บทที่ 229-2 ของกำนัลจากท่านโหราจารย์ (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 229 ของกำนัลจากท่านโหราจารย์ (2)

“หิมะนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี พวกเจ้ารู้เรื่องสารด่วนแปดร้อยลี้ของเมื่อวานหรือไม่” องค์รัชทายาทเปิดประเด็นสนทนา

“จางสิงอิงปราบปรามกบฏในอวิ๋นโจวหรือขอรับ” องค์ชายสี่ตรัส

องค์รัชทายาททรงพยักหน้า

“เจ้ากรมกรมโยธาแห่งพรรคฉีสมคบคิดกับสำนักพ่อมดชุบเลี้ยงอิทธิพลในอวิ๋นโจวหมายมุ่งร้าย โชคดีที่ผู้ตรวจการจางมีความสามารถล้ำเลิศ รู้ทันแผนการร้าย จึงกวาดล้างพรรคกบฏจนสิ้นซาก”

หลังจากนั้นพักหนึ่ง องค์รัชทายาทก็ทอดพระเนตรหลินอันน้องสาวร่วมมารดา

“คดีนี้ถือเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของสวี่ชีอัน จึงได้รับสมญานามหลังมรณกรรมว่าเป็นจื่อ[1]แห่งอำเภอฉางเล่อ ก็สมนามนั้นแล้ว”

“แน่นอนอยู่แล้ว สวี่ชีอันคือ…”

เดิมหลินอันได้ยินเสด็จพี่ตรัสชมสวี่ชีอัน ในใจก็เบิกบาน กำลังจะโอ้อวดตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อได้ยินประโยคครึ่งหลัง นางก็พลันตะลึงงัน

“เสด็จพี่…ท่าน ท่านตรัสว่าอะไรนะ”

รอยยิ้มสวยหวานบนใบหน้าอันงามหยาดเยิ้มน่าหลงใหลแข็งทื่อเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ทว่าอากัปกิริยากลับว่างเปล่า จ้องมององค์รัชทายาทอย่างงงงวย

“อ๊ะ เจ้ายังไม่รู้หรือ” องค์ชายสี่ถอนพระทัยพลางตรัส

“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันผู้นั้นสละชีพในหน้าที่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

‘เพล้ง’ …แก้วสุราแตกลงบนพื้น

ทุกคนต่างมองหลินอันเป็นตาเดียว

หลินอันมิอาจควบคุมสติของตนได้ มือขาวนวลคว้าแขนเสื้อขององค์รัชทายาทไว้แน่น ร้องไห้สะอื้นตัวสั่นเทา “เสด็จพี่ อย่าล้อข้าเล่นสิ…”

ดวงตาของนางวาววับด้วยน้ำตา วิงวอนอย่างน่าสงสาร

องค์รัชทายาทตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลันชักสีหน้าบึ้งตึง สะบัดมือของหลินอันออกพร้อมตรัสเสียงขรึม

“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เสด็จพ่อทรงมีพระราชโองการแล้ว รอกระดูกศพของฆ้องทองแดงผู้นั้นส่งกลับเมืองหลวง จึงออกพระราชโองการพระราชทานราชทินนาม หลินอัน ระวังฐานะของตัวเจ้าด้วย”

องค์หญิงแห่งต้าฟ่งผู้สง่าเสียสติกับการสละชีพของผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ องค์รัชทายาททึกทักเอาเองว่านางอยู่ในภาวะอารมณ์เปราะบาง พระองค์ไม่อยากคาดเดาอะไรมากไปกว่านี้

หลินอันหดมือกลับอย่างเงียบๆ ลุกขึ้นยืนโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ แล้วก้าวเท้าเข้าสู่ดงหิมะที่ตกลงมาเป็นวงกว้าง

“หลินอัน หลินอัน…” องค์รัชทายาททรงไล่ตามไปถึงข้างศาลา ตะโกนใส่แผ่นหลังของนาง

ชุดสีแดงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน เกล็ดหิมะที่โปรยปรายตกลงบนเส้นผมของนาง

องค์รัชทายาทหันหน้าตวาดใส่นางกำนัลประจำตัวของหลินอัน “ยังไม่ไปกางร่มให้องค์หญิงอีก”

