ตอนที่ 111 ได้ยินว่าหาเงินได้มากมายเชียวรึ?

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 111 ได้ยินว่าหาเงินได้มากมายเชียวรึ?

หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวเดินเคียงกันไปยังบริเวณท้ายสุดของหมู่บ้านต้าหวยชู่

บ้านตระกูลกั๋ว

ครรภ์ของเหอเยี่ยเอ๋อดูโตกว่าที่เห็นเมื่อสองสามวันก่อนมาก เวลาเดินเหินจึงจำเป็นต้องใช้มือช่วยพยุงท้องไว้ ถึงกระนั้นด้วยนิสัยกระตือรือร้นจึงไม่ยอมนั่งดูดาย หากวางมือจากสิ่งหนึ่งย่อมหาอีกสิ่งมาทำไม่ได้ขาด

ตอนนี้เหอเยี่ยเอ๋อนั่งอยู่ภายในห้องโถงรับรองด้านข้างพลางพลิกหน้ากระดาษสมุดบัญชีอ่านด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหมุนลูกคิดตามเพื่อตรวจสอบข้อมูล นานครั้งจะผละมือจากงานตรงหน้าและหยิบลูกแอปริคอทอบแห้งซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวเข้าปาก

ครั้นเห็นหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวเดินเข้ามาเหอเยี่ยเอ๋อจึงหันไปวานให้ป้าหลิวช่วยเช็ดทำความสะอาดโต๊ะและจัดเตรียมขนมและรินน้ำชาให้พวกเขา

“พี่สาว เหตุใดท่านยังตรากตรำทำงานอยู่อีก?” เหอยาโถวยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “ก่อนมาที่นี่ท่านแม่ฝากความผ่านข้ามาถึงท่านให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ”

“ความจริงแล้วนายน้อยก็กำชับนางทุกเช้าเย็น ทว่านางไม่เคยเกียจคร้านและยอมอยู่เฉย” ป้าหลิวส่ายหน้าพลางเอ่ยติดตลก “ต้องขอบคุณหนังสือเหล่านี้ที่ทำให้นางยังอยู่ติดบ้านติดเรือน มิเช่นนั้นเห็นทีนางคงเดินออกไปกลางเรือกสวนเสียแล้ว”

“ใจจริงข้าใคร่ออกไปยังทุ่งนาเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยของการเก็บเกี่ยวในฤดูนี้ด้วยซ้ำ ทว่าหากไปแล้วคงอดไม่ได้ที่จะพับแขนเสื้อขึ้นและช่วยงานคนเหล่านั้น” เหอเยี่ยเอ๋อวางมือลูบลงบนหน้าท้องซึ่งยื่นออกมา “นับตั้งแต่ข้ามีเจ้าตัวน้อย จะทำการใดก็ดูอึดอัดไปเสียสิ้น”

“โธ่… ดูพูดเข้า! หากคลอดลูกชายตัวน้อยออกมาแล้วย่อมมีงานเหน็ดเหนื่อยมากมายรอคอยสมใจเชียวล่ะ”

“ป้าหลิว ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพี่สาวข้าตั้งท้องบุตรชาย?” เหอยาโถวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ข้าเองก็ผ่านโลกมาค่อนชีวิต ย่อมต้องมีประสบการณ์ในการคาดเดาอยู่บ้าง” ครั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ป้าหลิวจึงร่วมวงสนทนาทันที นางจับจ้องไปยังท้องของเหอเยี่ยเอ๋อก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากท้องดูกลมหมายความว่าอุ้มท้องบุตรสาว… หากท้องดูแหลมหมายความว่าอุ้มท้องบุตรชาย สังเกตท้องของนางหรือไม่ ท้องของนางแหลมพุ่งออกมา เนื้อหนังไม่หย่อนออกไปด้านข้างแม้ยามนั่ง เช่นนั้นต้องเป็นบุตรชายไม่ผิดแน่!”

“อย่างนั้นหรือ?” เหอยาโถวลองสังเกตตามพลางเอียงคอไปทั้งทางซ้ายและขวา “เหตุใดข้าจึงแยกไม่ออกว่าแหลมหรือกลมเป็นอย่างไร?”

