ตอนที่ 237 ความรู้สึกที่คุ้นเคย!
“ไม่มีสามีเหรอ?”

เย่เฉินตกตะลึงอย่างมาก ตั้งแต่เขาเจอเถ้าแก่ร้านกาแฟเขาก็สงสัยมาตลอดว่าสามีของหล่อนคือใคร

ตอนแรกๆ เย่เฉินยังสงสัยว่าสามีของหล่อนคือเย่เซวียนพี่ชายคนที่สองของเขา แต่ว่าหญิงสาวกลับเป็นคนปฏิเสธจากปากตัวเอง

ดังนั้นเย่เฉินถึงได้รู้สึกว่าหญิงสาวอาจจะเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่มีลูกมีสามีแล้ว

แต่จินเซียวข่ายกลับบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีสามี?

“ไม่มีสามีแปลว่าอะไร? หย่าแล้ว หรือม่าย?” เย่เฉิสถาม

จินเซียวข่ายส่ายหน้า “พวกเราเองก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกครับ แต่หลังจากที่หลิ่วอวี่เจ่อกลับมาแล้วก็ดูเสียใจมากเลยเขาเอาแต่บอกว่า ถ้ารู้ว่าจะได้เจอหล่อนคงไม่แต่งงานกับหวังเจียเหยาแล้ว แแถมยังบอกว่าผู้หญิงคนนี้ถึงจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา”

หม่าหนานเองก็กล่าวว่า “จริงด้วย ตอนนี้หลิ่วอวี่เจ๋อก็แต่งงานแล้ว ดังนั้นถึงไม่กล้าไปจีบหล่อน อย่างไรเสียพื้นเพครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นก็เจ๋งมาก หากว่ารู้ว่าเขาคั่วหล่อนระหว่างแต่งงานตระกูลหลิ่วน่าจะโดนเล่นงานแน่”

เย่เฉินเองก็ประหลาดใจมากทีเดียว ถึงหลิ่วอวี่เจ๋อจะเคยคบหากับสาวๆ สวยๆ เป็นจำนวนมาก คนที่ทำให้เขาเสียดายได้ เห็นจะมีแต่ผู้หญิงคนนี้คนเดียว แปลว่าหล่อนคงจะมีเสน่ห์มากจริงๆ

เย่เฉินจึงยิ่งสงสัยในตัวผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม

“เอาล่ะ พวกคุณกลับไปกันได้แล้ว ต่อไปก็อย่าไปทำเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกล่ะ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าจะให้คนพันคนมาถ่มน้ำลายใส่อีก!”

เย่เฉินเตือนทั้งสองคนนั้น

“ครับ ต่อไปพวกเราไม่กล้าทำแบบนั้นแล้ว”

จินเซียวข่ายและหม่าหนานรีบลุกขึ้นแล้วลนลานเดินออกจากฟิตเนสไป

คุณชายที่แสนร่ำรวยแห่งเทียนไห่ยังไม่เคยขายหน้าเท่าวันนี้ด้วยซ้ำตั้งแต่เกิดมา

หลังจากที่ทั้งสองคนไปแล้ว หลิวเจิ้งคุนก็สาวเท้าขึ้นไปด้านหน้าแล้วถาม “สอนเจ้าเด็กสองคนนั่นแล้ว ส่วนอีกสามคน คุณชายจะไปสั่งสอนพวกเขาไหมครับ?”

เย่เฉินมองเวลาแล้วกล่าว “พวกสารเลวอย่างพวกเขายังไม่มีสิทธิ์ให้ฉันไปสั่งสอนด้วยตัวเอง นายส่งคนไปสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยก็ได้ ตอนนี้นายพาคนไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

“ครับ!” หลิวเจิ้งคุนรับคำเสียงแข็งขัน

เย่เฉินคุยกับเถ้าแก่หลี่อีกเล็กน้อย เถ้าแก่หลี่ส่งบัตรสมาชิก VIP ตลอดชีพให้เขาบอกว่าให้เย่เฉินมาใช้บริการที่นี่ได้ตลอดเวลา

เมื่อเดินออกจากฟิตเนสแล้ว เย่เฉินก็นั่งรถเดินทางไปที่ร้านกาแฟซือเฉิน ที่เขตนอกเหมืองเทียนไห่

เย่เฉินอยากจะพบผู้หญิงคนนี้อย่างมาก!