นางกำนัลหยิบร่มขึ้นมาพอดีเตรียมจะไล่ตามไป พอได้ยินก็หยุดชะงักก่อนจะคำนับ แล้วกางร่มกระดาษน้ำมันจ้ำอ้าวตามหลังไป

ภายในศาลา เหล่าพระราชโอรสและพระราชธิดายังไม่อาจดึงสติกลับมาได้ ต่างมีสีหน้างุนงง

อีกด้านหนึ่ง นางกำนัลที่เคยถูกสวี่ชีอันตบบั้นท้ายผู้นั้นก็กางร่มพลางสังเกตใบหน้าด้านข้างของหลินอันอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าจะเอื้อนเอ่ย

ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่ฆ้องทองแดงผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว…นางกำนัลทอดถอนใจอยู่ในใจ

ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จึงหันหน้าไปอย่างตะลึงงัน นางเห็นองค์หญิงหลินอันน้ำตารินไหลอาบหน้า

“องค์หญิง?!”

นางกำนัลเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มองไปรอบๆ อย่างว้าวุ่น โชคดีที่หิมะตกโปรยปราย ไร้ผู้คนรอบข้าง จึงเอ่ยเสียงเบา “พระองค์ร้องไห้ทำไมเพคะ เป็น…เป็นเพราะเขาหรือเพคะ”

“ข้า ข้าไม่รู้…”

น้ำตาไหลรินทีละหยด หลินอันยกมือกดหน้าอกเอาไว้

ตรงนี้ช่างว่างเปล่าเหลือเกิน

“หิมะตกแล้ว ข้าชอบวันที่หิมะตก คงต้องรอให้หิมะหยุดตกเสียก่อน ข้าจะไปเล่นปาหิมะกับพวกศิษย์พี่ แล้วก็ปั้นตุ๊กตาหิมะและม้าหิมะด้วย”

ณ ตำหนักขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ภายในห้องน้ำชาอันอบอุ่น ฉู่ไฉ่เวยประคองถ้วยดื่มชา กินขนมพลางทอดมองหิมะตกนอกหน้าต่าง

ลักยิ้มบางๆ ของนางเพลิดเพลินกับยามบ่ายอย่างสบายใจ มีชาร้อน ขนมอร่อยๆ แถมยังได้นั่งดูหิมะตกเพลินๆ ด้วย

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งสวมด้วยชุดกระโปรงสีขาว นางที่ร่างกายแข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่ในชุดฤดูร้อนแนบเนื้อ

นางไม่ได้สนใจบทสนทนาของสหายคนสนิทในห้อง ในมือถือม้วนคัมภีร์อยู่ แต่ดวงตากลับเหม่อมองหิมะตก

“องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้น หลายวันมานี้ใจดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย” ฉู่ไฉ่เวยรู้สึกเหมือนตนถูกมองข้าม ในใจขุ่นเคือง

ในดวงตาสีดำสุกใสส่องสะท้อนเกล็ดหิมะอันขาวบริสุทธิ์ทีละเกล็ด ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไฉ่เวย จดหมายที่ข้าเขียนแทนเจ้า เกรงว่าจะส่งไม่ถึงมือเจ้าแล้ว”

ฉู่ไฉ่เวยกินขนมอยู่อย่างไม่คิดอะไรเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ”

“เขาสิ้นชีพในหน้าที่แล้ว”

ฉู่ไฉ่เวยมือสั่นระริก ขนมร่วงหล่นลงพื้น

หอดูดาว แท่นแปดทิศ

ฉู่ไฉ่เวยก้าวขึ้นแท่นบันไดมายังชั้นบนสุดของหอดูดาวด้วยความเศร้าสลด

หิมะตกโปรยปรายดุจขนห่าน แท่นแปดทิศทับถมด้วยชั้นหิมะบางๆ ท่านโหราจารย์นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะ โดยในรัศมีสามนิ้วรอบๆ ปราศจากหิมะ

ฉู่ไฉ่เวยหยุดอยู่ด้านหลังของท่านโหราจารย์ เอ่ยเสียงสะอื้นอย่างน้อยใจ “ท่านอาจารย์…”

“ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกครั้งที่ศิษย์พี่รังแก เจ้าก็จะวิ่งร้องไห้มาฟ้องอาจารย์ที่นี่” ท่านโหราจารย์ไม่ได้หันหน้ากลับ แล้วยิ้มพลางดื่มสุรา

“ศิษย์พี่ไม่ได้รังแกข้า” ฉู่ไฉ่เวยเบ้ปาก แล้วร้องไห้โฮออกมา “สวี่ชีอันตายแล้ว สวี่ชีอันตายแล้ว ข้าเศร้าใจยิ่งนัก…”

ท่านโหราจารย์เงียบอยู่สักพัก หันหน้าทอดมองทิศใต้ราวกับกำลังมองบางสิ่งอย่างใจจดใจจ่อ แล้วพลันหัวเราะขึ้นเบาๆ “เป็นเรื่องดี”

ฉู่ไฉ่เวยยิ่งร้องหนักกว่าเดิม กระทืบเท้าปึงปัง ร้องไห้พลางด่าทอ “ตาเฒ่าชั่ว ตาเฒ่าเฮงซวย สหายข้าตายไปทั้งคน ท่านยังจะบอกว่าเป็นเรื่องดีอีก ทำไมท่านไม่ตายไปเสียล่ะ!”

“ไฉนพูดกับอาจารย์เช่นนี้เล่า อาจารย์มีชีวิตอยู่มา 500 ปี ยังอยู่ไม่สาแก่ใจเลย อยากจะยืมสวรรค์ต่ออีก 500 ปี” ท่านโหราจารย์เอ่ยอย่างโกรธเคือง

“เช่น เช่นนั้นคำพูดของท่านเมื่อครู่เป็นสิ่งที่คนเป็นอาจารย์สมควรพูดหรือไง” ฉู่ไฉ่เวยสะอึกสะอื้น

“อาจารย์บอกเป็นเรื่องดีย่อมเป็นเรื่องดี” ท่านโหราจารย์กล่าว “ยาคืนชีพที่อาจารย์มอบให้เจ้าเมื่อปีก่อน เจ้ากินไปหรือยัง”

“ยาคืนชีพอะไร” ฉู่ไฉ่เวยเช็ดน้ำตา

“ยาคืนชีพ ยาคืนชีพที่ 60 ปีสกัดออกมาได้เพียงสามเม็ด ยาคืนชีพที่จักรพรรดิหยวนจิ่งขอร้องอ้อนวอนอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ยกให้” ท่านโหราจารย์โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม

“อ้อ อยู่ในกระเป๋าข้า” ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้น “ท่านไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว ข้าก็ไม่ได้ใช้ของสิ่งนั้นเลย”

ท่านโหราจารย์พยักหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จำไว้ว่าเจ้ามอบยาคืนชีพให้สวี่ชีอันไปแล้ว”

“ข้าเปล่า”

“เจ้ามอบให้แล้ว”

“ข้าเปล่านะ มันอยู่ในกระเป๋าข้า”

“หุบปาก เจ้ามอบให้แล้ว หลังจากนี้หากมีคนมาถามเจ้า ให้เจ้าบอกไปแบบนี้”

“โฮ” ฉู่ไฉ่เวยร้องไห้อีกครั้งพร้อมเอ่ย “อาจารย์ สวี่ชีอันตายแล้ว”

นางมีความเคยชินอย่างหนึ่ง ก็คือเมื่อพบกับเรื่องโศกเศร้าก็จะมาคร่ำครวญที่ท่านโหราจารย์ที่นี่ คล้ายกับเด็กที่ได้รับความไม่เป็นธรรมก็คร่ำครวญหาพ่อแม่

“เจ้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นหกได้ไม่นาน ช่วงนี้ก็อย่าออกไปข้างนอก”

หลังจากรอฉู่ไฉ่เวยออกไป ท่านโหราจารย์แบฝ่ามือออก ยาเม็ดสีส้มเหลืองวาวใสก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือเงียบๆ

จากนั้นท่านโหราจารย์ก็ดึงหนวดเส้นหนึ่งออกมา พ่นลมหายใจเบาๆ

หนวดเส้นนั้นลอยล่องไปตามสายลม ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นนกตัวใหญ่สีขาว