“หึหึ…” เหอเยี่ยเอ๋อร์หลุดหัวเราะด้วยความขบขัน

“เชื่อข้าเถิด เหล่าลูกสะใภ้ที่ออกเรือนและตั้งท้องในหมู่บ้านนี้ ทุกครั้งที่พวกนางเดินผ่านข้ามักเหลือบมองเป็นประจำ ไม่เคยมีสักครั้งที่การคาดเดาของข้าผิดพลาด” ป้าหลิวเอ่ยด้วยความมั่นใจในสายตาเฉียบแหลมของตน

เหอเยี่ยเอ๋อยกมือขึ้นลูบท้องของตนอีกครั้ง “ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชาย ข้าล้วนรอคอยจะได้พบหน้าเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

หยุนเชวี่ยนึกชื่นชมพี่สาวคนรองของเหอยาโถวผู้นี้ไม่น้อย

เหอเยี่ยเอ๋อเป็นสตรีที่มีวิถีชีวิตเดิมคล้ายคลึงกับสตรีคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ร่างกายของนางอ่อนแอเกินกว่าจะหาบน้ำแบกฟืนหรือเลี้ยงหมูและช่วยงานของครอบครัวได้เทียบเท่ากับเด็กชาย ทั้งยังอ่านเขียนไม่ได้เพราะปราศจากการศึกษา ซ้ำร้ายยังไม่เคยพานพบโลกภายนอกมาก่อน ทว่าหลังจากแต่งงานเข้าเป็นลูกสะใภ้ตระกูลกั๋วได้เพียงปีเดียวกลับช่วยเหลือสามีในการดำเนินกิจการและธุรกิจอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ช่วยนับสินค้าในคลัง และสามารถหมุนลูกคิดตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นเสมือนการก้าวสู่ชีวิตใหม่

หากไร้ซึ่งจิตใจที่เข้มแข็งและความอุตสาหะหมั่นเพียรอย่างหนัก มีสตรีคนใดบ้างที่มีความพยายามเทียบเทียมเหอเยี่ยเอ๋อ?

นั่นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสตรีซึ่งตั้งครรภ์แล้วด้วยซ้ำ

“การค้าขายของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ราบรื่นดีหรือไม่?” เหอเยี่ยเอ๋อเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“เฮ้… เฮ้! เรื่องนี้ควรค่าแก่การกล่าวถึงยิ่ง!” เหอยาโถวโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นและภาคภูมิ สองมือเริ่มทำท่าทางราวกำลังทำการแสดง “พี่รอง ข้าไม่ได้คุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด ทว่าภายในมณฑลอันผิง ไม่มีร้านรวงใดรุ่งเรืองไปกว่าร้านของพวกเราแล้ว!”

“จริงหรือ?” เหอเยี่ยเอ๋อรู้สึกยินดีเช่นกัน

“ข้าให้ท่านลองเดาว่าช่วงกลางวันที่ผ่านมา พวกเราได้รายรับกลับมาเท่าไร?” เหอยาโถวแสร้งตั้งคำถาม

เหอเยี่ยเอ๋อรู้สึกคล้อยตามไปกับการนำเสนอของน้องชายด้วย “เท่าไรรึ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! แปดร้อยยี่สิบห้าเหรียญ!” เหอยาโถวยื่นมือออกไปตรงหน้าก่อนแจกแจงรายละเอียดต่อ “นี่คือเงินที่พวกเราช่วยกันขาย หลังหักค่าจ้างผู้ช่วยขาย ค่าอาหารและต้นทุนอื่น ๆ แล้ว พวกเรายังเหลือเงินอีกห้าร้อยสี่สิบเหรียญ!”