ที่เจอหล่อนก่อนหน้านี้รู้สึกว่าหล่อนเป็นคนใสซื่อ ใบหน้างดงามปานเตียวเสี้ยน แต่ตอนนี้พอรู้ว่าหล่อนเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่โตรู้สึกว่าไม่เหมือนคนทั่วๆ ไป

ลูกสาวเศรษฐีอย่างหล่อนทำไมถึงได้ระหกระเห่เร่ร่อนมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่นอกเมืองได้นะ?

จากการคาดการณ์ของเย่เฉิน ผู้หญิงคนนี้จะเปิดร้านที่แพงที่สุดในเทียนไห่สักร้อยแห่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

เย่เฉินผลักประตูร้านกาแฟด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ

เย่เฉินเดินเข้ามาภายในร้านเพียงคนเดียว โดยที่หลิวเจิ้งคุนและลูกน้องหลายคนต่างก็ซ่อนตัวอยู่ด้านนอก

กรุ๊งกริ๊ง…

เสียงโมบายสไตล์ญี่ปุ่นที่แขวนไว้บนประตู เพื่อส่งสัญญาณบอกเจ้าของร้านว่ามีแขกมาถึง

ในร้านกาแฟยังคงไม่มีแขก มีเพียงหญิงสาวและลูกสาวของหล่อนเหมือนเดิม

“ครั้งแรกที่มาก็ไม่มีแขก ครั้งที่สองก็ยังไม่มีแขก ครั้งที่สามมาก็ยังไม่มีแขกเหมือนเดิม”

เย่เฉินเพิ่งจะตระหนักได้ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ต่อให้ที่นี่คือชานเมือง ต่อให้กาแฟที่นี่จะแพงมาก แก้วละร้อยก็เถอะ

แต่ด้วยใบหน้าของหญิงสาวก็มีอำนาจมากพอจะล่อลวงให้มีลูกค้าเข้าร้านมา

คิดถึงเรื่องที่หม่าหนานพูดเมื่อครู่ว่าโดนคนซ้อม เย่เฉินถึงได้ตระหนักได้ว่าแถวนี้จะต้องมีคนคอยปกป้องดูแลสองคนแม่ลูกนี้อยู่แน่ๆ!

ถ้าหากว่ามีคนคิดสกปรก อยากจะตามจีบหรือรบกวนหล่อน ทันทีที่คนผู้นั้นเดินออกจากร้านกาแฟแล้วจะโดนซ้อมทันที!

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเย่เฉินถึงได้บอกให้หลิวเจิ้งคุนซุ่มอยู่ด้านนอก เขาอยากจะให้หลิวเจิ้งคุนไปตามสืบว่าด้านนอกมันบอดี้การ์ดหรือไม่อย่างไร

“ยินดีต้อนรับค่ะ” หญิงสาวผู้นั้นระบายยิ้มน้อยๆ

มารอบนี้หล่อนสวมกระโปรงเอวสูงโชว์เรียวขาที่ขาวนวลเนียน

ตอนนี้ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน อากาศที่เทียนไห่ก็เริ่มหนาวแล้ว

เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “Hi ผมมาอีกแล้ว คุณยังนุ่งน้อยห่มน้อยเหมือนเดิมเลยนะ เหมือนทุกครั้งที่ผมมาจะได้เห็นหุ่นคุณตลอดอยู่เลย”

เย่เฉินพูดไปพลางชี้เรียวขานวลเนียนของผู้หญิงคนนั้น

คำพูดของเขาออกจะจาบจ้วง แต่ครั้งนี้ที่เขามาเป็นเพราะอยากจะป่วนหญิงสาว

เขาอยากจะรู้ว่าถ้าหากเขาทำตัวรังควานหญิงสาวเหมือนพวกหม่าหนาน จะลงเอยอย่างไร

บางทีนี่ก็คือสิ่งที่พี่รองอยากจะเห็นกระมัง?

