ตอนที่ 24 บรรยากาศสังคมที่แตกต่าง

ตอนแรกคุณแม่จ้าวก็ไม่ค่อยพอใจครอบครัวนี้เท่าไรนัก เพราะคิดว่าครอบครัวที่มีลูกชายแค่คนเดียวมีแรงกดดันสูง แม้ว่ากรรมพันธุ์ของเขาจะดี แต่ก็ไม่มีใครทนคนที่ไม่มีพี่ชายน้องชายช่วยเหลือแม้แต่คนเดียวได้!

ไม่เพียงแค่คุณแม่จ้าวที่ไม่พอใจลูกเขยคนนี้ ตอนแรกแม่เฒ่าหวังและพ่อเฒ่าหวังก็ไม่พอใจพี่สาวใหญ่จ้าวเหมือนกัน เพราะพวกเขามีลูกชายคนเดียว แถมยังมีงานทำ เงื่อนไขทางบ้านก็อยู่ในเมือง แล้วยังจะต้องเฟ้นหาคนที่เหมาะสมอีกเหรอ?

แต่ฐานะตระกูลจ้าวในปีนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทั้งสองสามีภรรยาก็กลัวว่าจะได้ลูกสะใภ้ที่ต้องเลี้ยงดูพวกน้อง ๆ ที่อยู่ทางบ้าน หล่อนเป็นพี่สาวคนโต ด้านหลังยังมีน้องชายอีกตั้งหลายคน จะไม่ให้กังวลได้อย่างไรกัน?

แต่ลูกชายพึงพอใจในตัวหล่อน นอกจากหล่อนแล้วก็ไม่คิดจะแต่งงานกับใคร ท้ายที่สุดก็ได้แต่งงานกันอย่างช่วยไม่ได้

พี่สาวใหญ่จ้าวเองก็สู้ยิบตาเช่นกัน แต่งเข้าไปได้หนึ่งเดือนก็มีข่าวดี ทัศนคติของแม่เฒ่าหวังและพ่อเฒ่าหวังจึงเปลี่ยนไป

เมื่อครบหนึ่งเดือน หลังจากไปตรวจก็ทราบว่าหล่อนตั้งครรภ์ลูกแฝด พวกเขาทั้งสองคนก็แทบจะประคบประหงมพี่สาวใหญ่จ้าว

ตอนที่อุ้มท้อง พี่สาวใหญ่จ้าวก็มีชีวิตที่สุขสบาย ของกินและเครื่องดื่มอร่อย ๆ ที่อยู่ในบ้านก็ให้หล่อนกินทั้งหมด แถมยังไม่ต้องทำอะไรด้วย

 

หลังจากคลอดแฝดมังกรหงส์ออกมา ก็กลายเป็นหลานชายคนโตหวังเจิ้นซิงและหลานสาวคนโตหวังหรง ทำให้พ่อสามีและแม่สามีชอบใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าคลอดลูกแฝดแล้วหล่อนจะไม่มีลูกอีก สามปีให้หลังหล่อนก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง ให้กำเนิดหลานชายคนที่สองหวังจงหัว หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยหวังเยว่หลานสาวคนเล็ก มีชื่อเล่นว่าเยว่เยว่

อาศัยการตั้งครรภ์เพื่อเอาชนะของพี่สาวใหญ่จ้าว ตระกูลหวังจึงไม่มีใครกล้าพูดไม่ดีกับหล่อน เพราะนิสัยของพี่สาวใหญจ้าวคือไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ และเป็นเพราะหล่อนดิ้นรนอุ้มท้องจึงเกิดความมั่นใจ ใครจะกล้าพูดอะไรกับหล่อนได้?

ภายในบ้านมีเสาหลักสองคน คนแรกคือพ่อเฒ่าหวัง เขาคือผู้อำนวยการภายในที่ทำการไปรษณีย์ เงินเดือนอยู่ที่ 42 หยวนต่อเดือน ส่วนอีกคนคือหวังคุนสามีของพี่สาวใหญ่จ้าว ทำงานอยู่ที่สำนักงานทรัพยากรน้ำ ได้เงินเดือนเดือนละ 40 หยวน น้อยกว่าพ่อของเขาไม่มาก

นอกจากนี้ยังแม่เฒ่าหวังที่ทำงานส่วนตัวได้เงินเดือนเดือนละ 20 หยวน เงินเดือนแต่ละเดือนรวมกันมีมากกว่าร้อยหยวน ถือเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งเลยทีเดียว

แต่หลังจากที่มีลูกมากขนาดนี้ ครอบครัวนี้ก็ไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือย และต้องประหยัดมัธยัสถ์ ตอนนี้พวกเด็ก ๆ ก็โตกันหมดแล้ว ใช้เงินราวกับสายน้ำ กินข้าวเอย เข้าเรียนเอย ทั้งหมดต่างก็เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น

