บทที่ 229 ของกำนัลจากท่านโหราจารย์ (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

[ภาคที่ 3 วีรบุรุษไร้เทียมทาน] บทที่ 229 ของกำนัลจากท่านโหราจารย์ (1)

‘เหมือนจะมีเหตุด่วน พวกเขาเป็นสหายข้าราชการของต้าหลาง หรือเกี่ยวข้องกับต้าหลางกันแน่นะ’

เหล่าจางคนเฝ้าประตูโค้งคำนับพร้อมพยักหน้า “ใต้เท้าทั้งสามโปรดตามข้ามาขอรับ”

หนานกงเชี่ยนโหรวยืนขึ้น เดินตามเหล่าจางคนเฝ้าประตู ทะลุโถงด้านหน้ามายังลานด้านหลัง มองเห็นเด็กน้อยที่สะพายถุงผ้าใบเล็กคนหนึ่งอยู่ไกลๆ หน้าตาก็เพียงนับว่าน่ารักกำลังถูกสาวน้อยกระโปรงยาวที่มีรูปโฉมงดงามจนน่าตะลึงเดินจูงไปข้างนอก

เด็กน้อยบุ้ยปาก เดินตามด้วยสีหน้าไม่พอใจ

เมื่อทั้งสองฝ่ายพบกัน สาวน้อยก็หยุดเดินและพินิจมองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งสามอย่างงุนงง

“ใต้เท้าทั้งสามมีเรื่องต้องการพบนายท่าน” เหล่าจางคนเฝ้าประตูอธิบาย

สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้าอย่างสำรวม ถอนสายตากลับและดึงเสี่ยวโต้วติงหลบไปด้านข้าง

มือข้างหนึ่งของสวี่หลิงอินถูกพี่สาวกุมไว้ มืออีกข้างหนึ่งชูขึ้น นิ้วสั้นป้อมชี้ที่หนานกงเชี่ยนโหรวพร้อมตะโกน

“พี่สาวคนสวย สวยเหมือนท่านแม่เลย”

พี่สาวคนสวย?! หนานกงเชี่ยนโหรวที่สีหน้าไร้อารมณ์เกือบจะหลุดมาด หันหน้าไปราวกับไม่อยากเชื่อ จ้องมองสวี่หลิงอินตาเขม็ง หัวตากระตุกไม่หยุด

‘เจ้าเด็กนี่โง่หรือไร มีตาไว้ประดับหน้าอย่างเดียวหรือ’

เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ให้เด็กน้อยเห็นลูกกระเดือกของตน ทว่าเด็กน้อยผู้โง่เขลาก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเขาแม้แต่น้อย นางตะโกนดังลั่นไม่หยุด

“พี่สาวสวยเหมือนท่านแม่ของข้าเลย”

เหมือนนางจะคิดว่า ‘สวยเหมือนท่านแม่ของนาง’ เป็นคำชมขั้นสูงทีเดียว

หนานกงเชี่ยนโหรวสะบัดแขนเสื้อจากไป หากเป็นคนอื่นบังอาจมาบอกว่าเขาเป็นสตรี ไม่ตายก็ต้องโดนถลกหนัง ทว่าฆ้องทองคำผู้น่าเกรงขามเช่นเขาขี้คร้านเกินกว่าจะถือสาหาความกับเด็กน้อย

สวี่หลิงเยวี่ยมองตามแผ่นหลังของหนานกงเชี่ยนโหรวและอีกสองคน เดินเข้าไปในโถงใหญ่

“ท่านพี่ทำไมไม่เดินไปล่ะ” สวี่หลิงอินเงยหน้าที่เล็กเท่าฝ่ามือขึ้น

“เป็นสหายข้าราชการของพี่ใหญ่ อีกสักพักพวกเราค่อยไปสำนักศึกษากันเถอะ” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมจูงน้องสาวกลับไป

ภายในโถงด้านหลัง สวี่ผิงจื้อที่เพิ่งกินข้าวเสร็จรีบร้อนลุกขึ้นต้อนรับ รู้สึกกลัดกลุ้มและหวาดระแวงเล็กน้อย คารวะพร้อมเอ่ย “ท่านฆ้องทองคำ”

ฆ้องทองคำผู้น่าเกรงขามให้เกียรติเดินทางมาเยือนจวนสกุลสวี่ นี่เป็นสิ่งที่สวี่ผิงจื้อคาดไม่ถึง

