ตอนที่ 25 พี่สาวห้าจ้าว

เขาไปร้านตีเหล็กเพื่อจองกรงกระต่าย ตอนนี้กระต่ายยังเล็กอยู่จึงยังไม่ต้องกลัว แต่หลังจากที่พวกมันเติบใหญ่ก็ต้องเลี้ยงในกรงเหล็กแล้ว

  

ครั้นเห็นว่าใกล้ถึงเวลา จ้าวเหวินเทาจึงเดินทางมารอพี่สาวห้าที่บ้าน

บ้านของพี่สาวห้าเป็นบ้านหลังเดี่ยวขนาดเล็ก ตอนนั้นที่ซื้อบ้านก็ใช้เงิน 400 กว่าหยวนพร้อมกับธัญพืชขัดสีอีก 100 ชั่งเนื่องเพราะมีเงินไม่มากพอ พี่สาวห้าจึงยืมเงินอีกส่วนหนึ่งจากทางบ้าน

แน่นอนว่าใช้คืนจนครบไปตั้งนานแล้ว

ก่อนหน้านี้พี่สาวห้ากับพี่เขยห้าอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่สามี

จะว่าไปแล้วที่พี่สาวห้าได้รู้จักกับพี่เขยห้าก็เป็นเพราะผลงานของพี่เขยใหญ่

พี่เขยห้าเป็นลูกพี่ลูกน้องเพื่อนร่วมงานของพี่เขยใหญ่ โชคชะตาจึงกลายเป็นเรื่องบังเอิญ

เพียงแต่บ้านสามีของพี่สาวห้านั้นแตกต่างจากบ้านสามีของพี่สาวใหญ่ สามีพี่สาวใหญ่เป็นลูกชายคนเดียวจึงไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร แต่คนในบ้านของสามีพี่สาวห้านั้นมีเยอะมาก ครอบครัวใหญ่อยู่ด้วยกัน จะไม่เกิดความขัดแย้งได้อย่างไร?

สามีพี่สาวห้าเป็นคนขับรถบรรทุก ก่อนจะได้ออกรถก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะภรรยาของเขาตั้งครรภ์แล้ว หลังจากออกรถและกลับมา ภรรยาของเขากลับต้องการหย่ากับเขา!

เพราะลูกในท้องถูกหลานชายของเขาทำร้ายจนแท้ง อีกอย่างพ่อแม่ของเขาก็ลำเอียงไปทางฝั่งหลานชายคนโตด้วย!

พี่สาวห้าไม่ได้อยากหย่ากับเขาจริง ๆ หรอก ง้อกันไปง้อกันมาสุดท้ายก็คืนดีกัน จากนั้นก็พูดกับพ่อแม่ถึงเรื่องแยกบ้านออกไปตรง ๆ

เกือบจะเรียกได้ว่าออกจากบ้านตัวเปล่าเลยก็ว่าได้ เงินเดือนก่อนหน้านี้ก็จ่ายให้คนใหญ่สุดในบ้านทั้งหมด นอกจากค่าใช้จ่ายงานแต่งงานโดยพื้นฐานเขาก็ไม่ได้ใช้เงินเลย อีกอย่างเงินเดือน 52 หยวนที่เขาได้ในแต่ละเดือน ทำงานมาสามปีเงินก็อยู่กับพ่อแม่ของเขาทั้งหมด ท้ายที่สุดเมื่อแยกบ้านออกมาก็ไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรแม้แต่นิดเดียว

 

โชคดีที่พี่เขยห้าไม่ใช่คนโง่ เขาแอบซ่อนเงินส่วนตัวไว้ส่วนหนึ่ง แต่ซื้อบ้านหลังเล็กนี้ก็ยังไม่พออยู่ดี ขาดไปอีกนิดหน่อย จึงต้องกลับมายืมเงินที่บ้าน

  

หลังจากซื้อบ้านหลังเล็กนี้แล้ว พวกเขาทั้งสองคนถึงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หลังจากนั้นผ่านไปไม่นานก็มีลูกสาวเพิ่มมาหนึ่งคน

พี่เขยห้าต้องขับรถไปส่งของ ตอนนี้พี่สาวห้าจ้าวของเขาก็ได้เป็นลูกจ้างประจำแล้ว ย่อมต้องทำงานจนหัวหมุน

ก่อนหน้านี้ตอนที่หล่อนตั้งครรภ์ หล่อนก็เรียกให้พี่สาวใหญ่จ้าวไปทำงานแทน ตอนนี้ลูกโตและส่งเข้าเรียนอนุบาลแล้ว หล่อนจึงกลับไปทำงานอีกครั้ง

พี่สาวทั้งสองของเขาแต่งงานเข้ามาอยู่ในตัวเมือง ซึ่งภายในหมู่บ้านแห่งนี้รักศักดิ์ศรีมาก โดยเฉพาะช่วงฉลองวันปีใหม่พี่สาวทั้งสองก็จะหิ้วของกลับมา ซึ่งทำให้คนที่อยู่ในหมู่บ้านต่างพากันอิจฉาตาร้อน