รายจ่ายภายในบ้านไม่ใช่น้อย ๆ เลย

แน่นอนว่า เทียบกับครอบครัวอื่นก็นับว่าไม่เลว

ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าหวังก็แอบรังเกียจครอบครัวสะใภ้ในชนบทอยู่ภายในใจแต่ไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนนี้นางรู้สึกว่าตนเองคิดผิดจริง ๆ

แม้ลูกสะใภ้จะสนับสนุนครอบครัวทางฝั่งแม่ตัวเอง แต่ก็ยังมีขีดจำกัด อีกอย่างบ้านแม่ของหล่อนทางฝั่งนั้นก็ไม่ได้งอมืองอเท้า แถมยังเอาอาหารมาให้อีกไม่ใช่เหรอ?

ต่อให้เป็นแค่เมล็ดข้าวโพด 30 ชั่ง แต่ในปีนี้ใครจะรังเกียจอาหารฟรีกันล่ะ?

นางเองก็เคยถามพวกหลาน ๆ เหมือนกัน ทุกครั้งที่ไปบ้านคุณตาคุณยายของพวกเขา คุณยายก็จะทอดไข่ให้พวกเขารับประทาน ทั้งยังมีถั่วลิสงต้มอะไรพวกนั้นด้วย ไม่ได้ต้อนรับหลานชายและหลานสาวของตนเองอย่างไม่ยุติธรรมสักนิด

ดังนั้นครอบครัวนี้ย่อมไปมาหาสู่กันได้ แน่นอนว่านางเองก็ไม่ได้ขี้เหนียวที่จะให้น้ำแกงหวานกับจ้าวเหวินเทาที่เป็นน้องชายของลูกสะใภ้

อีกอย่างจ้าวเหวินทาวก็อุตส่าห์ปั่นจักรยานมาจากทิศตะวันออกของเมืองเชียวนะ

เมื่อสองสามเดือนก่อน ตอนที่เขาเข้ามาในเมืองกับภรรยาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ตอนนี้จ้าวเหวินเทาเริ่มคิดแล้ว

ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้ใช้ใบรับรองที่หัวหน้าทีมเขียนให้เขาก่อนจะเข้าเมือง ส่วนทหารอาสาก็ไม่ได้ดักถาม อย่างวันนี้ตัวเขาเองก็ทำรายงานไว้แล้ว แต่ก็ยังเหมือนเดิมคือไม่มีคนตรวจสอบถามไถ่สักคน

เขาเข้ามาในเมืองได้ด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ถ้าหากไม่มีจดหมายรับรองก็จะไม่สามารถเข้าเมืองได้ แต่ตอนนี้นับวันก็เริ่มผ่อนปรนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!

จ้าวเหวินเทาข่มความคิดภายในใจไว้ เขาเดินทางไปหาพี่สาวห้าก่อน แต่เพิ่งจะผ่านเขตที่อยู่อาศัยไม่นานก็มีคนมองมาที่ถุงกระสอบท้ายจักรยานของเขาด้วยดวงตาเป็นประกายเสียแล้ว

หญิงชราร่างเล็กที่ไม่คุ้นหน้าถามเสียงเบา “ด้านในนั้นคืออาหารเหรอ?”

จ้าวเหวินเทามีหรือจะกลัวหญิงชราตัวเล็ก ๆ มาแย่งของจากเขา เขาพยักหน้าตอบ “ใช่ครับ เพิ่งเก็บเกี่ยวปีนี้เลย”

หญิงชราตัวเล็กรีบพูด “แลกไหมจ๊ะ?”

“คุณป้า อย่าทำให้ผมตกใจสิครับ ผมไม่ได้อยากจะเอาไปเก็งกำไร ของพวกนี้ผมเอามาส่งให้พี่สาว” จ้าวเหวินเทามองซ้ายมองขวาขณะพูด

หญิงชราตัวเล็กยิ้ม “เยอะแยะขนาดนี้ แลกกับฉันสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”

“คุณป้าใจกล้าจริงเชียว นี่ดีนะที่เป็นผม ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงแข่งกับป้าไปแล้ว ถึงเวลานั้นป้าคงเจอปัญหาแน่ แต่ยังไงก็แลกให้ไม่ได้จริง ๆ ครับ ของพวกนี้ผมเอามาส่งให้พี่สาว” จ้าวเหวินเทาเห็นว่ารอบตัวไม่มีใคร จึงพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

“พ่อหนุ่มทำไมถึงขี้ขลาดกว่าฉันได้ล่ะ? ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะ” ครั้นหญิงชราตัวเล็กเห็นว่าเขาไม่ยอมแลกเปลี่ยนก็แอบผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พูดจบหนึ่งประโยคก็โบกมือเดินกลับไป