ด้วยฐานะสูงส่งของฆ้องทองคำ ถึงสวี่ชีอันจะลอยชายอยู่ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลประหนึ่งปลาได้น้ำ ก็ไม่มีทางที่ฆ้องทองคำจะลดเกียรติมาเยือนถึงบ้านของฆ้องทองแดง

เว้นเสียแต่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วน

‘ฆ้องทองคำผู้นี้เกิดมารูปงาม มองไกลๆ ก็ชวนเข้าใจผิดว่าเป็นสตรี ไม่ด้อยไปกว่าเอ้อร์หลางที่เป็นชายคล้ายสตรีเลย…’ สวี่ผิงจื้อคิดในใจ

“พี่สาวคนสวย”

เสี่ยวโต้วติงตามสวี่หลิงเยวี่ยกลับมาและยืนอยู่ที่ธรณีประตู ร้องเรียกคล้ายจะเอาอกเอาใจ

เจ้าเด็กน่ารำคาญนี่ อีกประเดี๋ยวเจ้าได้ร้องไห้แน่…หนานกงเชี่ยนโหรวขมวดคิ้ว เมื่อคิดถึงการตายของสวี่ชีอัน ในใจก็อดหนักอึ้งไม่ได้

สายตาของเขาแฉลบผ่านสวี่ผิงจื้อและมองสตรีผู้งดงามที่ข้างโต๊ะกินข้าว ที่เด็กน้อยพูดก็ไม่ได้โกหกเลย เป็นสตรีที่งามวิจิตรจริงๆ

“ท่านฆ้องทองคำให้เกียรติมาเยือนถึงบ้านของข้า มีเรื่องอันใดให้ข้าช่วยหรือ” สวี่ผิงจื้อเอ่ยถาม

หนานกงเชี่ยนโหรวถอนสายตากลับ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันได้สละชีพในหน้าที่ที่อวิ๋นโจว ข้าจึงมาเพื่อมอบเงินสงเคราะห์และบำรุงขวัญ[1]”

พูดพลางแบมือ ฆ้องทองแดงด้านหลังส่งเงินให้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

หนานกงเชี่ยนโหรวยื่นเงินสงเคราะห์และบำรุงขวัญ 300 ตำลึงให้สวี่ผิงจื้ออีกที สวี่ผิงจื้อไม่ได้รับ เขาหยุดชะงักไม่ขยับเขยื้อนคล้ายกับแผ่นหินสลัก

แม้แต่แววตาก็แข็งทื่อปด้วย

สวี่ชีอันสละชีพในหน้าที่…คำพูดของหนานกงเชี่ยนโหรวราวกับฟ้าผ่าลงข้างหูของสวี่ผิงจื้อ ปะทุจนขวัญกระเจิง ระเบิดจนตับไตแยกออกเป็นชิ้น[2]

พริบตาเดียวก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบสูญสิ้นสีสัน หัวสมองถูกทับถมด้วยข่าวร้าย ดวงใจแหลกสลายจนสิ้นซาก

สวี่ชีอันเป็นหลานชายของเขา เป็นลูกกำพร้าของพี่ชาย เขาฟูมฟักเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมานานกว่า 20 ปี ไม่ต่างอะไรกับลูกชายของตน ไม่สิ รักยิ่งกว่าลูกชายของตนเสียด้วยซ้ำ

อารองสวี่มีความรับผิดชอบอย่างแรงกล้าต่อสวี่ชีอันมาโดยตลอด เพราะเขาเป็นลูกในไส้และสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของพี่ชาย

เลี้ยงดูให้เขาเติบใหญ่ ได้เห็นเขาแต่งงานมีลูก เป็นเสาหลักขยายกิ่งแตกก้านใบ ถือเป็นความใฝ่ฝันที่งดงามที่สุดในชีวิตของสวี่ผิงจื้อแล้ว

ตอนนี้หลานชายคนนี้กลับไม่อยู่เสียแล้ว จากกันไปง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ

ขณะที่ความรู้สึกดำดิ่งอยู่นั้น สวี่ผิงจื้อก็ได้ยินเสียงล้มลง เขาหันกลับไปมองก็เห็นภรรยาหมดสติไปเสียแล้ว

“ท่านพี่ สละชีพในหน้าที่คืออะไรหรือ”