ขณะที่เหอยาโถวกำลังกล่าวหยุนเชวี่ยจึงเอี้ยวตัวไปหยิบถุงเงินออกมาจากชายแขนเสื้อและวางไว้บนฝ่ามือของเขา

“พี่รอง นี่เป็นเงินสำหรับผ่อนคืนค่าลูกพลัมงวดสุดท้าย”

“น้องชายของข้าผู้ที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมกลับยอมติดตามเจ้าไปทำงานโดยไม่ปริปากบ่นเชียวหรือนี่?” เหอเยี่ยเอ๋อไม่ปฏิเสธที่จะรับเงินนั้นและกล่าวชื่นชมเหอยาโถว

เหอเยี่ยเอ๋อพอรู้จักนิสัยของหยุนเชวี่ยมาบ้างและรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่แข็งขันและกล้าแกร่งพอ ๆ กับตนเอง

แรกเริ่มตนยังคิดว่าแบ่งลูกพลัมให้พวกเขาไป ต่อให้ขายไม่ได้ก็ไม่เสียมูลค่าใดมากนักเพื่อส่งเสริมให้เด็ก ๆ รู้จักประกอบอาชีพ คาดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวกลับได้รับเงินคืนมาหลายร้อยเหรียญ!

“พี่รองอย่าดูถูกข้าเชียว ตอนนี้ข้าสามารถทำงานได้เหมือนผู้ใหญ่ ทั้งยังมีแรงกำลังมากพอจะแบกสินค้าเข้าไปขายในตัวเมืองโดยไม่หยุดพัก!” เหอยาโถวโอ้อวดสรรพคุณของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ บางทีเขาอาจหลงลืมไปว่าเด็กชายที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับเขาในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างรดน้ำพรวนดินได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะทำการค้าขายเสียอีก

“นับเป็นการเริ่มต้นอาชีพที่ดีทีเดียว!” แววตาของเหอเยี่ยเอ๋อที่เฝ้ามองเหอยาโถวฉายชัดซึ่งความปลื้มปีติ

“ทว่าสิ่งที่ทำให้เราเป็นสุขยิ่งกว่าไม่ใช่ตัวเงินเหล่านี้หรอก” หยุนเชวี่ยกล่าวขึ้นบ้างพลางหันไปสบตาเหอยาโถว

“ถูกแล้วเชวี่ยเอ๋อ สิ่งที่น่ายินดียิ่งกว่าคือพวกเราสามารถสร้างอาชีพให้กับชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อให้ได้มีรายได้ไปจุนเจือครอบครัว พวกเขาต่างซื้อซาลาเปาคนละลูกและนำเงินที่ได้รับไปมอบให้แม่ซึ่งรออยู่ที่บ้าน” กล่าวจบเหอยาโถวพลันเชิดคางขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในหัวอกเต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจอย่างที่สุด

เขาสามารถช่วยเหลือมิตรสหายซึ่งมีพื้นฐานความเป็นอยู่ที่ยากลำบากยิ่งกว่า และนับจากวันนี้ไปทั้งเหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยก็จะยืนหยัดสร้างอาชีพได้ด้วยตนเอง ทำให้ครอบครัวของเด็กทั้งสองไม่ต้องเผชิญกับความยากจนข้นแค้นอีกต่อไป

“เสี่ยวส้วยเอ๋อ คนที่เป็นลูกสาวคนที่ห้าของตระกูลเผยใช่หรือไม่?” เหอเยี่ยเอ๋อถาม

ครอบครัวในแถบชนบทนิยมตั้งชื่อลูกหลานที่เป็นผู้หญิงตามชื่อของดอกไม้สวยงามนานาพันธุ์ ซึ่งในหมู่บ้านไป๋ซีมีเด็กหญิงที่ชื่อเสี่ยวส้วยไปแล้วถึงสี่คน

หยุนเชวี่ยพยักหน้า

“ข้าพอรู้มาบ้างว่าครอบครัวของนางยากลำบากนัก ดังนั้นพวกเจ้าสองคนได้กระทำเรื่องดีงามแล้ว เช่นนั้นลูกพลัมที่พวกเจ้าได้รับไปพอขายหรือไม่?”