จ้าวเหวินเทาเดินทางมาหาพี่สาวห้า ซึ่งพี่สาวห้าจ้าวทำงานอยู่ที่โรงงานยาสีฟัน

ครั้นพี่สาวห้าจ้าวได้ยินคนไปแจ้งก็เดินออกมา และยิ้มให้น้องชายหกทันทีที่เห็นหน้า

“นายไปรอที่บ้านก่อน ฉันยังเหลืออีกสองชั่วโมงกว่า ๆ ถึงจะเลิกงาน” พี่สาวห้าจ้าวพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นกุญแจให้เขา

“ครับ งั้นผมไปรอที่บ้านก่อนนะ” จ้าวเหวินเทาตอบด้วยรอยยิ้ม

พี่สาวห้าจ้าวหยิบเงินและคูปองออกมาจากกระเป๋ายัดใส่มือน้องชาย “ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีอะไรให้กินอีกหรือเปล่า ถ้ามีนายก็แวะซื้อของกินสักหน่อย ถ้าไม่มีให้ลองขึ้นไปดูด้านนอก เดินทางมาถึงนี่คงหิวแย่เลยใช่ไหม?”

อย่าพูดถึงเลย ตอนนี้เลยเวลาร้านอาหารของรัฐแล้ว จึงไม่มีอะไรให้กินสักอย่าง

แต่จ้าวเหวินเทาได้กินซาลาเปาเนื้อหอมกรุ่นแล้ว อีกอย่างราคาก็ถูกกว่าร้านอาหารของรัฐอีกนิดหน่อยด้วย!

 

นี่เป็นซาลาเปาที่เขาซื้อมาจากในตะกร้าของหญิงสาวคนหนึ่ง หนึ่งลูกราคา 1.3 เหมา นอกจากนี้ยังมีคูปองข้าวอีกหนึ่งใบด้วย

ถูกกว่าในร้านอาหารของรัฐหนึ่งเฟิน แต่ประเด็นสำคัญคือไส้ข้างในไม่ได้ด้อยไปกว่าร้านอาหารของรัฐเลย!

จ้าวเหวินเทากินเสร็จไปหนึ่งลูกก็รู้สึกว่ารสชาติไม่เลวจึงวนกลับไปใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ซื้อมาอีกสองลูกและกินจนหมดเกลี้ยง ในท้องจึงอิ่มไปหลายส่วน

อันที่จริงเขาคิดอยากจะซื้อกลับไปให้ภรรยาด้วย เพียงแต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ คนในบ้านมีจำนวนเยอะเกินไป ซาลาเปาสองลูกจะแบ่งกันอย่างไร? แถมยังสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเพราะอากาศร้อนด้วย จึงไม่มีที่ให้ซ่อน

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้นำไปฝากเธอ ซื้ออีกหนึ่งลูกเก็บไว้ให้หลานสาวของเขาก็พอแล้ว

พี่สาวห้าของเขาแต่งงานเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนี้หลานสาวอายุได้สามขวบ และเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วด้วย

จ้าวเหวินเทาไม่ได้เข้าไปที่บ้านของพี่สาวห้าในทันที ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงปั่นจักรยานเตร็ดเตร่ไปอีกหลายที่ นอกจากหญิงชราตัวเล็กที่เขาเจอก่อนหน้านี้ เขาก็ยังเจอคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งต่างก็ถามว่าเขาจะแลกอาหารที่อยู่ด้านหลังจักรยานหรือไม่?

ก่อนหน้านี้ใครจะกล้าถามบนท้องถนนกัน ทำได้เพียงแค่ถามอยู่ในซอยเล็ก ๆ เท่านั้น ต่อให้ถามก็ยังต้องแอบกระซิบถามเลย

จ้าวเหวินเทาปั่นจักรยานมาถึงด้านนอกโรงภาพยนตร์ และเขาก็พบว่ามีเด็กกำลังถือตะกร้าขายถั่วลิสงต้ม ถั่วเหลืองผัดอะไรพวกนั้นมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

เขาใช้เงินไม่กี่เฟินซื้อมาหนึ่งถุง แต่ก็แพงจริง ๆ เพียงใช้น้ำเกลือต้มแบบนั้น ราคาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าแล้ว!

จ้าวเหวินเทาเห็นพวกทหารอาสาออกลาดตระเวนด้วย ก่อนหน้านี้ถ้าคนพวกนั้นเห็นก็คงมาจับตัวไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับทำเป็นหลับหูหลับตาข้างหนึ่ง

เขาตระหนักได้อย่างฉับไว กระแสนิยมทางสังคมแตกต่างจากเดิมแล้วจริง ๆ!

สิ่งนี้ทำให้เขาที่กำลังจะแยกบ้านในเร็ว ๆ นี้ร้อนใจจนลุกเป็นไฟ!

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สังคมยุคนี้เริ่มมีอิสระเสรีมากขึ้นแล้ว ต่อไปคงไม่ต้องแอบขายของในตลาดมืดแล้วสินะ ทางสะดวกเลยลูกพี่เหวินเทา

ไหหม่า(海馬)