หงเยียนไม่คาดคิดว่าคุณหนูใหญ่จะยกเรื่องนี้ออกมา จึงทำได้แค่เพียงยิ้มกล่าวว่า “ข้าเพิ่งจะอวยพรคุณหนูใหญ่ให้รักกับฉินอ๋องตราบชั่วนิจนิรันดร์ คุณหนูใหญ่ก็คิดจะอวยพรให้ข้าหรือ ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดแล้ว คุณชายสวี่กับข้าไม่มีอะไรกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
ไม่มีอย่างนั้นรึ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เชื่อ แม้หงเยียนจะเคยอยู่ในสภาพตกยาก โชคร้ายเสียเนื้อเสียตัว กลับไม่ลืมสิ้นจิตใจเดิม ยังคงใช้ฐานะลูกสาวพ่อบ้านมาบังคับใจตนเอง หัวใจยังเสมือนหญิงสาวบริสุทธิ์ผู้ยืนได้ด้วยลำแข้งตนเองโดยที่ยังไม่ได้ออกเรือนเข้าตระกูลดีเด่น ถูกเพศตรงข้ามรังเกียจ ย่อมไม่มีการส่งดูตัว ก็ในเมื่อวันนั้นนางโอบกอดญาติผู้พี่ น่าจะใจเต้นอยู่บ้าง มิฉะนั้นก็ไม่น่าจะปฏิบัติตัวอย่างเหลาะแหละเช่นนี้ แต่ก่อนนางไปมาหาสู่กับญาติผู้พี่ ความสัมพันธ์สนิทสนมกลมเกลียว ตนเพิ่งจะมารู้ภายหลัง แม้นยังพูดแค่สัมผัสไปโดน แต่กลับเกรงใจเกินไป คนนอกมองอาจจะไม่คิดอะไร ทว่าในสายตาอวิ๋นหว่านชิ่น กลับเหมือนว่าหงเยียนจะตั้งใจรักษาระยะห่างกับญาติผู้พี่
“หงเยียน” อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกสตินาง “เจ้าต้องจำเอาไว้นา ในวันนั้นฝ่าบาทให้ครอบครัวเจ้าทำตามหน้าที่ตน เจ้าก็กลับตัวเป็นสามัญชนทั่วไป เจ้าไม่ใช่นางคณิกาบนเรือสำราญว่านชุนแล้ว เจ้าเป็นลูกกำพร้าของขุนนางฝ่ายทหารถังโจว บิดาและพี่ชายเจ้าเคยสร้างคุณูปการต่อราชสำนัก ส่วนเจ้าเองก็เป็นถึงบุตรสาวขุนนาง ไม่ได้ด้อยค่ากว่าผู้อื่น ใครก็ไม่สามารถดูถูกเจ้าได้”
หงเยียนเข้าใจดี อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังสร้างความมั่นใจแก่นาง ให้ตนไม่ต้องมีปมด้อย จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ข้ารู้ว่าที่ท่านทำดีต่อหงเยียน กลัวว่าหงเยียนที่เคยพลาดพลั้งมาจะพลาดที่พักพิงสุดท้าย ทว่าคุณหนูใหญ่เจ้าคะ ท่านเข้าใจผิดแล้ว วันนั้นที่ข้าออกจากวังมา ได้ทราบถึงร่องรอยความอยุติธรรมในบ้าน ทำเอาใจสั่นสะท้าน ค่อนวันก็ไม่สงบลง แล้วยังเห็นคุณชายสวี่ด่ารถม้าที่ไปรอข้านอกกำแพงวังอีก เป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นทีเดียว ทำตัวเป็นคนจรจัด กริ่งกลัวที่จะทำให้คุณชายสวี่เข้าใจผิด…จนตอนนี้ก็คิดว่า ยังรู้สึกละอายอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ที่เป็นเจ้าของร้านเซียงหยิงซิ่ว ส่วนข้าเป็นผู้บริหารร้านเซียงหยิงซิ่ว คุณชายสวี่เป็นญาติผู้พี่ของคุณหนูใหญ่ พวกเราในตอนนี้ ก็แค่มีความสัมพันธ์เท่านี้เอง”
