บทที่ 142 วีแชท

ในใจของเจาโจวหยานคุกรุ่นด้วยความเดือดดาล

แต่เมื่อเห็นสภาพของบุตรชายที่ใบหน้าบวมช้ำ แขนขาหักผิดรูปทรง นอนอยู่บนพื้นด้วยสภาพคนใกล้ตาย หัวใจของคนที่เป็นบิดาก็อ่อนยวบลงอีกครั้ง

“คุณชายหลิน การลงโทษเขาต่อจากนี้ ขอให้เป็นหน้าที่ของข้าได้หรือไม่?” พลัน เจาโจวหยานหันไปยิ้มให้กับหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินแอบสบถอยู่ในใจว่า “คิดว่าฉันสนใจเรื่องในครอบครัวลุงหรือไง…ฉันแค่อยากบอกให้ลุงรู้ว่าเขาทำร้ายเพื่อนฉันต่างหาก”

แต่ถึงอย่างไร หลินเป่ยเฉินก็อดประหลาดใจไม่ได้

ครอบครัวที่ร่ำรวยและได้รับการศึกษาอย่างตระกูลเจา กลับโหดร้ายอำมหิตชนิดคิดไม่ถึง

บุตรชายคนโตประจำตระกูล ถึงกับสังหารนางบำเรอของบิดา รวมถึงน้องสาวต่างมารดาของตนเองได้อย่างเลือดเย็น

และเมื่อดูจากสีหน้าเจาโจวหยานในขณะนี้ ดูก็รู้ว่าอย่างไรเสียคงให้อภัยเจาอู๋หยางผู้เป็นลูกชายสุดที่รักแน่นอน

กล่าวได้อีกอย่างว่า แม่ลูกที่น่าสงสารคู่นั้น ต้องเสียชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์

“คนรวยก็อำมหิตเหมือนกันนะเนี่ย”

“คุณชายหลินไม่ต้องกังวล ข้าขอรับรองว่าบุตรชายของข้าจะไม่มีทางไปรังควานสหายของท่านอีกเด็ดขาด หากเขากล้าทำอีก ข้านี่แหละจะหักขาเขาเอง” เจาโจวหยานรีบพูดน้ำเสียงหนักแน่น

เจาอู๋หยางที่นอนอยู่บนพื้นชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “ท่านพ่อพูดอะไรออกมา ขาของข้ายังมีส่วนไหนเหลือให้ท่านหักอีกหรือ?”

“ข้าจะจัดส่งแพทย์ที่ดีที่สุดในเมืองไปรักษาอาการบาดเจ็บของสหายท่าน และข้าก็จะส่งนักบวชของวิหารเทพกระบี่ไปรักษาพวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น คุณชายหลินได้โปรดวางใจ อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อการฝึกวิทยายุทธ์ในอนาคตแน่นอน และข้าก็จะส่งเจ้าลูกชายไม่รักดีคนนี้ ไปขอโทษพวกเขาด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าคุณชายหลินพอใจกับข้อเสนอของข้าหรือไม่?”

เจาโจวหยานประสานมือแนบอกด้วยท่าทีเคารพอ่อนน้อม

หลังใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็ตอบออกมา “ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก แค่อย่าไปยุ่งกับพวกเขาอีกก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ตามที่ท่านว่ามานั่นแหละ”

“ยอดเยี่ยมเลยขอรับ” เมื่อเจาโจวหยานเห็นว่าหลินเป่ยเฉินลดน้ำเสียงแข็งกระด้างลงแล้ว เขาจึงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ

หลินเป่ยเฉินอุตส่าห์รอให้ตาแก่นี่เดินทางมาถึง ก็เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต มิเช่นนั้นแล้ว เยว่หงเสว่คงต้องถูกตามเล่นงานอีกไม่หยุดหย่อน

ถึงหลินเป่ยเฉินจะเคยพบหน้าเยว่หงเสว่เพียงไม่กี่ครั้ง มิหนำซ้ำ พวกเขาไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหาย หลินเป่ยเฉินทำทุกอย่างนี้ ก็เพราะเห็นแก่ความใจกล้าที่เยว่หงเสว่เคยกลับมาช่วยเหลือเขา นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินได้รู้ว่าเด็กชายคนนี้ เป็นคนที่มีจิตใจดีงามผู้หนึ่ง

