ตอนที่ 110 โกหกโดยไม่กะพริบตา

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 110 โกหกโดยไม่กะพริบตา

ลูกชายของตระกูลหยุนยกเว้นหยุนลี่เซียวที่นอนผลาญเงินไปวัน ๆ ต่างมีความสามารถ

งานช่างไม้เป็นงานละเอียดอ่อนจึงไม่สามารถทำอย่างไม่ใส่ใจได้

“แม้พ่อของเจ้าจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่นั่นเป็นเพียงภาพที่เห็นภายนอก” แม่นางเหลียนชี้ไปยังโต๊ะไม้ตรงหน้า “โต๊ะและเก้าอี้ที่พวกเราใช้ล้วนแต่เป็นฝีมือของพ่อเจ้า”

แม้โต๊ะและเก้าอี้เหล่านั้นจะเก่าไปหน่อย แต่ยังสามารถมองเห็นว่าเป็นงานประดิษฐ์ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีต และแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว ทว่ามุมของโต๊ะยังมีสภาพเช่นเดิมและไม่มีวี่แววว่าจะผุพังเลย

“เยี่ยมไปเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ หากมีเวลาว่างเมื่อไร เรามาสร้างโต๊ะและเตียงใหม่กันเถิด!”

หยุนเชวี่ยกอดถุงเงินไว้ในอ้อมแขนพลางครุ่นคิดอีกครั้ง “ขนาดไม่ต้องใหญ่มาก รูปทรงเหมือนกับของท่านย่า และที่สำคัญต้องมีลิ้นชักตรงหัวเตียงด้วย”

“โอ้ ลูกสาวของเราจะสร้างลิ้นชักเก็บทองแล้ว!” แม่นางเหลียนหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน

“นั่นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเตียงของท่านย่าก็เป็นฝีมือของพ่อ” หยุนลี่เต๋อตอบรับคำขอของลูกสาว

ไม้บนภูเขาล้วนพร้อมใช้ ส่วนเครื่องมือสามารถขอยืมจากช่างไม้หลี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านได้ หากจะทำให้สำเร็จต้องอาศัยการทุ่มเทแรงกายและความพยายาม

เวลาพักผ่อนหลังมื้ออาหารกลางวัน

หลังจากหารือกันภายในครอบครัวเสร็จแล้ว หยุนเชวี่ยจึงเตรียมตัวไปที่บ้านของเหอยาโถวเพื่อออกเดินทางไปหาพี่รองยังหมู่บ้านต้นบัณฑิต

หยุนลี่เต๋อเตรียมตัวขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาจึงถือโอกาสนี้สำรวจไม้ด้วย

“ท่านแม่ บ้านเรามีกับข้าวเหลือหรือไม่เจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเดินออกไปนอกบ้านก่อนหันกลับมาถาม

“มีสิ แม่กลัวว่าเจ้าจะกินข้าวกลางวันไม่อิ่มจึงเหลือแพนเค้กต้นหอมและผักให้เจ้า”

แม่นางเหลียนวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่ จากนั้นเดินไปเปิดผ้าฝ้ายชุบน้ำหมาด ๆ ที่คลุมตะกร้าออก เผยให้เห็นแพนเค้กต้นหอมที่ยังคงนุ่มนิ่มน่ารับประทาน

“ท่านแม่รักข้าที่สุด!” หยุนเชวี่ยหยิบแพนเค้กสามแผ่นก่อนม้วนรวมกัน

“กินที่บ้านให้หมดแล้วค่อยออกไปเถิด”

โบราณกว่าไว้ว่า ‘เด็กน้อยกินเยอะจนบ้านยากไร้*’ ซึ่งขณะที่ลูกสาวคนโตของนางอยู่ในวัยกำลังโตก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

*เด็กน้อยกินเยอะจนบ้านยากไร้ เปรียบเปรยถึงเด็กวัยกำลังโตที่กินเยอะเป็นพิเศษทำให้ครอบครัวมีฐานะยากจน

กินดีอยู่ดีนับว่าเป็นพร

ตั้งแต่แยกครอบครัวออกมา พวกเขาก็ไม่ต้องลำบากเรื่องอาหารการกินอีกเลย แม่นางเหลียนเห็นลูกทั้งสามคนมีน้ำมีนวลขึ้นทุกวัน ใบหน้าเล็กไม่ซูบผอม เส้นผมเริ่มเงางาม โดยเฉพาะเสี่ยวอู่ที่ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้น…

เมื่อหัวอกคนเป็นแม่เห็นเช่นนั้น แม่นางเหลียนจึงมีความสุขไม่น้อย

“ข้านัดหมายเหอยาโถวไว้ ป่านนี้เขาคงชะเง้อคอมองหาข้าแล้ว” หยุนเชวี่ยหยิบแพนเค้กและเดินออกไปทันที

ต่อให้มีกระเพาะสองใบ นางก็กินขนมสามแผ่นนี้ไม่หมดแน่!

