ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 80

ฮองเฮากล่าว “ฟังดูมีเหตุผล เช่นนั้นข้าจะสั่งคนให้ไปตรวจสอบดูสักหน่อย”

นางสั่งซุนกงกง “เจ้าไปหาดูบันทึกการเข้าวังของหยวนซื่อ ตรวจสอบหน่อยว่าหยวนซื่อตอนที่อยู่กับพระสนมเหมย หรือว่าตอนที่สนมเหมยเป็นสนมชั้นผินเป็นเวลาไหน จากนั้นก็ตรวจหาผู้ที่รับใช้พระสนมเหมยอย่างใกล้ชิดในเวลานั้น”

ใบหน้าของพระสนมเหมยซีดมาก แต่นางไม่อาจหยุดซุนกงกงไม่ให้ไปตรวจสอบได้

เพียงแค่ไปตรวจสอบ ก็จะรู้ว่าตอนที่นางเป็นสนมชั้นผิน หยวนซื่อไม่ได้เข้าวังมาเลย

ในปีแรกที่หยวนซื่อเพิ่งจะแต่งงานกับมหาเสนาบดีเซี่ย ได้เข้าวังมาเข้าเฝ้านาง แต่ในตอนนั้น นางยังไม่ถูกแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยผิน ตอนที่มหาเสนาบดีเซี่ยพาหลิงหลงกลับไปที่จวน นางก็อยู่ที่จวนมาตลอดไม่เคยเข้าวังมาอีกเลย

ครอบครัวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เข้าวังมาจะต้องมีการจดบันทึกไว้ แค่เพียงตรวจสอบก็จะรู่ว่านางเพิ่งจะพูดโกหกไป

ฮองเฮาไม่รู้เรื่องนี้ แต่ว่าจื่ออานรู้ ในสมองของจื่ออานยังคงมีความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิมอยู่ จำได้อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่เจ้าของร่างเดิมจำความได้ หยวนซื่อไม่เคยออกจากจวนมหาเสนาบดีเลยสักครึ่งก้าว

นางกำลังโทษตัวเอง โทษที่นางดูคนผิด ใช้วิธีการของตนเอง

ฮองเฮาที่เห็นสีหน้าของพระสนมเหมย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่จื่ออานพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

นางก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่มู่หรงเจี๋ย เขาก็รีบเข้ามาที่นี่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้ามาดูฉากที่น่าตื่นเต้น นางพบว่ามู่หรงเจี๋ยกำลังปกป้องเซี่ยจื่ออานอยู่โดยที่จื่ออานไม่รู้ตัว

ตามที่คาดไว้มู่หรงเจี๋ยกล่าวถามมหาเสนาบดีเซี่ย “ท่านมหาเสนาบดีวันนี้ไม่ได้เข้าราชสำนักในข่วงเช้า บอกว่าไม่สบายอยู่ที่จวน ทำไมตอนนี้ถึงสบายดีแล้วล่ะ?”

มหาเสนาบดีเซี่ยที่ได้ให้จื่ออานแต่งกับผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ ก็ทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินที่หมู่หรงเจี๋ยถาม เขาก็ตอบอย่างไม่เต็มใจ “กระหม่อมทานยาแล้วรู้สึกดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของท่านมากขึ้น งานด้านการบ้านการเมืองที่หนักอึ้ง ยังต้องให้ท่านช่วยข้าแบ่งเบาภาระนี้ด้วย” มู่หรงเจี๋ยพูดอย่างจริงจัง

มหาเสนาบดีเซี่ยแอบวิจารณ์ในใจ ในตอนนี้จะมาพูดอะไรเกี่ยวกับแบ่งเบาภาะระเรื่องงาน? ในราชสำนักเขาคือคนที่คอยขัดขวางเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อก่อนพวกบัญชีต่าง ๆ ต้องผ่านมหาเสนาบดีก่อน ตอนนี้ล้วนส่งไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิโดยตรงแล้ว

แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่กล้าพูดออกมา ทำได้เพียงตอบรับอย่างหน้าเจื่อน ๆ ไป “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบแล้ว”

หลิงหลงฟูเหรินอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านอ๋อง เมื่อครู่นี้ที่ท่านพูดว่า สะใภ้ หมายถึงจื่ออานของเราไหมเพคะ?”

มู่หรงเจี๋ยยิ้มกล่าว “ในตำหนักนี้นอกจากนางแล้ว ยังมีใครสามารถเป็นชายาของข้าได้อีก หรือว่าท่านไม่อนุญาต?”

สีหน้าของหลิงหลงฟูเหรินขาวซีด แต่นางก็ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “หม่อมฉันขอขอบคุณท่านอ๋องที่ไม่ละทิ้งนาง เพราะเรื่องที่นางเคยหมั้นหมายมาแล้ว แน่นอนว่าหม่อมฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ”

มู่หรงเจี๋ยหัวเราะออกมา “ข้าจะละทิ้งนางได้อย่างไร? เคยหมั้น แล้วยังไง? ฟูเหรินก็เคยหมั้นมิใช่หรือ? ยังไม่ได้ตบแต่งกับท่านมหาเสนาบดีเลย ปรนนิบัติรับใช้เขามากี่ปีแล้วล่ะ?”

จื่ออานมองไปที่ใบหน้าของหลิงหลงฟูเหรินที่เปลี่ยนไปเป็นดูไม่ได้ในทันที นางอดยิ้มไม่ได้ ไม่คิดเลยว่า มู่หรงเจี๋ยจะมีด้านที่มีพิษสงเช่นนี้

ข้อห้ามที่สุดของหลิงหลงฟูเหรินก็คือเรื่องเธอเคยแต่งงานแล้ว ถ้าใครในจวนกล้าพูดคำว่าแม่หม้ายสองคำนี้ เธอจะต้องจัดการกับคนผู้นั้นอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ นางทำได้แค่เพียงตีหน้าซื่อ ไม่กล้าเผยความโกรธออกมา

หวงไท่โฮ่วจ้องมองพระสนมเหมยมาโดยตลอด เมื่อครู่นี้ที่จื่ออานบอกว่าให้ซุนกงกงไปตรวจสอบ เธอก็พบว่าสีหน้าของพระสนมเหมยดูแย่ลง