แต่เขาคงไม่มีเวลามาคอยช่วยเหลือเยว่หงเสว่ทุกครั้งไป

สำหรับคนที่มีจิตใจอำมหิตอย่างเจาอู๋หยาง ไม่มีทางเจรจาพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้เลย ดูจากท่าทีแล้ว เขามีความอำมหิตยิ่งกว่าบิดาหลายเท่านัก

แต่กับจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเจาโจวหยาน ทุกอย่างถูกตัดสินบนผลประโยชน์ เพราะฉะนั้น จึงยังพอเจรจากันได้บ้าง

“จำเอาไว้ให้ดี ถ้าข้าได้ยินว่าเจ้าแอบไปเล่นงานสหายข้าอีก หอการค้าสามพันโยชน์และตระกูลเจาของพวกเจ้า เตรียมตัวถูกกวาดล้างได้เลย” หลินเป่ยเฉินพูดเน้นคำ น้ำเสียงอาฆาต

เจาโจวหยานรับปากครั้งแล้วครั้งเล่า สบถสาบานนับครั้งไม่ถ้วน ว่าบุตรชายของตนไม่มีทางกล้าทำเช่นนั้นอีกเด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินพลันหันมามองหน้าเจาอู๋หยาง แล้วพูด “ถือว่าเจ้าโชคดี ที่วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์ฆ่าคน”

เจาอู๋หยางถึงกับตัวสั่นเทา

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันหลังกลับเดินจากไป

เจาโจวหยานเดินตามไปส่งพร้อมล้วงถุงไหมออกมาจากในอกเสื้อ “คุณชายหลิน ขอบคุณท่านมากที่อุตส่าห์สั่งสอนบุตรชายข้า นี่คือทองคำเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นค่าเหนื่อยของท่านนะขอรับ ได้โปรดรับไว้เถิด อย่าได้ปฏิเสธเลย…”

“ท่านคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกัน?”

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณด้วยความไม่พอใจ อยากจะซัดกำปั้นใส่หน้าเจาโจวหยานขึ้นมาทันที

แต่เมื่อเขารับถุงไหมมาถือในมือและรู้ถึงน้ำหนักของมัน เด็กหนุ่มก็รีบเปิดออกดู คำนวณด้วยสายตาคร่าวๆ ประมาณได้ว่าในถุงใบนี้น่าจะมีเหรียญทองไม่ต่ำกว่า 100 เหรียญ หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนน้ำเสียงราวกับเป็นคนละคน “ท่านลุงเจา ท่านเห็นข้าเป็นคนหน้าเงินไปได้อย่างไร เอาเป็นว่าน้ำใจของท่านในครั้งนี้ ข้าจะรับไว้เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”

พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็เดินจากไปพร้อมด้วยถุงไหมใส่เหรียญทองคำ

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินพ้นไปจากประตูคฤหาสน์เรียบร้อย เจาโจวหยานจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ในที่สุด ก็สามารถส่งปีศาจน้อยออกไปได้เสียที

เมื่อชายร่างอ้วนเดินกลับมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง บริวารของหอการค้าก็ประคองร่างเจาอู๋หยางลุกขึ้นมานั่ง ในขณะเดียวกันก็มีแพทย์เข้ามาจัดการสมานกระดูกที่แตกหัก

“ท่านพ่อ มันเป็นใคร?” เจาอู๋หยางถามด้วยความเจ็บแค้นใจ

คุณชายโรคจิตเริ่มวางแผนแก้แค้นแล้ว

เขาทนความอัปยศแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

“เขาเป็นคนที่เราไปมีเรื่องด้วยไม่ได้”

เจาโจวหยานพูดเสียงกระด้าง “เด็กหนุ่มคนนี้ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง บัดนี้เขามีป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์คอยคุ้มครอง แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออาจารย์เขาที่เป็นเซียนกระบี่ต่างหาก ความร้ายกาจของอาจารย์นั้น สามารถกวาดล้างตระกูลเจาของเราได้ในพริบตา ถ้าเกิดมีเรื่องกันจริงๆ ขึ้นมา แม้แต่สำนักปรภพมืดก็ไม่อาจรับมือได้ด้วยซ้ำ”

สำนักปรภพมืดถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสำนักยุทธ์อิสระ ที่มีอิทธิพลกว้างขวางที่สุดสำนักหนึ่งในมณฑลเฟิงอวี่

แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครเช่นกัน

เมื่อเทียบกับเมืองไป๋หยุน ซึ่งเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่ทั้งจักรวรรดิ สำนักปรภพมืดก็มีสภาพเป็นเพียงสำนักเลี้ยงเด็กเท่านั้นเอง

“เซียนกระบี่หรือขอรับ?”