“เดินไปด้วยกินไปด้วยจะสำลักเอานะ” แม่นางเหลียนหันหลังไปหยิบน้ำเต้าที่แขวนอยู่บนผนังก่อนกรอกชาถั่วเขียวลงไป

เมื่อเป็นเช่นนั้น หยุนเชวี่ยจึงถือแพนเค้กด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วน้ำเต้าเดินไปยังบ้านของเหอยาโถว

ขณะนี้เหออวี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นหยุนเชวี่ย เหอยาโถวจึงดีใจยิ่งนัก “เจ้ามัวแต่ทำอะไรอยู่ รีบไปหมู่บ้านข้าง ๆ กันเถิด แล้วเหตุใดถึงต้องเอาอาหารมาด้วยเล่า?”

“ที่บ้านของเจ้ามีถุงผ้าหรือไม่?” หยุนเชวี่ยทำอะไรไม่ถูก

หยุนเชวี่ยยังไม่ได้บอกแม่ของนางหรือว่าตนซ่อนชายแปลกหน้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าไว้ในถ้ำบนภูเขาหลังหมู่บ้าน?

“รอสักครู่”

หลังจากเหอยาโถวเดินเข้าไปในห้องครัว แม่ของเหอยาโถวก็เดินออกมาจากห้องทางตะวันตกของบ้านด้วยสีหน้ากังวล

“เชวี่ยเอ๋อเอ๋ย เกิดอะไรขึ้นตอนที่เจ้าเข้าไปในเมือง?”

“ท่านป้า…” หยุนเชวี่ยตะโกน สมองเล็ก ๆ ครุ่นคิดหาคำแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

“บอกความจริงกับป้าสะใภ้มาเถิด พวกเจ้าทะเลาะกับผู้ใดหรือไม่?” มารดาของเหอยาโถวเอ่ยถาม

“เปล่าเจ้าค่ะ…”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเล็ก?”

“เขา…”

หยุนเชวี่ยมองไปทางห้องครัวและพบว่าเหอยาโถวกำลังยืนฟังบทสนทนาพร้อมกับส่ายศีรษะไปมา

“เขา… สะดุดล้มเจ้าค่ะ”

หยุนเชวี่ยลืมคำแก้ตัวที่เตรียมมาจนสิ้นจึงทำได้เพียงเหยียดยิ้ม เนื่องจากเกรงว่าจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควร

“สาวน้อยเชวี่ยเอ๋อ อย่าโกหกป้าสะใภ้นะ”

“ท่านแม่ ข้าบอกกับท่านแล้วว่าข้าหกล้มนี่ขอรับ เหตุใดท่านถึงเค้นถามนางอีก?” เหอยาโถวรีบเดินเข้ามาพลางส่งถุงผ้าให้หยุนเชวี่ยพร้อมเลิกคิ้ว

“หกล้มอีท่าไหนถึงมีรอยเท้าติดอยู่บนชุด?”

“ผู้คนมากมายต่างเดินเบียดเสียด เพียงแค่ไม่ระมัดระวังก็อาจหกล้มได้ไม่ใช่หรือขอรับ? หลังจากล้มลง ข้าจึงโดนคนที่สัญจรไปมาเหยียบถึงสองครั้ง” เหอยาโถวแสดงท่าทีหงุดหงิด “และอีกอย่างข้าเคยทะเลาะวิวาทกับใครที่ไหน”

“ใช่เจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ผู้คนในเมืองต่างรู้จักพวกเราสองคน ท่านป้าอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ!”

มารดาย่อมรู้จักลูกของตนดี ดังนั้นมารดาของเหอยาโถวจึงรู้ดีว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนไม่มีทางทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น

ลูกชายของนางมีฝีปากที่ร้ายกาจ หากต้องลงไม้ลงมือกับใครจริง ๆ เกรงว่าเหอยาโถวคงไม่มีความกล้ามากพอ กอปรกับเชวี่ยเอ๋อยืนยันเช่นนั้นนางจึงปักใจเชื่อคำพูดของเด็กทั้งสอง

“ครั้งต่อไปเจ้าไม่ควรประมาทเช่นนี้อีก ท่านปู่ ท่านย่าจะพาลกังวลไปด้วย!”