เย่เฉินเอาแต่พยายามติดต่อพี่รอง แต่ติดต่อไม่ได้ เขายังคิดว่าพี่รองกำลังวุ่นๆ อยู่กับการฝึกฝน เลยไม่มีเวลาว่างมาตอบเขา

แต่เขากลับรู้มาจากน้องสาวที่สี่ว่าพี่ชายคนที่สองของเขาได้ติดต่อกับหล่อนเป็นการส่วนตัว แต่กลับไม่ยอมติดต่อกับเขา

สาวสวยคนนั้นกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองโดนล่วงเกิน เจ้าหล่อนกลับระบายรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณค่ะ ผู้หญิงก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา อีกอย่างเมืองเทียนไห่ก็ไม่ได้อยู่ภาคเหนือ หน้าหนาวก็ไม่หนาวขนาดนั้น จะยังรับลาเต้วนิลาอยู่ไหมคะ?”

เย่เฉินปรายตามองก็พบว่าลูกสาวของหญิงสาวนอนหลับไปแล้ว

ดังนั้นเย่เฉินถึงได้ทำใจกล้าสาวเท้าเข้าไปประชิดตัวผู้หญิงคนนั้นมากๆ ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็เดินถอยไป ถอยไปจนไม่มีทางให้เดิน

“คุณ…คิดจะทำอะไร?” หญิงสาวคนนั้นพิงข้างกำแพงแล้วหอบลมหายใจถี่กระชั้น

เย่เฉินคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกลัวจนมีสภาพเป็นแบบนี้ ตามหลักเหตุและผลแล้วถ้าด้านนอกมีบอดี้การ์ด หล่อนก็ไม่น่าจะต้องใจเต้นเร็วขนาดนี้

เย่เฉินใช้มืออีกข้างดันกำแพง เขาก้มหน้าลงแล้วแสร้งทำเหมือนจะหอมแก้มหญิงสาวก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “เถ้าแก่เนี้ย คราวก่อนผมดื่มอะไร คุณยังจำได้อยู่เลย คุณชอบผมหรือเปล่าเนี่ย? ผมได้ยินมาว่าคุณหย่าแล้ว หรือไม่งั้นเราลองคบหากันดูไหม?”

สาวสวยคนดังกล่าวหอบหายใจถี่กระชั้น แล้วร่างกายก็สั่นสะท้าน จ้องเย่เฉินเขม็ง แต่แววตากลับไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

หล่อนจ้องเย่เฉินไม่กระพริบตา เหมือนกับว่าก่อนนี้ไม่มีโอกาสได้มองเขา

แล้วเย่เฉนก็ได้ยินเสียงต่อยตีกันดังมาจากด้านนอกพอดี

แต่ว่าเสียงวิวาทก็หายไปอย่างรวดเร็ว

บนใบหน้าเย่เฉินระบายยิ้ม แล้วก็ลุกขึ้น “ขอโทษด้วยนะครับเถ้าแก่เนี้ย เมื่อครู่ผมไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินคุณ เพียงแต่อยากจะทดสอบดูว่าด้านนอกมีบอดี้การ์ดอยู่หรือเปล่า คุณสวยเกินไปแล้ว มีคุณชายจำนวนมากในเทียนไห่ที่สนอกสนใจในตัวคุณ แถมคุณก็ยังเป็นผู้หญิงที่พี่รองจัดแจงให้ผม ผมจะไม่สนใจความปลอดภัยของคุณเลยก็ไม่ได้ ตอนนี้ผมรู้ว่าคุณมีบอดี้การ์ด ผมก็สบายใจ

อ้อ จริงสิ คำพูดเมื่อครู่อย่าถือเป็นจริงเป็นจังไปล่ะ ผมมีแฟนแล้ว ตอนปีใหม่จะขอหล่อนแต่งงาน คงจะกินกาแฟต่อไม่ได้ ผมขอตัวก่อน”

เย่เฉินหยิบมือถือออกมาแล้วโอนเงินสองหมื่นหยวนไปให้อีกฝ่าย

บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าประตูของหล่อนคงจะถูกหลิวเจิ้งคุนกำราบไปแล้ว เงินก้อนนี้ถือว่าเป็นค่ายาแล้วกัน

กรุ๊งกริ๊ง…

แล้วเย่เฉินก็หายไปจากครรลองสายตาหญิงสาว ตามเสียงที่ดังขึ้นของโมบายที่แขวนไว้ที่ประตู

ทว่าหลังจากที่เย่เฉินเดินไปแล้ว หล่อนก็ยังคงพิงอยู่ที่กำแพงไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย

จู่ๆ หญิงสาวก็ปิดตาลง ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่เหมือนได้ของรักกลับคืนมาแล้วพึมพำกับตนเอง “เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยจริงๆ…”