ตอนที่ 109 ภรรยากล่าวถูกต้องแล้ว
ทั้งสี่คนเดินวนเวียนไปตามท้องถนน ถามราคาสินค้าร้านนู้นทีร้านนี้ที ซึ่งสินค้าส่วนมากมีราคาเพียงสิบกว่าเหรียญ
ในที่สุด เสี่ยวส้วยเอ๋อตัดสินใจซื้อซาลาเปาเนื้อสองลูกไปให้มารดาลิ้มลอง
“ซาลาเปาของร้านเฉินจี้อร่อยที่สุดในเมือง! เนื้อเยอะ ต้นหอมน้อย กัดเข้าแต่ละคำเนื้อชุ่มฉ่ำมาก!” เหอยาโถวบรรยายจนเห็นภาพ
ซาลาเปาของร้านเฉินจี้มีราคาลูกละสองเหรียญเท่านั้น มันร้อนและนุ่มลิ้น อีกทั้งมีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือ เมื่อเทียบกับขนาดแล้ว นับว่าราคาถูกไม่น้อย
เสี่ยวส้วยเอ๋อจึงตัดสินใจซื้อมาสองลูก
ครอบครัวของชีจินมีทั้งหมดห้าคนซึ่งประกอบด้วยท่านปู่ ท่านย่า ท่านลุง ท่านอา มารดา และตัวเขาเอง
แม้จะรู้สึกเจ็บปวดหลังจากใช้จ่ายเงินไปสิบเหรียญ ทว่าอีกใจหนึ่งชีจินกลับมีความสุขยิ่งนัก
ขอเพียงขยันหมั่นเพียร ทำงานอย่างขันแข็ง เงินที่ได้รับจะต้องมากกว่านี้แน่นอน…
หมู่บ้านไป๋ซี
ทันทีที่มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินก็อดรนทนเจอหน้าครอบครัวไม่ไหวจนอยากจะงอกปีกและบินกลับบ้านให้เร็วที่สุด
“เชวี่ยเอ๋อ ข้าคิดว่าบ๊วยดองน้ำตาลที่มีคงขายหมดภายในสามหรือห้าวัน เราสั่งลูกบ๊วยที่พี่เขยรองของข้าเพิ่มดีหรือไม่?” เหอยาโถวปรึกษา
“ข้าคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ขบวนเกวียนขนส่งสินค้าของพี่เขยรองของเจ้าเดินทางไปทางใต้บ่อยแค่ไหนกัน?”
“ข้าไม่รู้ ตอนเย็นเราไปถามเขากันเถอะ”
“อืม!”
…
เรือนตระกูลหยุน
หยุนเชวี่ยออกจากบ้านตั้งแต่ยามตะวันโด่งฟ้าและบอกกับครอบครัวว่านางอาจกลับมาถึงบ้านในยามบ่าย
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยง ด้วยความเป็นห่วงลูกสาว แม่นางเหลียนจึงกระวนกระวายจนนั่งไม่ติด
“อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก เชวี่ยเอ๋อลำบากแล้ว”
“ไม่รู้ว่านางจะกระหายน้ำหรือไม่ นางจะกินอะไรหรือยัง”
“ท่านคิดว่าข้าเป็นแม่ที่ดีหรือไม่ ข้าไม่ได้ตระเตรียมน้ำเปล่าให้นางเพื่อดื่มดับกระหายเลย?”
“ท่านพี่ เหตุใดลูกสาวของเรายังไม่กลับมาอีก?”
หัวใจของแม่นางเหลียนเจ็บปวด ดวงตาพลันแดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นออกจากหางตา
“เจ้าอย่ากังวลเลย ลูกสาวของเราฉลาดจะตายไป!” หยุนลี่เต๋อปลอบใจ
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นบิดาเช่นหยุนลี่เต๋อจะไม่ห่วงใยลูกสาวเลย
“ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นตากแดดจนดำคล้ำ หากในภายภาคหน้านางไม่มีสามีจะทำอย่างไร…” แม่นางเหลียนไม่เห็นหยุนเชวี่ยกลับบ้านจึงร้อนใจจนพาลคิดฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล
หยุนลี่เต๋อนิ่งเงียบ
“เชวี่ยเอ๋ออายุเท่าไหร่แล้ว นอกจากนี้เมื่อถึงหน้าหนาว ผิวของนางก็จะกลับมาขาวผ่องดังเดิมไม่ใช่หรือ?”
“แล้วเหตุใดใบหน้าของท่านไม่ขาวขึ้นบ้างเล่า?”
“ข้า…” หยุนลี่เต๋อพูดไม่ออก “ชายแก่อย่างข้าจะขาวขึ้นได้อย่างไรเล่า?”
