บทที่ 497 ศักยภาพไร้ขีดจำกัด + บทที่ 498 หน้าหนา

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 497 ศักยภาพไร้ขีดจำกัด

“มีหลายสิ่งในโลกนี้ที่ไร้คำตอบ ถ้าต้องพยายามหาคำตอบให้ทุกอย่าง เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยหรือ” เหมยรั่วหลินมองหยางเล่อเล่ออย่างขบขัน นางยกมือขึ้นเคาะหน้าผากหยางเล่อเล่อ

หยางเล่อเล่อนวดหน้าผากตัวเองป้อยๆ แล้วมองเหมยรั่วหลินอย่างเศร้าสร้อย “ท่านตีข้าทำไม”

“เจ้าเด็กโง่”

“แม่นางน้อย ฟังเราแล้วเจ้าจะไม่มีวันหลงผิด เรื่องบางเรื่อง เราไม่ต้องมองไปให้ลึกนักหรอก” อวี้เฟิงกล่าวอย่างเรียบง่ายพร้อมเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วมองยังสตรีทั้งสามข้างๆ

มีคนจำนวนมากพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ได้มีชีวิตอยู่ หลังจากได้ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายแล้วกลับมาเจอวิถีชีวิตสมถะ คนบางคนย่อมเสียความเป็นตัวของตัวเองไป

หยางซู่อวิ๋นเป็นคนประเภทนั้น นางเสียความเป็นตัวเองไปหลังได้สัมผัสชีวิตที่หรูหรา

หยางเล่อเล่อพยักหน้า “ข้าเข้าใจ” ผู้คนตรงนี้ผ่านโลกมามากกว่านาง คำพูดพวกเขาน่าเชื่อถือ นางควรฟังเอาไว้

หยางเล่อเล่อนั่งลงข้างหนิงเมิ่งเหยา นางมองหนิงเมิ่งเหยากับเหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ “ข้าคงต้องให้เหลยอันพาข้าออกไปดูโลกภายนอก”

“ดีแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ ใครบอกว่าสตรีต้องขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน เป็นแม่บ้านทำงานบ้านทั้งวันกัน

หยางเล่อเล่อเท้าคางด้วยสองมือพลางมองผู้คนข้างกายนาง “ที่ไหนดีที่สุดหรือ”

เหมยรั่วหลินนึกขัน นางมองหยางเล่อเล่อ “เจ้ายังไม่ทันแต่งงาน ก็คิดเรื่องจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกแล้วหรือ ถ้าเจ้าอยากจะไปข้างนอก เจ้าควรจะรู้จักเมืองที่เจ้าอยู่ให้ดีเสียก่อน”

หยางเล่อเล่อแตะจมูกตัวเองอย่างขวยเขิน นางยิ้มซื่อ ท่าทีน่าขันและน่าเอ็นดูของนางทำให้เหมยรั่วหลินต้องเดาะลิ้น

“เจ้าจะไม่ไปดูบ้านของเจ้าที่กำลังสร้างหรือ” หนิงเมิ่งเหยานึกขึ้นได้

“ที่นั่นใกล้เสร็จแล้ว” หยางเล่อเล่อก็ให้ความสนใจ เพราะนั่นเป็นที่ซึ่งนางจะไปอยู่ในวันหน้า

หนิงเมิ่งเหยามองหยางเล่อเล่อแล้วยิ้มมีเลศนัย “ไอ๊หยา ข้าว่าจะเตือนเจ้าอยู่พอดี ไม่นึกเลยว่าเจ้าไม่ต้องให้ข้าคอยเตือนแล้ว”

“เจ้า…ข้า…ข้าจะไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าจะกลับบ้าน เข้าใจไหม”

นางลุกขึ้นยืนแล้วออกไปทั้งที่หน้าแดงเรื่อหลังพูดจบ หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะ “นางขี้อายจริงๆ”

“เจ้าก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ” เหมยรั่วหลินเลิกคิ้วมองหนิงเมิ่งเหยา ในดวงตานางมีประกายที่ไม่เชิงยิ้มแย้มเสียทีเดียว

หนิงเมิ่งเหยามองกลับอย่างใจเย็น “ท่านเคยเห็นข้าขี้อายเท่าเล่อเล่อตอนไหนกัน”

เหมยรั่วหลินกับคนอื่นค่อยๆ นึกทบทวนดู ก็เหมือนว่าจะไม่เคยมีจริงๆ เมื่อก่อนที่หนิงเมิ่งเหยาตามพวกนางไปทำการค้าเพื่อจะได้เลี้ยงดูตัวเอง หนิงเมิ่งเหยาตัวเล็ก ผอมแห้ง นางจำไม่ได้แล้วว่าพวกนางสนิทกันเช่นนี้ได้อย่างไร

