บทที่ 243 จานไถเวยเสวี่ย

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“แม่ครับ ผมไม่เป็นไรอย่ากังวลไปเลย!” เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากฝุ่นควัน พูดพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่

ตกตะลึง หวาดกลัว ยากที่จะเชื่อ ทุกคนต่างมองเย่เทียนเฉินอย่างตกใจจนตาค้าง เดิมทีเขาสามารถสู้กับเปาเทียนหลงจนถึงขั้นที่พื้นรอบๆ กลายเป็นเศษซากได้นั้น ก็ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านแล้ว เดิมทีคิดว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเปาเทียนหลง การใช้หมัดเทพปราณฟ้าออกไปจะต้องสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นมือขวาของเปาเทียนหลงบิดเบี้ยวผิดรูปไป มีลักษณะของอาการกระดูกหักหลายท่อน ทุกคนต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างหาใดเปรียบ แต่ทั้งหมดต่างก็คิดว่าเปาเทียนหลงจะต้องสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ด้วยหมัดนี้แน่นอน นี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกลับเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มไร้พิษสง

“แกแข็งแกร่งมาก!” เปาเทียนหลงพูดออกมา คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงทุกอย่าง นี่คือความรู้สึกที่เขามีต่อเย่เทียนเฉิน และเป็นการประเมินที่เขาซึ่งเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามีต่อเย่เทียนเฉิน

“แกเองก็ไม่เลวเหมือนกัน คิดดีแล้วหรือยัง มาเป็นลูกน้องของฉันเถอะ ติดตามฉันเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

ใครก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่อสู้กันครั้งใหญ่ ประโยคแรกที่พูดกับเปาเทียนหลงจะเป็นคำพูดที่ต้องการรับเปาเทียนหลงเป็นลูกน้อง นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก ในสายตาของคนรอบๆ การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้เรียกได้ว่ายังไม่รู้แพ้รู้ชนะ เพราะเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่างก็ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาและได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ ไม่มีใครชนะใคร

แต่ในใจของเปาเทียนหลงรู้ดีว่าตัวเองแพ้แล้ว ประการแรก การต่อสู้กันอย่างดุเดือดของกระบวนท่าทั้งยี่สิบกระบวนท่านี้ เริ่มต้นก็เป็นเขาที่ลงมือโจมตี จนถึงการโจมตีที่แข็งแกร่งครั้งสุดท้ายนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ถึงแม้เมื่อมาถึงตอนสุดท้ายจะสามารถบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาได้ และยังเป็นความสามารถในขั้นสูงสุดอีกด้วย แต่เย่เทียนเฉินก็สามารถต่อต้านหมัดเทพปราณฟ้าของเขาได้ และโจมตีเขาอย่างหนักหน่วง ที่สำคัญที่สุดก็คือเย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบปี อายุน้อยกว่าเขาถึงสิบกว่าปี หากเวลาผ่านไปอีกสิบปีตนเองจะยังเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้อีกหรือ? ในใจของเปาเทียนหลงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด

“ความคาดหวังของฉันสูงมาก หากไม่มีการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน ก็ไม่สนใจหรอก!” เปาเทียนหลงพูดยิ้มๆ

“คนที่ฉันต้องการแต่ละคนต่างก็มีความสามารถแข็งแกร่งทั้งนั้น รวมกับที่ฉันเย่เทียนเฉินไปหาเรื่องเอาไว้มากมายขนาดนั้น เกรงว่าคนที่คิดจะฆ่าฉันคงมีไม่น้อย ในหมู่คนพวกนี้จะต้องมียอดฝีมือระดับสูงอยู่แน่นอน สนใจหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองเปาเทียนหลงแล้วเอ่ยถาม

“ขอแค่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน และดูแลเรื่องอาหารการกินก็พอแล้ว เงินก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์!” เปาเทียนหลงพูดพลางยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“เรื่องอาหารฉันดูแลเอง รับประกันด้วยชีวิตเลย!”

ทุกคนที่อยู่ที่นี่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า หลังจากการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ แม้จะไม่รู้แพ้รู้ชนะ แต่เปาเทียนหลงกลับมีความคิดที่จะติดตามเย่เทียนเฉินแล้ว สามารถดึงนักสู้แบบเปาเทียนหลงไปได้ทั้งๆ ที่เย่เทียนเฉินยังอายุน้อยแค่ยี่สิบปีเท่านั้น จะไม่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านได้อย่างไร?

การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงนับว่าสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากการต่อสู้ระหว่างพวกเขา แม้ว่าทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน กลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เรียกได้ว่าไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ สามารถพูดชักจูงให้เปาเทียนหลงติดตามตนเองไปป่วนยุทธภพได้ เย่เทียนเฉินก็ดีใจมากแล้ว นี่ก็อยู่ในแผนการของเขาเช่นเดียวกัน

ในตอนที่เปาเทียนหลงเพิ่งจะเดินเข้ามาในบ้านสไตล์โบราณนั้น พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ถึงกำลังภายในที่แข็งแกร่งในร่างกายของเปาเทียนหลงแล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับพลังภายในที่พรรควรยุทธโบราณอื่นๆ ฝึกฝน เพราะพลังภายในร่างกายของเปาเทียนหลงหนักแน่นดุดันเป็นอย่างมาก ซึ่งมีพื้นฐานมาจากพลังการต่อสู้ เย่เทียนเฉินที่ต้องการจะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จึงต้องการคนที่บ้าการต่อสู้แบบเปาเทียนหลง

ในฐานะที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าและเป็นยอดฝีมือชั้นยอด ในร่างกายของเปาเทียนหลงย่อมมีเลือดแห่งการต่อสู้ไหลเวียนอยู่ มีบางคนที่เกิดมาเพื่อต่อสู้ แต่พอฆ่าคนผิดเปาเทียนหลงจึงถูกบีบบังคับให้ออกจากทัพฟ้า และเพื่อปากท้องจึงจำเป็นต้องมาเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันให้กับตระกูลหลัว ความจริงแล้วเขาไม่ชอบชีวิตแบบนี้เลย การเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันคนหนึ่งในตระกูลหลัว ทั้งวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เป็นการใช้คนไม่ถูกกับงานเลยจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถเลือกได้ เปาเทียนหลงคาดหวังการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน การต่อสู้ที่จะสามารถใช้ความสามารถของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องตายในการต่อสู้ก็ยังดีกว่ามีชีวิตราบเรียบแบบนี้ นี่เป็นข้อต่อรองเพียงข้อเดียวที่เย่เทียนเฉินคิดว่าตนเองจะสามารถชักจูงเปาเทียนหลงให้ติดตามตัวเองได้

แน่นอนว่าหากเขาไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นว่าตนเองเข้ากันได้ดีกับเปาเทียนหลง กระทั่งมีความสามารถที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา เขาก็คงไม่ยอมติดตามเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน

“หัวหน้า คุณ…”

“หัวหน้า คุณจะติดตามไอ้หนูนี่จริงๆ เหรอ…”

ผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามเปาเทียนหลงมาโดยตลอดจนสามารถเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จะอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าหลังจากการต่อสู้เปาเทียนหลงจะถูกเย่เทียนเฉินดึงไปเป็นพวก ไปจากตระกูลหลัว ไม่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันอีกต่อไป ไปติดตามไอ้หนูคนนี้แทน นี่ช่างกะทันหันเกินไปแล้ว

“พวกแกสองคนอยู่ที่ตระกูลหลัวต่อไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้!” เปาเทียนหลงพูดด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง หลัวเหยียนซงที่ยืนมองเย่เทียนเฉินอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอด ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะเย่เทียนเฉินไม่ได้แพ้ให้กับเปาเทียนหลงและต้องการจะจากไปหลังจากที่ทำกร่างทำร้ายคนตระกูลหลัวของตน แต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก สั่งกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายอย่างราบเรียบว่า “ให้เย่เทียนเฉินและแม่ไปได้ กล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก็ให้พวกเขาไปด้วย!”

“งั้นนายท่าน แล้วเปาเทียนหลงล่ะครับ?” คนใช้ถามอย่างนอบน้อม

“แล้วแต่เขาเถอะ นี่เป็นอิสระของเขา!”

พูดจบหลัวเหยียนซงก็เดินไปจากที่นั่น ในใจของเขารู้สึกสะท้อนใจและเจ็บปวดใจ เนื่องจากแม่เฒ่าตระกูลหลวงซึ่งเป็นแม่ของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ถึงเขาจะรีบกลับมาก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ บางทีผลลัพธ์ในตอนนี้คงจะดีที่สุดแล้ว เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่เป็นหลานของเขาคนนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตะลึงและสั่นสะท้านมากเหลือเกิน

เมื่อรู้ว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ คุณลุงทั้งหลายแห่งตระกูลหลัวที่เดิมทีรู้สึกไม่พอใจจนคิดจะลงมือลอบทำร้าย ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ต่อให้จะเห็นลุงหวังนำหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดไปบรรจุลงในกล่องหยกหงส์มังกร และพาหลัวเยี่ยนไปก็ไม่มีใครกล้าขวาง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน หากตอนนี้มีใครเข้าไปขวางไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?

“แม่มันเถอะ หรือจะปล่อยให้ไอ้หนูนี่เอากล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิไป?” มีคนกัดฟันถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่งั้นจะทำยังไงได้อีก? แกจะไปดวลตัวต่อตัวกับมันหรือไง?”