“พี่รอง นี่แหละเรื่องที่พวกเราจะต้องหารือกัน…”

หลังจากตกลงเรื่องจำนวนวัตถุดิบและนัดหมายเวลารับของในรอบถัดไปเสร็จสรรพ หยุนเชวี่ยจึงตั้งใจจะจ่ายเงินหนึ่งร้อยหาสิบเหรียญซึ่งเป็นราคาเต็มจำนวนให้แก่เหอเยี่ยเอ๋อ

หยุนเชวี่ยดึงปากถุงเงินให้คลายออกแล้ว ทว่าเหอเยี่ยเอ๋อกลับยับยั้งความตั้งใจของนางไว้เสียก่อน

“เราสามารถตกลงกันได้ ไม่ว่าธุรกิจจะเล็กหรือใหญ่ก็ต้องใช้กฎเดียวกัน ซึ่งกฎของร้านข้าก็คือจะไม่มีการจ่ายเงินก่อนตราบใดที่สินค้ายังมาไม่ถึงมือ มากที่สุดก็คือค่ามัดจำเพียงสี่ในสิบเท่านั้น”

“เช่นนั้นข้าน้อมรับคำชี้แนะจากพี่รองเจ้าค่ะ”

หยุนเชวี่ยจึงเริ่มเทเงินออกมานับเป็นจำนวนหกสิบเหรียญ ส่วนเหอเยี่ยเอ๋ออาสาเป็นผู้เขียนใบสั่งซื้อให้ แม้ลายเส้นไม่งดงามเพราะเพิ่งฝึกฝนการเขียนทว่าถ้อยคำก็เรียงตัวเป็นระเบียบสะอาดตา

ระหว่างทางกลับบ้าน

“เชวี่ยเอ๋อ”

“หืม?”

“ข้าใคร่ถามอะไรบางอย่าง”

“อะไรหรือ?”

“ข้าเคยได้ยินคนในหมู่บ้านลือกันว่าพ่อของเจ้าเคยเป็นทหารในสนามรบ เช่นนั้นต้องพอมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้างใช่หรือไม่?” เหอยาโถวตั้งคำถาม

“ว่าอย่างไรนะ?!” หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้ง

นางไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ผู้ใดฟังมาก่อน ยกเว้นการปะทะครั้งสองครั้งระหว่างเขากับลูกเขยตระกูลหยู พ่อผู้แสนดีของหยุนเชวี่ยเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารีและไม่เคยขัดแย้งกับผู้ใด นับประสาอะไรกับการเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“ดีจริง!” เหอยาโถวเผยรอยยิ้มกว้าง “หากเป็นเช่นนั้นพ่อของเจ้าก็สามารถสั่งสอนข้าได้น่ะสิ?”

“เจ้าน่ะหรือ?” หยุนเชวี่ยหันมองร่างบอบบางของอีกฝ่าย “เหตุใดจู่ ๆ จึงสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาได้?”

ความคิดและอารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เปลี่ยนการแต่งกายเป็นชายอย่างนั้นหรือ?

ก่อนหน้านี้เหอยาโถวดูเป็นเด็กชายเจ้าสำอางแต่งเนื้อแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ไยตอนนี้จึงคิดจะเป็นนักเลงหัวไม้กันเล่า?

เหอยาโถวบีบนิ้วทั้งห้าซึ่งยาวเรียวประหนึ่งกล้วยไม้เล่นพลางกลอกตาครั้งหนึ่ง “นั่นเป็นเพราะชีวิตนี้ข้าไม่อยากถูกรังแกอีก หากวันข้างหน้าผู้ใดกล้าลองดีเข้ามากลั่นแกล้งแล้วละก็… ข้าจะอัดเขาให้น่วมกระทั่งต้องยอมคุกเข่าลงศิโรราบและคำนับขอโทษเลยเชียว!”

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้ายังไม่คลายความเคืองแค้นนั้น ไว้ข้าจะกลับไปถามท่านพ่อให้ก็แล้วกัน”

“ได้! อย่าลืมเสียล่ะ!”

ปลายทางของหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวไม่ใช่เส้นทางกลับเข้าสู่หมู่บ้านแต่เป็นทางเลี่ยงขึ้นไปยังภูเขาด้านหลังหมู่บ้านไป๋ซีและกว่าจะกลับลงมาก็เย็นย่ำแล้ว จึงรู้ว่าข่าวของพวกเขาที่สามารถทำธุรกิจค้าขายได้เงินเป็นจำนวนมากแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านจนเป็นที่กล่าวขานไปทุกครัวเรือนภายในวันเดียว!