“ท่านเป็นพ่อ… คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว*” แม่นางเหลียนกลอกตา
*คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว เปรียบเปรยได้ว่าหากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ
หยุนลี่เต๋อเหยียดยิ้มอย่างซื่อบื้อ
ไม่ว่าภรรยาและลูกสาวจะพูดอะไร พวกนางมักเป็นฝ่ายถูกเสมอ และแน่นอนว่าหยุนลี่เต๋อคือฝ่ายผิด ซึ่งเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้
ขณะที่สองสามีภรรยากำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นร่างเล็กในชุดสีเขียวอ่อนโบกมือพร้อมวิ่งมาจากที่ไกล ๆ
“ท่านพ่อกับท่านแม่มาทำอะไรที่หน้าประตูหรือคะ?”
“เชวี่ยเอ๋อกลับมาแล้ว”
ห่างกันเพียงครึ่งวัน ทว่าแม่นางเหลียนแสดงท่าทีเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมาสามปี นางรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากของลูกสาวทันที “เหนื่อยหรือไม่? กินอะไรมาหรือยัง?”
“กินแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินบะหมี่ร้านหวังเอ้อ ฮี่ฮี่” หยุนเชวี่ยตบหน้าท้องเบา ๆ “อิ่มมาก”
“ดูสิ ลูกสาวของเราฉลาดเฉลียวยิ่งนัก” หยุนลี่เต๋อถอดตะกร้าที่นางสะพายอยู่ออกมา
“แม่ไปขอแลกถั่วเขียวที่บ้านของเหอยาโถวมา เจ้ารีบไปกินชาถั่วเขียวก่อนที่มันจะเย็นชืดเถิด แม่จะเข้าไปหยิบน้ำตาลทรายขาวในบ้านมาให้…”
หยุนเชวี่ยกระหายมาตลอดทาง นางจึงดื่มน้ำหมดถ้วยภายในคราวเดียว
หยุนเยี่ยนรีบเติมน้ำให้น้องสาวอีกแก้ว จากนั้นตักน้ำใส่อ่างอย่างพิถีพิถัน “ล้างหน้าก่อนเถิด เจ้าจะได้สดชื่น”
แม่นางเหลียนนั่งลงข้างลูกสาวพลางโบกพัดคลายร้อนให้หยุนเชวี่ยอย่างสุดกำลัง
รอจนเหงื่อซึม หยุนเชวี่ยจึงหยิบห่อบ๊วยในตะกร้าและถุงเงินอันหนักอึ้งสองถุงออกมา
ช่วยไม่ได้… มันหนักเกินที่จะใส่ไว้ในสาบเสื้อนี่นา
“กรุ๊งกริ๊ง…”
“กรุ๊งกริ๊ง…”
แม่นางเหลียน หยุนลี่เต๋อ และหยุนเยี่ยนตะลึงงัน
แม้แต่เสี่ยวอู่ที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงยังเงยหน้าขึ้นมอง
“เหตุใดถึงมากมายเพียงนี้? มันคือเงินทั้งหมดที่เจ้าหาได้ในวันนี้หรือ?” หยุนเยี่ยนอ้าปากค้าง
“ฮี่ฮี่ พี่สาวมาช่วยข้านับเร็วเข้า!” หยุนเชวี่ยแบมือพลางวางเหรียญไว้กลางฝ่ามือก่อนลูบไล้ไปมา
หนึ่งเหรียญ… สว่างโชติช่วง
สองเหรียญ… ปีติยินดี
ต่อให้หล่อหรือดูดีแค่ไหนผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยน!
“นั่น…” หยุนเยี่ยนไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อน
“เสี่ยวอู่อย่าเพิ่งอ่านหนังสือเลย มาคำนวณเงินให้พี่สาวดีกว่า” หยุนเชวี่ยบอกจำนวนสินค้าที่ทั้งสี่คนขายได้ให้น้องชายฟัง
“บ๊วยหนึ่งห่อราคาสิบเหรียญ เสี่ยวส้วยเอ๋อขายได้สามสิบห้าห่อ ชีจินขายได้สามสิบห่อ เหอยาโถวขายได้สิบสองห่อ ส่วนพี่สาวขายได้สี่สิบแปดห่อ รวมทั้งหมดจะได้เงินกี่บาท?”
เสี่ยวอู่ยกนิ้วขึ้นขีดเขียนบนเตียงพลางพึมพำอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “แปดร้อยยี่สิบห้าเหรียญ”
“แบ่งให้ชีจินสามสิบเหรียญ เสี่ยวส้วยเอ๋อสามสิบห้าเหรียญ และจ่ายค่าบะหมี่ยี่สิบสี่เหรียญจะเหลือเท่าไหร่?”