“ห้ามให้มันเอาไปเด็ดขาด พวกเราสามารถออกคำสั่งให้ผู้คุมการตระกูลหลัวยิงมันได้”

“ผู้นำตระกูลก็รับรู้แล้ว ช่างมันเถอะ ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี”

เพียงไม่นาน เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและลุงหวังสามคนก็นั่งอยู่ในรถซีดานคันหนึ่ง โดยมีเปาเทียนหลงเป็นคนขับ เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับ ส่วนหลัวเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง รับกล่องหยกหงส์มังกรที่ลุงหวังส่งมาให้ หลัวเยี่ยนยังคงหยิบยกมีตำหนิด้านในกล่องออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมอบกล่องหยกหงส์มังกรคืนให้ลุงหวัง

“คุณหนู นี่คุณ…” ลุงหวังถามอย่างสงสัย ไม่ง่ายเลยกว่าที่ผู้นำตระกูลจะให้หลัวเยี่ยนสองแม่ลูกนำหยกมีตำหนิและกล่องหยกหงส์มังกรไปได้ หลัวเยี่ยนไม่ต้องการหรือ? นี่เป็นของล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้ บนโลกมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

“พ่อพูดแล้วว่าให้พวกเราเอาไปแค่หยกมีตำหนิ ถึงตอนนี้คุณลุงตระกูลหลัวทั้งหลายจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้พ่อลำบากใจภายหลัง ของสิ่งนี้เก็บไว้ที่ตระกูลหลัวเถอะ พวกเรานำไปแค่หยกมีตำหนิก็พอแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

 “คุณหนูครับ ถ้าหากว่านายท่านรู้ จะต้อง…” ลุงหวังรู้สึกซาบซึ้งใจ หลัวเยี่ยนเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง และมีความกตัญญูมากด้วย ต่อให้เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่อยากทำให้พ่อลำบากใจ

“อย่าบอกเขานะ บอกให้ว่าฉันไม่ต้องการก็พอแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดพลางส่ายหน้า

ลุงหวังมองหลัวเยี่ยนครั้งหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา สองพ่อลูกคู่นี้ผ่านไปยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่สามารถปล่อยวางได้ การทะเลาะกันจนตัดความสัมพันธ์พ่อลูกเมื่อปีนั้น จะไม่อาจแก้ไขได้ไปตลอดชีวิตเลยหรือ? นี่จะโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า?

“ผมทราบแล้วครับ!” ลุงหวังพูดแล้วพยักหน้า

เอี๊ยด!

ในตอนที่เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และเปาเทียนหลงเตรียมจะจากไปนั้น รถมอเตอร์ไซค์ที่โดดเด่นคันหนึ่งได้มาจอดที่ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลัว มีเด็กสาวคนหนึ่งลงมาจากรถ เธอสวมชุดหนัง กางเกงหนัง รองเท้าหนัง บนใบหน้าสวมแว่นกันแดดสีดำ มองใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดเจน ปากเล็กๆ ที่แดงเอิบอิ่มมีเสน่ห์อยู่หลายส่วน ร่างกายสูงประมาณ 172 เซนติเมตร เมื่อรวมกับชุดหนังที่สวมอยู่บนร่างแล้วก็ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายถูกขับเน้นจนเด่นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินก็มองจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาที่มุมปาก ผู้หญิงดีๆ แบบนี้ ต่อให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าทั้งหมดได้ แต่จากการคาดเดาของเขาผู้หญิงคนนี้จะต้องสวยมากแน่ ไม่ด้อยไปกว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอย่างหลิ่วหรูเหมยเลย

“สวัสดี ฉันชื่อจานไถเวยเสวี่ย คุณช่วยแจ้งกับหัวหน้าตระกูลหลัวหน่อยว่า ฉันมีเรื่องด่วนต้องการพบเขา!” ผู้หญิงร่างสูงที่สวมแว่นกันแดดสีดำคนนั้นเดินมาที่ประตูคฤหาสน์ตระกูลหลัวแล้วพูดกับพวกคุ้มกันด้วยรอยยิ้ม

ผู้คุ้มกันบริเวณประตูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบต่อสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “คุณหนูเวยเสวี่ยเชิญเข้าไปครับ นายท่านหลัวรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว!”

“ว้าว ผู้หญิงคนนี้โดดเด่นจริงๆ แม่ครับ คุณพ่อของแม่มารอที่ห้องโถงด้วยตัวเองเลย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยิ้มอย่างสนใจ

“จานไถเวยเสวี่ย หรือว่า…ไปเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา!” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาพลางส่ายหน้า

“จริงสิ หยกมีตำหนินี้แม่ใหญ่ของแม่ทิ้งเอาไว้ให้ ส่วนกล่องหยกหงส์มังกรพวกเราก็ไปหาผู้เชี่ยวชาญมาประเมินราคา ของสิ่งนี้ถ้าเก็บไว้ที่บ้านคงต้องเจอกับนักฆ่าแน่นอน!” มือซ้ายของเย่เทียนเฉินถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ สังเกตกล่องแล้วพูดออกมาอย่างสนใจ

ฟ้าว!

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ แส้หนังสีดำเส้นหนึ่งก็ตวัดมาทางเขา โจมตีไปที่กล่องหยกหงส์มังกรในมือซ้ายคล้ายจะขโมยไป

เย่เทียนเฉินสายตาว่องไวลงมือรวดเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบ ในขณะเดียวกันก็ใช้มือขวาจับแส้หนังสีดำเอาไว้แล้วหันไปมอง พบว่าคนที่สะบัดแส้โจมตีเขาและจับอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของแส้ก็คือเด็กสาวที่สวมแว่นสีดำ สวมเสื้อหนังรองเท้าหนัง และมีรูปร่าง เซ็กซี่คนนั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนคิดไม่ถึง

………………..