เจาอู๋หยางกระพริบตาปริบๆ ด้วยความตกตะลึง “เขามาปรากฏตัวในเมืองหยุนเมิ่งของเราตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เพิ่งปรากฏตัวได้ไม่นานหรอก…แต่ช่างมันเถอะ ว่าแต่เจ้าจะมีเรื่องกับใคร ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง? คิดอะไรอยู่ถึงไปหาเรื่องคนที่น่ากลัวเช่นนี้?” เจาโจวหยานคำรามออกมาอีกครั้งด้วยความเดือดดาล

เจาอู๋หยางตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าเพียงต้องการกวาดล้างสำนักยุทธ์เล็กๆ พวกนั้น ใครเลยจะคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น? ท่านพ่อ โปรดบอกข้ามา เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้มันชื่ออะไร ในอนาคตข้าจะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอหน้ามัน”

“เจ้าคงเคยได้ยินชื่อของเขามาบ้างแล้ว เขาคือหลินเป่ยเฉิน บุตรชายของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์” เจาโจวหยานกล่าว

“อ้าว เป็นเขาเองหรือ?”

เจาอู๋หยางไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาเช่นนี้

เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นเศษขยะประจำเมือง ไม่มีใครไม่รู้จัก

ทันใดนั้น เจาอู๋หยางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เขาไม่แปลกใจอีกแล้วที่รู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินเหมือนคนวิกลจริต มีวิธีการพูดและทำเรื่องราวต่างๆ แปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนคนทั่วไป

“ที่แท้ก็เป็นเจ้าลูกเต่าหน้าโง่นี่เอง แล้วทำไมคนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ ถึงไปเป็นลูกศิษย์เซียนกระบี่ได้เล่า?”

เจาอู๋หยางคิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกอิจฉาขึ้นมาชอบกล

ความคิดที่จะแก้แค้นของคุณชายโรคจิตสลายหายวับไปทันที เขาฝืนยิ้มพูดกับบิดา “ท่านพ่อ ข้ารู้แล้วว่าเขาเป็นคนน่ากลัวมากแค่ไหน เหตุการณ์วันนี้ข้าพูดจาไม่ดีกับเขาหลายครั้ง เกรงว่าในอนาคตวันไหนอารมณ์ไม่ดี เขาอาจกลับมาเอาเรื่องพวกเราอีกก็เป็นได้”

พูดจบ เจาอู๋หยางก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ

เจาโจวหยานก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นกัน “ถูกต้อง ไม่ว่าต้องทำอย่างไร ก็ต้องหาวิธีทำให้คุณชายหลินหายโกรธเราให้ได้”

ณ สถานศึกษากระบี่ที่สาม

ตำหนักไม้ไผ่

บนเตียงนอนในห้องชั้นสอง

“เอ๊ะ? มีแจ้งเตือนอัพเดทระบบใหม่อีกแล้วเหรอ?”

หลินเป่ยเฉินมองหน้าจอโฮโลแกรมของโทรศัพท์ที่ฉายขึ้นมาเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ

เมื่อลองคิดดูให้ดี เขาก็พบว่าการอัพเดทระบบแต่ละครั้ง จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่แน่นอน มันมีกำหนดเวลาของมัน ไม่ใช่ว่านึกจะอัพเดทตอนไหนก็ได้

การอัพเดทระบบครั้งแรก เกิดขึ้นขณะเขาได้ที่หนึ่งตอนสอบกลางภาค

การอัพเดทระบบครั้งที่สอง เกิดขึ้นตอนที่เขาเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้าย

และการอัพเดทระบบครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากเขาชนะการประลองกระบี่รุ่นเยาวชน

การอัพเดทระบบที่เกิดขึ้นทั้งสามครั้ง เป็นสิ่งที่ตามมาหลังเขาทำอะไรได้สำเร็จสักอย่าง