 

ช่วงนี้พี่เขยห้าขับรถไปข้างนอก พี่สาวห้าจึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว ที่นี่อยู่ใกล้เขตปกครองมาก จึงไม่มีใครกล้ากำเริบเสิบสาน

ผ่านไปได้ไม่นานพี่สาวห้าจ้าวก็ขี่จักรยานพาสวีโหรวผู้เป็นลูกสาวกลับมา

“โหรวโหรว ยังจำน้าได้หรือเปล่าเอ่ย” จ้าวเหวินเทารับหลานสาวมาอุ้มด้วยรอยยิ้ม

“หนูจำคุณน้าได้ค่ะ!” โหรวโหรวน้อยพูดเจือรอยยิ้ม

ชีวิตของสาวน้อยช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้สองทาง ตอนนี้ในบ้านมีเธอหนึ่งคน ฐานะทางบ้านย่อมดีอยู่แล้ว สวมใส่ด้วยเสื้อตัวเล็กพอดีตัวไม่มีรอยเย็บปะ แถมยังตัวอ้วน ๆ ผิวขาว ๆ เป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นอย่างมาก

 

“อันนี้ซาลาเปาเนื้อ เอาไปให้แม่อุ่นให้ร้อนสักหน่อยก็กินได้แล้ว” จ้าวเหวินเทาหยิบซาลาเปาเนื้อที่ถูกห่ออยู่ในกระดาษไขพร้อมกล่าว

สาวน้อยย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

พี่สาวห้าจ้าวเดินเข้าไปเตรียมทำกับข้าวด้านในด้วยรอยยิ้มและเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ที่บ้านเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”

“ก็ดีนะครับ” จ้าวเหวินเทาพูด

“แล้วน้องสะใภ้ท้องหรือยังล่ะ?” พี่สาวห้าจ้าวเอ่ยขณะตักข้าว

“ยังเลยครับ” จ้าวเหวินเทาส่ายหน้า

“ยังไม่ท้องอีกเหรอ?” พี่สาวห้าจ้าวออกอาการประหลาดใจ “นี่แต่งเข้าบ้านมาตั้งนานแล้วนะ ยังไม่มีข่าวดีอีกเหรอ?”

“ยังไม่มีข่าวดีนี่แหละดี ไม่งั้นอยากได้อะไรก็ไม่ได้ แถมยังดูแลลูกได้ไม่ดีอีกไม่ใช่เหรอครับ?” จ้าวเหวินเทาพูด

 

“ถึงแม่ดูแลคนอื่นไม่ดี แต่ไม่มีทางดูแลลูกของนายไม่ดีอยู่แล้ว” พี่สาวห้าจ้าวเอ่ยขณะตั้งเตาถ่าน

จ้าวเหวินเทาแอบรู้สึกอิจฉาเตาถ่านนี้ ถ้าหากแยกบ้านเขาก็อยากมีสักหนึ่งเตา อยากกินอะไรก็จะได้กินได้ “ถึงแม่จะลำเอียงแต่ผมจะลำเอียงได้ยังไงล่ะครับ ยังไงก็กินข้าวหม้อเดียวกันอยู่ดี แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานก็จะได้แยกบ้านแล้วล่ะครับ”

“แยกบ้าน?” พี่สาวห้าจ้าวตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะหันมองน้องชายตนเอง

“ใช่ครับ แยกบ้าน ผมแต่งงานแล้วก็ควรจะแยกบ้านสิ รอแยกบ้านเมื่อไหร่ผมกับภรรยาอยากกินอะไรก็สะดวกขึ้นเยอะเลย ถึงเวลานั้นถ้าหากหล่อนท้อง ลูกผมก็สามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างมีหลักการและเหตุผล

พี่สาวห้าจ้าวไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี หล่อนรู้สึกดีกับน้องชายคนเล็กคนนี้มากที่สุด เพราะหล่อนเป็นคนเลี้ยงเขามา แน่นอนว่าน้องชายคนนี้ก็ไม่ทำให้หล่อนผิดหวัง มีอะไรก็ไม่เคยลืมที่จะแบ่งปันให้หล่อนส่วนหนึ่ง

“ถ้าแยกบ้านแล้ว นายก็ต้องตั้งใจไปทำงานนะ ไม่งั้นจะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ยังไง?” พี่สาวห้าจ้าวเริ่มหยิบเนื้อแดดเดียวออกมาหั่นขณะพูด

 

เนื้อแดดเดียวเหล่านี้เป็นเนื้อที่สามีของหล่อนนำกลับมาจากด้านนอก มีรสชาติอร่อยมาก หล่อนเองก็ทำใจกินไม่ค่อยได้ แต่น้องชายมาทั้งทีก็ต้องหั่นออกมาส่วนหนึ่งอยู่แล้ว