สวี่หลิงอินฟังไม่เข้าใจ นางเงยหน้าขึ้นมองสวี่หลิงเยวี่ยข้างกาย

สวี่หลิงเยวี่ยไม่ได้ตอบ นางยืนซึมเซื่องคล้ายกับดอกไม้กระดาษที่ไม่มีชีวิต งดงามแต่ขาวซีด

เหล่าจางคนเฝ้าประตูร้องไห้เสียงดัง “สละชีพในหน้าที่ก็คือตาย”

หนานกงเชี่ยนโหรวทอดถอนใจในใจ วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ย “จากนี้สามถึงห้าวัน กระดูกศพก็จะส่งกลับเมืองหลวง พวกเจ้าเตรียมจัดพิธีศพล่วงหน้าได้เลย”

เอกสารด่วนแปดร้อยลี้ย่อมมาถึงเมืองหลวงเร็วกว่ากระดูกศพ

เมื่อกล่าวจบหนานกงเชี่ยนโหรวก็หันหลังเดินจากไป

“คนโกหก!”

เสียงคำรามเช่นลูกสิงโตดังขึ้น สวี่หลิงอินขวางอยู่ตรงหน้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งสาม จ้องหนานกงเชี่ยนโหรวด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด

เด็กหกขวบรู้ว่าความตายคืออะไร

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่ได้ตอบ เขาอ้อมผ่านสวี่หลิงอินและมุ่งหน้าเดินออกไปด้านนอก ทว่าสวี่หลิงอินไม่ยอมปล่อยเขาไปและไล่ตีเขาสุดชีวิตพลางตะโกนดังลั่น “คนโกหกๆ…”

ความคิดของเด็กน้อยช่างเรียบง่าย ตราบใดที่ทำให้คนโกหกยอมจำนนและทำให้เขาถอนคำพูดเมื่อครู่ได้ พี่ใหญ่ก็จะกลับมา ขอแค่ทำให้คนโกหกยอมจำนน พี่ใหญ่ก็จะกลับมา…

หนานกงเชี่ยนโหรวทำได้เพียงรีบเร่งฝีเท้าพาสองฆ้องทองแดงออกจากจวนสกุลสวี่ เดินออกมาไกลเขาก็หันกลับไปอย่างกังวล

เด็กคนนั้นไล่ตามออกมาอย่างไม่ลดละความพยายาม แล้วยืนอยู่หน้าประตูอย่างเดียวดายพลางร่ำไห้อย่างรวดร้าว ร่างเล็กสั่นเทาไม่หยุด

คล้ายกับสัตว์ตัวน้อยที่ถูกมนุษย์ทอดทิ้ง

หนานกงเชี่ยนโหรวพลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาควรจะรออีกพักหนึ่ง รอให้เด็กคนนี้เข้าสำนักศึกษาไปก่อน แล้วค่อยแจ้งข่าวการตายของสวี่ชีอัน

“พานางกลับไป ให้ครอบครัวของนางดูแลดีๆ ” หนานกงเชี่ยนโหรวหันหน้าไปกำชับฆ้องทองแดงทางด้านซ้าย

“ขอรับ”

ในจวนสกุลสวี่ สวี่ผิงจื้ออุ้มภรรยาที่สลบไสลกลับห้อง แล้วมองหาตัวลูกสาวที่โถงด้านหน้า คิดจะพูดปลอบใจ ทว่าสวี่หลิงเยวี่ยก็เอาแต่นั่งซึมกะทืออยู่ข้างโต๊ะ นัยน์ตาว่างเปล่า ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

อารองสวี่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เรียกเหล่าจางคนเฝ้าประตูแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ส่งคนไปสำนักแจ้งข่าวกับเอ้อร์หลาง ให้เขากลับจวนโดยเร็วที่สุด”

เหล่าจางเช็ดน้ำตาพร้อมพยักหน้า แล้วถอยออกไป

อันที่จริงคนรับใช้ในจวนมีไม่กี่คนที่ขี่ม้าเป็น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความสำคัญของเหตุการณ์หรือในแง่ของเวลา สวี่ผิงจื้อไปสำนักอวิ๋นลู่ด้วยตนเองจะเหมาะสมกว่า

แต่เหล่าจางคนเฝ้าประตูรู้ดีว่าตอนนี้นายท่านขี่ม้าไม่ไหว

เมืองหลวงไปถึงเขาชิงหยุน เดินทางไปกลับก็ต้องใช้เวลาสองชั่วยาม หากทักษะการขี่ม้าไม่ยอดเยี่ยมพอก็จะยิ่งใช้เวลานานขึ้น