น้ำเสียงอันอ่อนโยน ไม่ดังกังวานสดใสเหมือนปกติ แต่กลับสุภาพเยือกเย็น ไม่มีความทุกข์ใดๆ ประหนึ่งว่า…เอ่ยด้วยความสัตย์จริง
อวิ่นหว่านชิ่นเพ่งพินิจนาง “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่กลัวที่จะพูด ญาติผู้พี่มีเรื่องแต่งงานเข้ามาโดยตลอด อีกฝ่ายเป็นคุณหนูสามเยี่ยจิงตระกูลหลัว ทางฝ่ายทอผ้าของราชวังเป็นผู้จัดหาให้ ซึ่งเคยร่วมมือกับท่านแม่ท่านลุงของข้าในตลาดมาก่อน นับว่าเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล จะเริ่มปีนี้ ทั้งสองตระกูลมีเจตนาให้ทั้งสองคนแต่งงานเมื่ออายุมากมาโดยตลอด ปัจจุบันเห็นว่าข้ากำลังจะแต่งงาน ท่านลุงข้าก็ตระเตรียมเพิ่มการวางแผนให้ญาติผู้พี่อย่างเคร่งเครียด เกรงว่าจะเป็นช่วงต้นปี ยิ่งต้องไปขอหมั้นหมาย…ความหมายของข้าคือ หากว่าเจ้ามีใจให้ญาติผู้พี่จริงๆ จะใช้โอกาสนี้ก็ยังทัน ข้าทำได้เพียงให้กำลังใจอยู่ข้างๆ พยายามชะลองานแต่งงานนี้”
หงเยียนกะพริบตาปริบๆ ประหนึ่งภายในลูกตาดำที่แย้มยิ้มมีระลอกคลื่นทะเลสาบ “คุณหนูใหญ่พูดอะไรกัน สถานะพ่อค้าตระกูลหลัวที่มีราชวงศ์เกื้อหนุนการทอผ้า คุณหนูตระกูลหลัวร่ำรวยมั่งคั่ง ทั้งบริสุทธิ์และมีเกียรติ สองตระกูลสวี่หลัวก็สวรรค์บรรจงสร้าง เหมาะสมแก่กันยิ่ง เหตุใดต้องชะลอด้วยเล่าเจ้าคะ วันก่อนหงเยียนก็เคยพูดไว้แล้ว ท่านลืมแล้วหรือ ถึงคุณชายสวี่สนใจข้า เมื่อถึงยามแต่งงาน ข้าก็ยังจะไปช่วยเหลือด้วยตนเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจ ประจวบเหมาะกับน้องชายที่อยู่ประตูทางเข้าเร่งเร้าขึ้นมา ก็มิได้พูดให้มันมากความ หงเยียนมองตามหลังคุณหนูใหญ่และน้องชายที่ออกประตูไป จากนั้นก็หันตัวอย่างเงียบสงัด แล้วยุ่งกับงานต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
สองพี่น้องและชูซย่าที่เพิ่งจะเดินออกมาจากธรณีประตูร้านเซียงหยิงซิ่ว ก็จวนใกล้เที่ยงแล้ว คนที่สัญจรไปมาบนถนนก็มองมา ภาพฉากนี้ราวกับคุณชายสองพี่น้องผู้หล่อเหลาพาบ่าวคนใช้ในบ้านออกมาเที่ยวเล่น
ใกล้กับร้านเซียงหยิงซิ่วก็จะเป็นร้านของใช้ส่วนตัวในห้องหญิงสาว ลูกค้าสตรีจึงมีอยู่มาก พอลงบันไดมา ทั้งสองก็พากันดึงดูดสายตาของหญิงสาว
เสียงกดต่ำเขินอาย กลับขัดจังหวะลอยเข้ารูหู สักพักก็วิจารณ์คุณชายคนโต สักพักก็วิจารณ์คุณชายคนเล็กบ้าง ล้วนพูดว่าคนพี่สง่างามมากกว่าคนน้อง
“ท่านพี่” อวิ๋นจิ่นจ้นแหงนหน้า ไม่มั่นใจ “ดูท่าพี่ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ จะเนื้อหอมกว่าตอนเป็นสตรีเยอะเลย ข้าก็ยังเทียบพี่ไม่ได้ พี่ดูสิ ทุกคนต่างมองพี่ทั้งนั้น”
“ชู่” อวิ๋นหว่านชิ่นถือโอกาสนำพัดพับกระดูกอีกาเคลือบทองพัดไปมา “เจ้าเด็กน้อย ขนยังไม่ทันขึ้นครบ ลูกสาวบ้านไหนจะตาบอดมามองเจ้าไม่มองข้าเล่า”