นางจำได้เพียงหนิงเมิ่งเหยามักทำอยู่สีหน้าเดียวไม่ว่าจะมีเรื่องใหญ่แค่ไหนเกิดขึ้น ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ นางยิ่งสงบนิ่ง

ทงเป่าไจยังไม่ราบรื่นดีด้วยซ้ำตอนที่นางเข้าไปดูแล มีปัญหาทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เกิดขึ้นมากมาย

ทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้น นางจะปรากฎตัวนางปรากฏตัวและเขียนแผนต่างๆ ที่ทำให้ทุกคนยุ่งหัวปั่น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่านางหายไปที่ใด

ในปีแรกที่นางเข้ามาดูแล นางไปยังแต่ละเมืองเพื่อดูความแตกต่างทางวัฒนธรรม สำรวจดูว่าสิ่งใดใช้การได้ในสถานที่เหล่านั้น

ในปีนั้น พวกเขาสามารถบอกได้ว่าถ้าไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครหาตัวนางได้เลย ทุกครั้งที่พวกนางพบสถานที่สักแห่งเพื่อไปหาตัวนาง นางก็ไม่อยู่แล้ว

“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ ข้าสงสัยยิ่งนัก ตอนนั้นเจ้ายังอายุน้อย ไฉนถึงแบกรับความรับผิดชอบใหญ่โตไว้ได้” อวี้เฟิงคิดแล้วอดถามมิได้

หนิงเมิ่งเหยาใคร่ครวญ จากนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มนุษย์เรามีศักยภาพไร้ขีดจำกัด”

เขากลอกตาใส่หนิงเมิ่งเหยา อวี้เฟิงรู้ดีว่านางย่อมไม่ยอมบอกความจริง

อวี้เฟิงเอนตัวพิงเก้าอี้ มองหนิงเมิ่งเหยาแล้วรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ “ข้าถามหน่อย เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เจ้าคิดจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือ”

“ใช่ ตอนนี้ที่นี่ดีทีเดียว” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ นางมีบุตรแล้ว จะให้วิ่งไปทั่วอย่างแต่ก่อนได้หรือ

อวี้เฟิงกวาดตามองบ้านหลังนี้แล้วเดาะลิ้น “บ้านหลังนี้ก็สร้างได้ดี”

“แน่นอนสิ”

บทที่ 498 หน้าหนา

นี่คือบ้านที่นางเป็นคนออกแบบเองแล้วเฉียวเทียนช่างช่วยทำให้สมบูรณ์แบบและสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา จะไม่ดีได้อย่างไร

อวี้เฟิงยิ้มพลางเอ่ยเย้า “เจ้าคงชอบเพราะเฉียวเทียนช่างเก็บไว้ทำให้เจ้าประหลาดใจสินะ”

“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาไม่อายสักนิดเดียว มันเป็นความจริง นางพยักหน้าอย่างแน่วแน่

เหตุใดนางจะต้องอายที่สามีให้ของขวัญนาง อายสามีตัวเองไม่เห็นสมเหตุสมผล

อวี้เฟิงถูแขนตัวเอง “เจ้าโกรธรึ”

หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตามองอวี้เฟิง มุมปากยกยิ้มเล็กๆ อวี้เฟิงเห็นยิ้มนั้นแล้วต้องนั่งหลังตรง มองหนิงเมิ่งเหยาอย่างระแวดระวัง “เจ้าคิดจะทำอะไร”

“ข้าจำได้ว่าเจ้า…”

“หยุด” อวี้เฟิงปราดไปยืนข้างหนิงเมิ่งเหยา เอื้อมมือไปปิดปากนางพร้อมขอร้อง

เฉียวเทียนช่างหน้าถมึงทึงทันใด เขาโผล่ไปยืนข้างทั้งสอง แล้วยื่นมือไปปัดมือบนหน้าหนิงเมิ่งเหยา

“อยู่ให้ห่างภรรยาข้า อย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องนาง” เขาเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าหนิงเมิ่งเหยาขณะพูด สีหน้ารังเกียจ

อวี้เฟิงตากระตุก “เจ้ารังเกียจใคร”

เฉียวเทียนช่างเอื้อมมือออกไปพร้อมอ้าปากหาว จากนั้นก็พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าคิดว่าใครเล่า”

“เจ้ามันหาเรื่องโดนดีเสียแล้ว” เขาพูดพร้อมพุ่งเข้าเล่นงานเฉียวเทียนช่าง

เฉียวเทียนช่างไม่หลบ เขาเหยียดแขนไปคว้าข้อมืออวี้เฟิงแล้วลากกันไปข้างๆ ก่อนจะเริ่มสู้กัน