สวี่ซินเหนียนกลับถึงจวนมาเพียงลำพังในยามอู่[3] คนรับใช้ที่ไปส่งข่าวถูกเขาทิ้งไว้ด้านหลัง

เฆี่ยนม้าวิ่งห้อตะบึงมาถึงประตูใหญ่ สวี่ซินเหนียนก็ดึงบังเหียนม้าอย่างแรง ม้าหยุดในทันที กีบเท้าหน้ายกขึ้นสูง

ไม่รอให้กีบเท้าหน้าของม้าแตะพื้น สวี่ซินเหนียนก็พลิกตัวลงจากม้าและพุ่งเข้าประตูบ้านด้วยใบหน้าซีดเผือด ยามที่ข้ามธรณีประตูกลับสะดุดล้มลงกับพื้นอย่างแรง หน้าผากแตก

เขายืนขึ้นอย่างซวนเซโดยไม่ทันรู้สึกตัว เมื่อเดินโซซัดโซเซเข้าไปในจวนก็มองเห็นครอบครัวอยู่ที่ห้องโถงด้านหลัง เขามองเห็นมารดาที่น้ำตาไหลริน มองเห็นน้องสาวที่แววตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา

แน่นอนว่ามีสวี่หลิงอินที่นั่งอยู่บนแท่นบันไดนอกโถงด้านหน้าอย่างโดดเดี่ยวและใช้กิ่งไม้แห้งวาดเล่นไปมาบนพื้นด้วยเช่นกัน

เมื่อข่าวร้ายถูกส่งมา เหล่าผู้ใหญ่ต่างตกอยู่ในความโศกเศร้า จึงมองข้ามความรู้สึกของเด็กน้อย สวี่หลิงอินไม่กล้าถามไม่กล้าพูด ทำได้เพียงนั่งอยู่บนแท่นบันไดอย่างอ้างว้าง ไม่ส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย

ขอบตาสวี่ผิงจื้อแดงก่ำ มองเขาพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เอ้อร์หลาง พี่ใหญ่ของเจ้า…ไม่อยู่แล้ว”

ร่างของสวี่ซินเหนียนสั่นไหว ภาพตรงหน้ามืดลงเป็นพักๆ

ผ่านพ้นช่วงกลางวันท้องนภาก็มืดมิดลง สายลมหนาวเหิมกำเริบ ตามด้วยหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักดุจขนห่าน

นี่เป็นหิมะแรกหลังพิธีเซ่นไหว้วสันต์โปรยปรายอยู่ทั่ว ไม่นานนักหิมะที่ทับถมก็ปกคลุมสันหลังคา ปกคลุมยอดไม้ ปกคลุมทางเดิน โลกทั้งใบเหมือนถูกคลุมด้วยเสื้อสีเงินบางๆ

ณ พระราชวัง อุทยานหลวง

องค์รัชทายาทเชื้อเชิญองค์ชายสอง องค์ชายสี่ องค์ชายหก และองค์หญิงทั้งสามมาชมหิมะที่ศาลาชิงจี๋

ถ่านไฟคุโชน บนโต๊ะจัดวางด้วยอาหารสุรารสเลิศ องค์รัชทายาทจิบสุราพร้อมตรัสด้วยรอยยิ้ม

“ปีก่อนหิมะก็ตกลงมารอบหนึ่งแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะเห็นภาพหิมะอีกครั้งจะต้องรอสิ้นปี นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านพ้นพิธีไหว้วสันต์ หิมะก็กลับมาเยือนอีกครั้ง”

องค์หญิงสามยิ้มพร้อมตรัส “ได้ยินโหรผู้ร่างปฏิทินของสำนักโหราจารย์กล่าวว่า ยิ่งหิมะก่อนเริ่มฤดูใบไม้ผลิตกหนักเท่าไร การเก็บเกี่ยวหลังฤดูใบไม้ร่วงก็จะยิ่งดีเท่านั้น ไม่รู้ว่าจริงเท็จเพียงใด หิมะนี้แม้จะตกลงมาหลังพิธีเซ่นไหว้วสันต์ แต่ก็ยังนับว่าตกทันก่อนเริ่มฤดูใบไม้ผลิ”