นกตัวใหญ่ส่งเสียงร้องวังเวง บินวนอยู่กลางอากาศสักพัก ก่อนจะโฉบลงมาและคาบยาคืนชีพในมือท่านโหราจารย์ไป

ฉู่ไฉ่เวยกลับถึงห้อง ก็ก้มหน้าก้มตารื้อหาในกระเป๋าหนังกวางใบเล็กที่คาดเอว

“ทำไมจู่ๆ ท่านอาจารย์ก็เอ่ยถึงยาคืนชีพกับข้า ยังบอกว่าข้ามอบให้สวี่ชีอันไปแล้วด้วย…” นางสะอึกสะอื้นพลางรื้อหา แต่หาอย่างไรก็ยาคืนชีพไม่เจอ

“เจ้าไว้ใจเว่ยเยวียนเช่นนั้นเลยหรือ ถึงได้ยอมบอกความลับทั้งหมดของตนกับเขา”

ในห้องบรรทุกสินค้าที่มืดสลัว หยางเชียนฮ่วนนั่งขัดสมาธิ หลังพิงโลงศพ

เรื่องที่สวี่ชีอันเป็นลูกนอกสมรสของเว่ยเยวียน เขาคิดเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าเชื่อถือไม่ได้ สวี่ชีอันอายุ 20 ปี ทว่าเว่ยเยวียนเมื่อ 20 กว่าปีก่อนก็เป็นขันทีอยู่ในวังแล้ว

“พ่ออะไรกัน ล้อเล่นหรอก ข้าเล่นมุก เจ้าเข้าใจหรือไม่” สวี่ชีอันนอนอยู่ในโรงถอนหายใจ

“ไว้ใจสิ ไว้ใจแน่นอน เว่ยกงดีกับข้า สนับสนุนข้าด้วยความเต็มใจ จะกล่าวว่ามีบุญคุณกับข้ามากล้นดุจขุนเขาก็ไม่เกินจริง แต่อันที่จริงข้าก็แอบลังเลอยู่หน่อยๆ ที่จะบอกความลับกับเขา”

“ทำไมล่ะ”

“จะว่าอย่างไรดีล่ะ ความคิดของเว่ยกงลึกล้ำเกินกว่าผู้คนจะมองออก เจ้าไม่มีทางรู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าหลังจากบอกความลับ เขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร”

“มันก็จริง เว่ยเยวียนเหมือนกับท่านอาจารย์ของข้า ล้วนเป็นพวกที่มีความคิดลึกล้ำจนน่าสะพรึง แม้จะเป็นชายที่มือกุมแสงสว่างเด็ดดวงดารา[2]เช่นข้าก็มองพวกเขาไม่ออก” หยางเชียนฮ่วนเอ่ยด้วยความสับสน

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงยอมพูดความในใจเหล่านี้กับข้าล่ะ”

สวี่ชีอันยิ้มพร้อมเอ่ย “เพราะศิษย์พี่หยางเป็นชายที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์ดุจเด็กแรกเกิดไงล่ะ”

นอกเสียจากชอบเสแสร้ง อย่างอื่นล้วนไม่แยแสทั้งสิ้น

หยางเชียนฮ่วนพยักหน้า รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนี้อีกครั้ง “รู้สึกฟังดูไม่ค่อยจะดีเท่าไรนะ…เช่นนั้นเคยคิดจะออกจากเมืองหลวงบ้างหรือไม่ อย่างไรเสียเจ้าก็ตายแล้ว แผ่นดินกว้างใหญ่ผืนฟ้าไร้สิ้นสุด จะที่ใดก็ไปได้ทั้งสิ้น”

“ทว่าครอบครัวของข้าอยู่ที่เมืองหลวง กลับไปได้แน่นอนว่าต้องกลับไป” สวี่ชีอันถอนหายใจ

“ข้าก็โหยหาวันวานที่สวมชุดศิษย์สำนักถือดาบท่องยุทธภพเช่นกัน แต่ไม่ว่าเจ้าจะไปที่แห่งใด ใต้ฟ้านี้ก็มีบ้านที่เจ้ากลับไปหาได้ทุกเมื่อ เจ้าก็คงไม่หวาดกลัว แต่หากวันหนึ่งข้าจากเมืองหลวงไป ชีวิตนี้คงกลับไปไม่ได้แล้ว”

หลังจากอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง อาจเป็นเพราะเบื่อเกินไป ทั้งสองจึงเริ่มโต้เถียงกันไปมาโดยไม่ยั้งคิด ก่อนจะค่อยๆ เริ่มพูดความในใจออกมา

“มันก็จริง ยามที่ข้าออกมาพเนจรอยู่ข้างนอก ตราบใดที่นึกขึ้นได้ว่ายังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องและอาจารย์ที่สำนักโหราจารย์อยู่ ในใจก็รู้สึกหมดกังวล ใช่ว่าจะไร้บ้านให้กลับจริงๆ เพียงแค่ออกมาท่องโลกเท่านั้น” หยางเชียนฮ่วนพยักหน้าน้อยๆ

สวี่ชีอันปากบอกอยากกลับไปขอความเห็นจากเว่ยเยวียน อันที่จริงแค่พูดแบบขอไปทีกับหยางเชียนฮ่วน ในใจกำลังชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียของเรื่องที่พูดออกไป

เว่ยเยวียนดีกับเขา เขาทราบดี ทว่าหลังจากเปิดเผย ไม่รู้ว่าเว่ยเยวียนจะเลือกผนึกเสินซูอีกครั้งหรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกันแน่ ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดสิ่งอ้างอิง สวี่ชีอันไม่กล้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง

อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเว่ยเยวียน

และเขาก็ไม่อยากจะออกจากเมืองหลวง จึงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

นอกจากนี้ ภิกษุเสินซูเคยขอร้องให้เขาเก็บเป็นความลับ มิอาจเปิดเผยตัวตนของเขาได้ หากสวี่ชีอันบอกความลับเว่ยเยวียน ไม่รู้ว่าภิกษุเสินซูจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

จงอย่าเชื่อว่าปรมาจารย์ยอดฝีมือระดับเทพคนหนึ่งจะเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตากรุณาจริงๆ เพียงเพราะใบหน้าโอบอ้อมอารีของเขา

“นี่ ไอ้ตอ…ศิษย์พี่หยาง เจ้าแต่งงานมีลูกแล้วหรือยัง” สวี่ชีอันถาม

“ยัง” หยางเชียนฮ่วนส่ายหน้า “ผู้หญิงเป็นภาระ ข้าไม่ต้องการ”

ฉะนี้แล ข้ายังคิดอยู่เลยว่ายามที่เจ้าทำเรื่องอย่างว่ากับภรรยา ก็ไม่อนุญาตให้นางมองหน้าเจ้าใช่หรือไม่ หากเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเจ้าก็มีสองทางให้เดิน หนึ่ง กลายเป็นชายที่ตามหลังภรรยาต้อยๆ ตลอดชีวิตเฉกเช่นรองปราชญ์เอกของสำนักอวิ๋นลู่ สอง เป็นผู้ชายที่แทงประตูหลังอย่างเดียว

พอลองคิดดู สวี่ชีอันก็อดขำก๊ากไม่ได้

ในตอนนั้นเองก็แว่วเสียงของนกไม่ทราบชื่อดังมาจากนอกเรือ เสียงร้องวิเวกวังเวงคล้ายกับนกฮูกกลางคืน

หยางเชียนฮ่วนชะงักก่อนจะสะดุ้งโหยง แล้วโพล่งออกมา “กลิ่นอายของท่านอาจารย์”

………………………………………

[1] 子 บรรดาศักดิ์ระดับสี่ รองลงมาจาก กง(公) โหว(侯) ป๋อ (伯) มีศักดิ์เทียบเท่าไวเคาน์ของทางตะวันตก

[2] มือกุมแสงสว่างเด็ดดวงดารา หมายถึง ผู้ที่แข็งแกร่งหาใครเทียบเสมือนเทพที่มีอำนาจควบคุมพระจันทร์และดวงดาว โดยเป็นวรรคหนึ่งจากบทกวีในเรื่อง ‘神印王座’ แต่งโดย ถังเจียซานเส่า