หนิงเมิ่งเหยาหันมองเหมยรั่วหลิน “พี่เหมย ท่านว่าใครจะชนะ” หนิงเมิ่งเหยาถามด้วยความสนใจ

เหมยรั่วหลินมองชายเถื่อนทั้งสอง “ข้าว่าคงเสมอกัน”

หนิงเมิ่งเหยาชะงักไป จากนั้นก็ยิ้ม นางชำเลืองมองด้านข้างแล้วยกยิ้ม ท่าทางจะเสมอกันจริงด้วย

เฉียวเทียนช่างหรี่ตามองคนตรงหน้า แววตาฉายความรังเกียจ “ช่างน่าเบื่อ เช่นนี้ข้าไปเล่นกับลูกของข้าดีกว่า” พูดจบ เขาก็กดอวี้เฟิงลงกับพื้นแล้วผลักให้พ้นทาง จากนั้นจึงไปนั่งข้างหนิงเมิ่งเหยา

“เจ้าจะไม่ให้ข้าได้กู้หน้าเลยหรือ”

“เจ้าหน้าหนาออก” เฉียวเทียนช่างโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

หน้าหนา…หน้า…หนา…สองคำนี้ดังซ้ำไปมาในหัวอวี้เฟิง สุดท้ายอวี้เฟิงก็ลุกขึ้น “เฉียวเทียนช่าง เจ้าเด็กหัวเหม็น เจ้ามันวอนอยากโดนดีอีกรอบจริงๆ”

เฉียวเทียนช่างมองอวี้เฟิงอย่างรังเกียจแล้วกล่าวน้ำเสียงเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้รึ”

อวี้เฟิงหน้าซีดทันใด เจ้าหนุ่มคนนี้อายุไม่มากแต่วรยุทธ์กลับไม่เลว นอกจากมู่เฉินแล้ว อาจไม่มีใครเอาชนะเขาได้ แต่มู่เฉินไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด

เซียวฉีเทียนที่กำลังเพลิดเพลินกับสถานการณ์แกล้งพูดขึ้น

“เทียนช่างเขาสั่งสมประสบการณ์มาจากสนามรบ”

เฉียวเทียนช่างเรียนรู้มาว่าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า อวี้เฟิงจะเทียบอะไรได้

มีดของอวี้เฟิงพุ่งเข้าใส่เซียวฉีเทียน “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่”

เซียวฉีเทียนยกมือขึ้นชี้ตาตัวเอง “มองตาข้า เจ้าคิดว่าข้าพูดเล่นอย่างนั้นรึ”

หลังจากหัวเราะกันครู่หนึ่ง เซียวฉีเทียนก็มองหนิงเมิ่งเหยาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เหยาเหยา ร้านเปิดมาได้สองเดือนแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่ร้าน” สายตาเซียวฉีเทียนสดใสขณะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“อย่างต่ำสิบ” หนิงเมิ่งเหยาเลือกตัวเลขที่มีแนวโน้มเป็นไปได้สูง เซียวฉีเทียนหัวเราะเบิกบาน

“สิบสาม”

นางเลิกคิ้ว “ไม่เลวนี่”

มู่เฉินมองหนิงเมิ่งเหยาแล้วเอ่ย “เหยาเหยา เราวางแผนจะเปิดอีกร้านด้วย”

“แน่นอน เมื่อถึงเวลา ข้าจะส่งคนไปสอนเจ้าว่าต้องทำเช่นไร” พวกเขาเหมือนต้นไม้

นางเป็นลำต้น เซียวฉีเทียนเป็นกิ่งก้าน และคนอื่นเป็นกิ่งเล็กๆ ใต้กิ่งใหญ่

“วิธีขายเช่นนี้ไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว ข้าจะพัฒนาระบบให้รางวัลหลังจากผ่านไปสักพัก ต่อไปจะยิ่งดีขึ้นแน่” หนิงเมิ่งเหยากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แม้จะเป็นร้านประเภทสาขา แต่ในชีวิตก่อนของนางนี่ยังถือเป็นวิธีการขายตรง

เซียวฉีเทียน มู่เฉิน และคนอื่นสนใจกันทันที “บอกเราที”

“เราจะแบ่งคนที่เปิดร้านได้เป็นระดับต่างๆ เช่น ข้าเป็นอันดับแรก ฉีเทียนเป็นระดับสอง เจ้าเป็นระดับสาม” หนิงเมิ่งเหยาเริ่มอธิบาย

บางคนยังไม่เข้าใจ ซือถูเซวียนมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างสับสน “นี่หมายความว่าอย่างไร”