องค์รัชทายาทยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็ทอดพระเนตรองค์ชายสี่พร้อมตรัสถาม “หมู่นี้ฮว๋ายชิ่งเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งวันอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน ข้าส่งคนไปตามนางมาร่ำสุราด้วยกัน นางก็บอกปัดว่ารู้สึกไม่สบาย”

องค์ชายสี่ส่ายพระพักตร์นิ่งขรึม “ไม่ทราบขอรับ”

ฮว๋ายชิ่งไม่ได้ปรากฏตัวมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เดิมยังมารวมตัวพบปะกับเหล่าเสด็จพี่เสด็จน้องบ้างเป็นครั้งครา แต่ระยะหลังนี้เอาแต่ปิดประตูไม่รับแขก

แม้องค์ชายสี่กับฮว๋ายชิ่งจะเป็นพี่น้องร่วมมารดา ทว่าด้วยอุปนิสัยของฮว๋ายชิ่ง แม้จะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดก็ยากจะสนิทชิดเชื้อ

‘ฮึ ต้องเป็นเพราะถูกรัศมีของข้าบดบังจนไม่มีหน้าไปพบผู้คนแน่ๆ…’ หลินอันจิบสุรา คิดอย่างภาคภูมิใจ

กิตติศัพท์ของหลินอันผู้นี้สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งเมืองหลวง ตามความนิยมของหมากเรียงห้าตัว ลองถามดูสิ ถูกรัศมีอันเรืองรองของข้ากลบทับเสียขนาดนั้น ฮว๋ายชิ่งผู้ต่ำต้อยย่อมทำได้เพียงหดหัวอยู่แต่ในตำหนักไม่กล้าออกไปไหนหรอก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินอันก็มีความสุขพลางจิบสุราอีกหลายอึก แสงอาทิตย์อัสดงแดงก่ำค่อยๆ ไล้ใบหน้าอันอวบอิ่มของนาง ดวงตาดอกท้ออันงามหยาดเยิ้มน่าหลงใหลพร่ามัวเล็กน้อย

พระราชโอรสไม่กี่พระองค์อดชำเลืองมองไม่ได้ การมีน้องสาวที่ทั้งพรสวรรค์และรูปโฉมเลิศล้ำ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจนัก

อืม คำว่า ‘พรสวรรค์’ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ความงามอันเป็นเลิศนั้นคู่ควรกับนางแล้ว

ยายตัวร้ายในใจสวี่ชีอัน นอกเสียจากภาพลักษณ์ที่เหมาะกับราชินีแห่งไนต์คลับแล้ว ยังเป็นหญิงสาวประเภทที่สวยมากๆ ในชั้นเรียน แต่คะแนนดิ่งลงเหว

นักเรียนหญิงประเภทเรียนไม่เอาไหนที่จะหน้านิ่วคิ้วขมวด เกาหัวยิกๆ เวลาทำโจทย์คณิตศาสตร์

ทว่าเพราะสวยเกินไปเลยถูกนักเรียนชายตามยกยอปอปั้น จึงทำให้นักเรียนหญิงคนอื่นในชั้นเรียนเกลียดและประณามว่าเป็นพวกสวยไร้ราคาอยู่ลับหลัง

ส่วนฮว๋ายชิ่งก็เป็นนักเรียนหญิงหัวกะทิผู้เย็นชา ทว่าเพราะนิสัยจองหองพองขนเกินไป จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักเรียนหญิงเช่นกัน จึงแอบริษยากันในใจ ‘ชิ ก็ไม่เท่าไรนี่นา’

ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวของนักเรียนหญิงหัวกะทิผู้เย็นชาและนักเรียนหญิงหัวขี้เลื่อยผู้งดงามคือ นักเรียนหญิงหัวกะทิสามารถเล่นงานนักเรียนหญิงคนอื่นในชั้นได้ ส่วนนักเรียนหญิงหัวขี้เลื่อยก็ทำได้เพียงบุ้ยปากอย่างฉุนเฉียวเท่านั้น

………………………………

[1] เงินสงเคราะห์และบำรุงขวัญ เป็นเงินที่จะมอบให้แก่ครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจในราชการ

[2] ตับไตแยกออกเป็นชิ้น เป็นการอุปมาว่า เจ็บจนแทบจะขาดใจ หรือ โศกเศร้าเสียใจจนหัวใจแทบสลาย

[3] ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. – 13.00 น.