หากป้าสะใภ้เหอรู้ว่าลูกชายคนเดียวของนางถูกผู้อื่นทุบตี นางคงตรอมใจตายเป็นแน่

“มือของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามหลังจากเดินออกมาไกลจากลานบ้านของตระกูลเหอพอสมควร

“ไม่แล้ว มันไม่ใช่แผลเหวอะหวะเสียหน่อย”

“แม่ของเจ้าห่วงเจ้าราวกับไข่ในหินจริง ๆ”

เด็กบ้านนอกส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมป่าเถื่อน อย่าว่าแค่เตะต่อยเลย ตราบใดที่ทะเลาะกันแล้วไม่เลือดตกยางออกก็นับว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

มีเพียงเหอยาโถวเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น

เหอยาโถวถูกครอบครัวเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่ และท่านย่าของข้ายังกลัวว่าสวรรค์จะพาตัวข้ากลับไปอยู่เลย” เหอยาโถวเบ้ปากอย่างจนปัญญา “เชวี่ยเอ๋อเจ้าว่าสวรรค์คงไม่พาตัวข้ากลับไปจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

“เหลวไหล” หยุนเชวี่ยกลอกตา “หากสวรรค์อยากพาตัวเจ้ากลับไปจริง ลำพังตั้งชื่อเป็นผู้หญิงจะสามารถหลอกสวรรค์ได้หรือ? หากสวรรค์โง่งมเพียงนี้ เขาจะเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ได้อย่างไร… หมอดูคนนั้นกุเรื่องขึ้นมาหลอกพ่อแม่ของเจ้าเพื่อโกงเงินต่างหาก”

หยุนเชวี่ยยังคงเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องงมงายพรรค์นี้ แม้จะทะลุมิติมา หยุนเชวี่ยก็ยังคงเชื่อมั่นในแนวคิดอเทวนิยม

ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ โลกใบนี้มีสิ่งน่าเหลือเชื่อมากมายซ่อนอยู่ในจักรวาล อวกาศ และห้วงเวลา หยุนเชวี่ยเชื่อว่าในจักรวาลนี้ยังมีหลุมดำ พื้นที่หลากหลายมิติ จุดบิดเบือนห้วงเวลากลางอวกาศ และอื่น ๆ มากมาย

ยกตัวอย่างเช่น หยุนเชวี่ยจินตนาการถึงการเดินทางข้ามมิติของตนว่าเกิดจากการที่สนามแม่เหล็กของมนุษย์ที่เรียกว่าพลังวิญญาณเคลื่อนที่เข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ตนจึงเข้าสู่ช่วงเวลาและสถานที่ที่แตกต่างออกไป

บางทีหยุนเชวี่ยอาจใช้ชีวิตอยู่ในห้วงเวลาอันบิดเบี้ยวนี้มานานแล้ว เพียงแต่กาลเวลาเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน หยุนเชวี่ยจึงไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง

หยุนเชวี่ยยังเชื่ออีกว่ามีผีอยู่บนโลกนี้ ซึ่งมันอาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่น และ ‘นรก’ เกิดจากการที่สนามแม่เหล็กมาบรรจบกันโดยบังเอิญ

แน่นอนว่านี่คือสมมติฐานที่ไม่มีข้อพิสูจน์

ทว่าสิ่งที่หยุนเชวี่ยไม่เชื่อคือเรื่องโชคชะตาที่ถูกควบคุมโดยสวรรค์หรือพลังงานบางอย่างที่ไม่อาจรับรู้ได้

หากเป็นเช่นนั้นผู้ประกอบการ การทำงาน การเรียน และความก้าวหน้าทั้งหมดของมนุษย์คงไม่มีความหมาย

ดังนั้นเรื่องเทวดาและเทพธิดาล้วนแต่เหลวไหลทั้งสิ้น

“เราสองคนคิดเหมือนกันเลย” เหอยาโถวพยักหน้าเห็นด้วยอย่างหาที่เปรียบมิได้ “แต่ครั้งก่อนที่ข้าพูดว่าสวรรค์ไม่ได้ตาบอดจึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้าเป็นหญิงหรือชาย ท่านย่าเกือบถอดรองเท้าออกมาตีข้าเลยนะ”

เหอยาโถวพูดพลางหัวเราะคิกคัก

หยุนเชวี่ยมีความสุขเช่นกัน

อย่าว่าแต่คู่ชายหญิงที่ต้องหาฤกษ์แต่งงานเลย ขึ้นบ้านใหม่ยังต้องเลือกวันมงคล อยากได้บุตรชายยังต้องกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม เนื่องจากความเชื่อเรื่องโชคชะตาแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของคนโบราณ เหอยาโถวผู้บริสุทธิ์จึงเป็นดั่งธารน้ำใส…