“ทำงานอะไรกันล่ะครับ แบบนั้นเหนื่อยตายพอดี” จ้าวเหวินเทาหยอกหลานสาวไปพลางพูดไปพลาง

“แล้วถ้าไม่ทำงาน นายจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงเมีย? ยังคิดอยากให้ลูกเมียกินดีอยู่ดีอีกเหรอ?” พี่สาวห้าจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูด

“พี่สาวห้า พี่เขยห้าของผมออกไปวิ่งรถข้างนอก ก็ต้องมีความรู้รอบตัวกว้างขวาง เขาเคยเล่าสถานการณ์ด้านนอกให้พี่ฟังบ้างหรือเปล่าครับ?” จ้าวเหวินเทาถาม

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพี่สาวห้าจ้าวก็ไม่ได้ปิดบัง “นายอยากฟังด้านไหนล่ะ?”

“เมื่อกี้ผมปั่นวนดูรอบนอก เห็นมีคนทำค้าขายเยอะแยะเลย” จ้าวเหวินเทาพูด

  

พี่สาวห้าจ้าวพลันตระหนักได้ หล่อนพยักหน้า “นายเลิกพูดไปได้เลย พี่เขยห้าของนายกลับมาก็คุยกับฉันว่า ด้านนอกไม่ใช่สิ่งที่พวกเราทางฝั่งนี้จะเปรียบได้ คนที่อยู่ด้านนอกจำนวนไม่น้อยต่างก็ค้าขายกันหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเป็นนักเก็งกำไรได้!”

สามีของหล่อนใช้ประโยชน์จากการวิ่งรถเพื่อให้ได้รับน้ำมันมาส่วนหนึ่ง แต่ละเดือนกลับมาไม่ได้มีแค่เงินเดือน 52 หยวนเท่านั้น แต่ยังมีรายได้ส่วนอื่นอีกร้อยกว่าหยวนด้วย

ก่อนหน้านี้ไม่ได้กล้าหาญขนาดนี้ และก็ไม่ได้กล้าทำเท่าไรนัก แต่ตอนนี้มีลูกเมียแล้ว ถ้าหากทำได้เขาก็จะทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ทำมากมายอะไร

แต่รายได้เหล่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

“ผมจะเป็นนักเก็งกำไรได้ยังไงกัน มากสุดก็แค่คิดว่าอยากจะเอาของในชนบทส่งมาขายที่ในเมืองนี่แหละครับ” จ้าวเหวินเทาพูด

“ถ้าแบบนั้นก็ได้ นายก็เอาของส่งมาที่ถนนอันซิ่ง ถนนอันซิ่งน่ะรู้จักใช่ไหม? อยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า ไปตั้งแผงลอยตรงนั้น ไม่มีใครมาสนใจนายหรอก!” พี่สาวห้าจ้าวพูด

จ้าวเหวินเทาชะงัก “เรื่องนี้เกิดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ผมไม่เห็นเคยได้ยินเลย”

  

“เมื่อเดือนที่แล้วนี่แหละ ผู้ว่ามณฑลของพวกเราเป็นคนคิด” พี่สาวห้าจ้าวพูด “แต่นายต้องไม่กลัวว่าจะขายหน้าด้วยนะ”

 

พูดแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะในเวลานี้ใครจะไปตั้งแผงลอยขายของกันล่ะ? โดยปกติก็จะเป็นข้าวที่กินไม่ได้พวกนั้น คนปกติที่ไหนจะทำแบบนั้นกัน?

ดังนั้นต้องเป็นคนไม่กลัวอายด้วยถึงจะทำได้

“จะไปอายทำไม ไม่ได้ขโมยไม่ได้แย่งใครมา ซื้อขายได้อิสระ!” จ้าวเหวินเทาได้ยินก็เกิดความตื่นเต้นภายในใจ เขาคิดว่าฤดูใบไม้ผลิของเขากำลังจะมาถึงแล้ว!

 

พี่สาวห้าจ้าวเองก็ไม่อายเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทางของน้องชายที่เป็นแบบนี้จึงหัวเราะออกมา หล่อนคิดว่าในบรรดาคนที่บ้านก็มีน้องชายคนนี้แหละที่ทำได้ ส่วนพวกพี่ชายคนอื่น ๆ เกรงว่าต่อให้แจกเงินพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะออกมาค้าขายอยู่แล้ว เพราะเห็นว่ามันไร้เกียรติ!

“แล้วนายอยากขายอะไร?” พี่สาวห้าจ้าวถามขณะทำกับข้าว

“พี่สาวห้าลองพูดมาหน่อยสิ?” จ้าวเหวินเทาให้พี่สาวห้าของเขาช่วยสอน

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีพี่สาวห้าเป็นแบคอีก อนาคตสดใสไร้คลื่นลมแล้วล่ะเหวินเทา

ไหหม่า(海馬)