าคิดว่าหาเงินได้แค่เจ็ดถึงแปดเหรียญนั้นถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว!”
“ข้าเช่นกัน ฮ่าฮ่า!” ชีจินฉีกยิ้มกว้าง “ทำเงินได้สามเหรียญต่อวัน เดือนหนึ่งจะได้…”
ชีจินนับนิ้ว
“เก้าสิบเหรียญ” เหอยาโถวผู้ชื่นชอบเงินเป็นพิเศษเอ่ยตอบ
หากถามเหอยาโถวว่ากินซาลาเปาวันละสามลูก เดือนหนึ่งกินไปทั้งหมดกี่ลูก เหอยาโถวจะนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แต่ถ้าถามว่าหาเงินได้วันละสามเหรียญ หนึ่งเดือนจะได้เงินทั้งหมดเท่าไหร่ แน่นอนว่าเหอยาโถวต้องอ้าปากตอบอย่างรวดเร็ว
มันคือความเห็นแก่เงินชัด ๆ
“ใช่! เก้าสิบเหรียญ! พอประทังชีวิต!”
เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินล้วนต้องทนทุกข์ทรมาน พวกเขาเต็มใจทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะมีรายได้ ถึงกระนั้นเสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินก็ยังไม่ถูกความโลภเข้าครอบงำ
ชาวไร่ปลูกพืชผักในสวนด้วยตนเอง ซึ่งแต่ละวันจะมีรายได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ตราบใดที่ผลผลิตไม่เสียหาย เงินเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ทุกคนในครอบครัวมีชีวิตที่ดีได้แล้ว
“เสี่ยวส้วยเอ๋อ เจ้าจะซื้ออะไรให้แม่ของเจ้า?” ชีจินเอ่ยถามหลังเดินออกมาจากร้านบะหมี่ของหวังเอ้อ
“ข้ายังไม่รู้เลย…”
ร้านค้ามากมายเรียงรายตามท้องถนน มีทั้งร้านขายขนมหวาน ร้านขายผงชาด และร้านขายผ้าแพรซึ่งแต่ละร้านต่างมีป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่ เด็กน้อยจากชนบทที่ไม่เคยเข้ามาในเมืองมองร้านค้าเหล่านั้นจนเวียนศีรษะ
สินค้าทุกอย่างล้วนสวยงามจับใจ ครั้นจะซื้อก็กลัวว่าของเหล่านั้นจะแพงเกินไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินสามารถหาเงินด้วยตนเอง ความกตัญญูและความตระหนี่กำลังโต้เถียงกันอยู่ภายในใจของเด็กทั้งสอง