สองพี่น้องประลองฝีมืออย่างออกนอกหน้า จนลืมสิ้นว่าพิธีงานแต่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว หากแยกเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นออก ก็กลับมีความสุขยิ่งกว่าเมื่อก่อน พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นเพียงด้านหน้า ที่ร่างเงาบุรุษที่สูงงามสะท้อนอยู่บนพื้น กำลังเดินเข้ามา
เป็นสวี่มู่เจินที่ก็บังเอิญมาร้านค้าแถวนี้เช่นกัน
“ญาติผู้พี่!” อวิ๋นจิ่นจ้งดีอกดีใจ วิ่งแจ้นเข้าไปหา นิ้วทั้งห้าของสวี่มู่เจินก็ลูบเข้าที่ผมของอวิ๋นจิ่นจ้ง แล้วขยี้ผม ยิ้มจนเผยนัยน์ตาดอกท้อ “โอ้ เด็กน้อย โตขึ้นอีกแล้วนะ! วันหน้าพี่ควรไปเล่นกับเจ้าบ้างแล้วสิ” ถือโอกาสเล่นงานญาติผู้น้องจนแหกปากร้องสั่น แอบชำเลืองมองญาติผู้น้องหญิง หัวเราะจนตัวแข็ง สักพักก็หยุดลง
มีเรื่องที่คิดอยากจะพูดกับนาง ทว่าแค่ไม่มีโอกาสได้พบกัน วันนี้มาร้านเซียงหยิงซิ่วก็เพื่อต้องการให้หงเยียนฝากคำพูดไปให้ญาติผู้น้อง ทำเอาอวิ๋นหว่านชิ่นร้องอุทานออกมา ที่บังเอิญได้พบกันซึ่งๆ หน้า
ภายในร้าน หงเยียนที่ได้เสียงอวิ๋นจิ่นจ้งร้องลั่น ก็ตามเสียงออกมา เมื่อเห็นว่าสวี่มู่เจินมา จึงเดินไปหน้าประตู แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นแค่สวี่มู่เจินลากอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในร้านน้ำชาเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง
อวิ๋นหว่านชิ่นที่โดนญาติผู้พี่ลากเข้าในร้านชาโดยลำพัง แล้วเลือกที่นั่งข้างหน้าต่าง กลับเอ่ยถามอย่างพิลึกว่า “คุณชายใหญ่สวี่มีเรื่องอะไรกัน”
สวี่มู่เจินจ้องเขม็ง “จะไม่หลอกเจ้าอีกแล้ว เก็บสีหน้าเจ้าไว้ ข้าจะถามเจ้านะ เจ้าต้องการจะแต่งงานกับฉินอ๋องจริงๆ หรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มกริ่ม “ท่านลากข้ามาร้านน้ำชามาเพียงลำพัง ก็แค่ถามเรื่องนี้หรือ”
“หรือจะให้เชิญเจ้าดื่มชาหรือไร” คิ้วของสวี่มู่เจินที่เรียวดุจดาบกลับขมวดปมเล็กน้อย ก็อดกลั้นไม่ได้อยู่บ้าง
อวิ๋นหว่านชิ่นยกถ้วยชาสีม่วง จิบหนึ่งคำ ก็ชุ่มคอแล้ว “ท่านอย่าพูดนะว่าชอบข้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว สายเกินไปแล้ว! จะมาอะไรป่านนี้เล่า”
แต่ไหนแต่ไรสองญาติพี่น้องจะพูดคุยกันสองต่อสองอย่างไร้พันธนาการ ทว่าดูเหมือนวันนี้สวี่มู่เจินดูเครียดขึ้ง และกำหมัดแน่น “ข้าไม่ได้สัพยอกนา ที่ฉินอ๋องแต่งงานกับเจ้า เกรงว่าคงมีจุดประสงค์อยู่”
ถ้วยชาที่อยู่ระหว่างนิ้วถึงกับเอียง ไม่ทันระวังจนน้ำชาภายในถ้วยบางส่วนหก ทำเอาโต๊ะไม้ที่ขรุขระเปียก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงวางถ้วยชาลง
“ไหนพูดให้มันกระจ่างสิ”