“เจ็ดร้อยสามสิบหกเหรียญ” เสี่ยวอู่ตอบอย่างเกียจคร้าน
“อัจฉริยะจริง ๆ!” หยุนเชวี่ยยกมือขึ้นบีบแก้มของน้องชาย
เสี่ยวอู่ก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ
แม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนก้มหน้าก้มตานับเงิน กองเหรียญวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับกำแพง ซึ่งแต่ละกองประกอบด้วยเหรียญทั้งหมดสิบเหรียญ
หยุนเชวี่ยดื่มชาถั่วเขียวพลางส่ายขาอย่างมีความสุข
รายได้ทั้งหมดของวันนี้เจ็ดร้อยสามสิบหกเหรียญ หักเงินค่าจ้างที่จ่ายให้ลูกจ้างหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญ อีกทั้งหักค่าน้ำตาลทรายและเกลือสี่สิบหกเหรียญ ดังนั้นครึ่งวันพวกเขาจะได้กำไรสุทธิห้าร้อยสี่สิบเหรียญ!
เมื่อแบ่งกับเหอยาโถวจะได้รับเงินคนละสองร้อยเจ็ดสิบเหรียญ นอกจากนี้บ๊วยที่เหลืออยู่ในไหยังสามารถขายได้อีกสามร้อยเหรียญ!
หยุนเชวี่ยมีความสุขจนไม่สามารถหุบยิ้มได้
เมื่อคิดคำนวณดูแล้วหากซื้อพู่กันให้เสี่ยวอู่ เสื้อผ้าสวย ๆ หนึ่งชุดและรองเท้าหนึ่งคู่ให้หยุนเยี่ยน แล้วซื้อของบางอย่างให้ท่านแม่…
ผงชาดดีหรือไม่?
อืม ท่านแม่ต้องงดงามมากแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นท่านพ่อคงตกตะลึงจนตาค้างแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า
โดยปกติแล้ว หยุนเชวี่ยคิดว่าการให้นั้นคือความสุข
ไม่เหมือนเหอยาโถวที่ต้องการหาเงินเพราะอยากประสบความสำเร็จ และพิสูจน์ว่าตนเองไม่ใช่คนไร้ประโยชน์
ยิ่งไม่เหมือนกับแม่เฒ่าจูที่หายใจเข้าออกก็เป็นเงิน แม้จับจ่ายเงินเพียงหนึ่งเหรียญแม่เฒ่าจูก็ร้องโอดโอยราวกับจะเป็นจะตาย บางทีนางอาจต้องการนำมันใส่ในโลงศพด้วยกระมัง
หยุนเชวี่ยทำงานหาเงินเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีชีวิตสุขสบาย
อยากกินอะไรก็กิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่อยากเคารพใครก็ไม่ต้องเคารพ มันคือคติประจำใจของนาง
“โอ้โห! เสี่ยวอู่คำนวณถูกต้อง ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่เหรียญเดียว!” หยุนเยี่ยนตะโกนหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงหาเงินมากมายเพียงนี้ได้ภายในครึ่งวัน?” ดูเหมือนว่าแม่นางเหลียนไม่เชื่อสายตาตนเองจึงนับเหรียญครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผู้คนมากมายตบเท้ามาเยี่ยมงานเทศกาล วันนี้จึงครึกครื้นเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเก็บเหรียญไว้ในถุงเงิน “ท่านแม่ ข้าต้องเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ก่อน เพราะต้องจ่ายค่าลูกบ๊วยให้พี่รองเหอหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญและแบ่งที่เหลือทั้งหมดให้เหอยาโถวเจ้าค่ะ”
“ดีเลย” แม่นางเหลียนเห็นว่าลูกสาวแสดงท่าทีราวกับผู้ใหญ่ แม่นางเหลียนจึงภูมิใจยิ่งนัก “ลูกสาวของแม่เก่งขึ้นทุกวัน”
“ท่านพ่อทำงานเกี่ยวกับไม้ได้หรือไม่เจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยถือถุงเงินอันหนักอึ้งไวในมือ ทว่าไม่รู้จะวางไว้ที่ใด
เมื่อก่อนตอนที่ครอบครัวไม่มีเงินมากนัก แม่นางเหลียนมักซ่อนเงินที่ขายหมูไว้ใต้หมอน ต่อมาได้กำไรจากการขายเนื้อสัตว์ป่าแม่นางเหลียนจึงซ่อนเงินไว้ในไหและพับผ้าทับไว้
ในภายภาคหน้าหากครอบครัวมีเงินมากขึ้น หยุนเชวี่ยคงต้องหาจุดซ่อนเงินที่มิดชิดกว่านี้แล้ว