เด็กหนุ่มรู้สึกว่าถ้าจะสู้กับสัตว์ประหลาด ตนเองก็ต้องมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ แต่ละครั้งที่ทำภารกิจสำเร็จ ก็คงเป็นการได้แต้มประสบการณ์เพิ่มขึ้น เมื่อแต้มของเขาสะสมครบตามจำนวนที่กำหนด โทรศัพท์ก็จะอัพเดทระบบเพื่อเป็นรางวัลตอบแทน

“งั้นในอนาคตเราก็ต้องรีบแสดงฝีมือให้มากกว่านี้น่ะสิ การแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว ถ้าเราสามารถเก็บชัยชนะต่อไปได้เรื่อยๆ โทรศัพท์ก็จะอัพเดทระบบเรื่อยๆ แล้วในที่สุด เราก็น่าจะหาวิธีกลับโลกมนุษย์ได้ใช่ไหม?”

หลินเป่ยเฉินคิดอยู่เนิ่นนานก็ยืนยันกับตนเองว่า เขาจำเป็นต้องอัพเดทระบบโทรศัพท์

ครั้งนี้ใช้การโอนถ่ายข้อมูลมากถึง 10 GB

ทันใดนั้น ห้องนอนของหลินเป่ยเฉินพลันมีเสียงครวญครางดังออกมาอีกครั้ง

พ่อบ้านหวังจงยืนอยู่หน้าประตู กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วยามเศษ

โทรศัพท์อัพเดทระบบเสร็จสิ้น

แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินผิดหวังก็คือ การอัพเดทระบบครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

“สวัสดีเจ้าค่ะ นายท่าน”

เสียงผู้ช่วยอัจฉริยะดังขึ้น

เป็นเสียงที่ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น และมีความเป็นหุ่นยนต์น้อยลง

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “เสียงไม่เห็นเหมือนเดิมเลย? ยังเป็นเสี่ยวจี้อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”

“ยังคงเป็นเสี่ยวจี้คนดีคนเดิมเจ้าค่ะ” ผู้ช่วยอัจฉริยะส่งเสียงตอบ

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง

“เอาแล้วไง ดูเหมือนการอัพเดทระบบครั้งนี้ จะทำให้ยัยเสี่ยวจี้ฉลาดขึ้นสินะ แต่ของแบบนี้มันต้องพิสูจน์”

หลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนั้นก็พูดออกมาว่า “สุภาษิตโบราณคำว่าน้ำขึ้น ควรต่อด้วยคำว่าอะไร?”

เสี่ยวจี้ตอบออกมาฉับไว “สุภาษิตโบราณน้ำขึ้นให้รีบตัก หมายถึงการกอบโกยผลประโยชน์ให้เยอะที่สุดในขณะที่ยังสามารถทำได้เจ้าค่ะ”

เป็นคำตอบตามมาตรฐานทั่วไป

แต่หลินเป่ยเฉินเผลอหลุดปากสวนกลับไปด้วยความเคยชิน “ไม่ใช่ ที่ถูกต้องคือน้ำขึ้นให้ขนของหนี ถ้าอยู่ต่อไปน้ำก็ท่วมบ้านหมดสิ”

“…”

หลังนิ่งเงียบอยู่นาน เสี่ยวจี้ก็พูดออกมาว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวจี้จะแก้ไขข้อมูลในหน่วยความจำเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า “เดี๋ยวยัยนี่ได้เสียคนเพราะฉันแน่ๆ”

เด็กหนุ่มพลันรีบเปลี่ยนเรื่อง “จริงด้วยสิ การอัพเดทระบบครั้งนี้ มีของรางวัลอย่างอื่นอีกไหม?”

“นายท่านได้รับของรางวัลเป็นการเลือกแอปแบบสุ่มเจ้าค่ะ อยากเลือกตอนนี้เลยไหมเจ้าคะ?” เสี่ยวจี้สอบถาม

หลินเป่ยเฉินตอบไม่ลังเลว่า “จัดมา”

ทันใดนั้น ภาพโฮโลแกรมตรงหน้าเขาก็แสดงหน้าต่างแอปสโตร์ขึ้นทันใด

กงล้อเสี่ยงโชคที่คุ้นตาปรากฏขึ้น

กงล้อเริ่มหมุน

เพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ

เขาเห็นว่าลูกศรกำลังชี้ไปยังไอคอนสีเขียวที่คุ้นตายิ่ง

มันคือแอปวีแชท!