ป๋ายหลี่อู๋เฉินราวกับถูกกระตุ้นโทสะ
สิ่งที่คนประเภทนี้ไม่อาจทำใจยอมรับได้มากที่สุดก็คือการที่มีใครปฏิเสธความคิดเห็นของเขา โดยเฉพาะคนที่เขามองว่าเป็นศัตรูดั่งเช่นหลินเมิ้งหยา เขาไม่มีวันยอมปล่อยให้นางทำลายแผนการทุกอย่างของเขา
“เจ้าจะเข้าใจอะไร? นี่คือหนทางสู่ความสำเร็จ เจ้าเป็นเพียงสตรีที่มีจิตใจอ่อนไหว สักวันเจ้าจะทำลายเขา!”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินยังคงดื้อดึง แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็คิดว่าตนมิได้ทำผิดแต่อย่างใด คนที่ผิดคือหลินเมิ้งหยา นางทำให้หลงเทียนอวี้ไม่ฟังคำพูดของเขา
“นั่นหาใช่เพราะความใจอ่อนของสตรี แต่มันคือความอบอุ่นและความเป็นสุภาพบุรุษ เพื่อหนทางความสำเร็จของเจ้า เจ้าถึงกับทำร้ายอาแท้ๆ ของเจ้าเอง เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำก็เพื่อหลงเทียนอวี้อย่างนั้นหรือ? เจ้าทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น เจ้าจะได้ปีนป่ายไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้นและมีอำนาจมากขึ้น”
คำพูดของหลินเมิ้งหยากรีดลงบนหัวใจของป๋ายหลี่อู๋เฉิน
ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏเพียงความเย็นชาและกระวนกระวาย นี่คือสิ่งที่หลินเมิ้งหยาต้องการ คนฉลาดและคนบ้ามีเพียงเส้นบางๆ กั้นอยู่เท่านั้น
“ไม่ ! ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบที่เจ้าพูด ! ไม่ใช่ ! ข้าทำเพื่อท่านอ๋อง ทำเพื่อต้าจิ้น”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นคนฉลาดและลงมืออย่างโหดเหี้ยม ทว่าสิ่งเดียวที่เป็นข้อด้อยของเขาก็คือเขาไม่รู้จักคำว่าแพ้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาอยากฆ่าหลินเมิ้งหยา เขาปฏิเสธความคิดเห็นของนาง เขาจะทำให้นางพ่ายแพ้ จากนั้นก็ฆ่านางเสีย!
ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยวาจากระตุ้นเขาไม่หยุด นางทำให้สติของป๋ายหลี่อู๋เฉินหลุดลอย มือที่กำมีดเอาไว้ค่อยๆ ออกห่างจากคอยาวระหงของนาง
หลินเมิ้งหยาอาศัยจังหวะนี้ดึงปิ่นบนศีรษะออก นางคิดจะแทงป๋ายหลี่อู๋เฉินแล้วหนีออกไป
ทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าแววตาโหดเหี้ยม มีดในมือพุ่งไปที่คอของหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยารู้ดีถึงความคมของใบมีด อาศัยไหวพริบที่ค่อนข้างว่องไวก้มศีรษะลง ปิ่นปักผมสีเงินแวววาววาดแทงเข้าไปทางด้านขวา
ขณะเดียวกัน เสียงแผดร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาดึกสงัด
“พระชายา!”
หลงเทียนอวี้อาศัยจังหวะนี้เข้าไปโอบตัวหลินเมิ้งหยาเอาไว้
รั้งร่างบางที่กำลังตื่นตระหนกเข้าหาอ้อมกอด เขาเพิ่งเห็นว่าใบหน้านวลของนางกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
“ได้รับบาดเจ็บที่ใด? ข้าดูหน่อย!”
รีบก้มๆ เงยๆ มองหาอาการบาดเจ็บของหลินเมิ้งหยา ทว่าหลินเมิ้งหยากลับสบตาเขาแล้วส่ายหน้า นางมั่นใจว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
เสียงแผดร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากป๋ายหลี่อู๋เฉินต่างหาก ป๋ายหลี่อู๋เฉินที่เคยจับตัวหลินเมิ้งหยาเอาไว้ทรุดตัวลงไปกองกับพื้น
ปิ่นปักผมสีเงินซึ่งถูกชโลมไปด้วยโลหิตสีแดงสดปักอยู่ในดวงตาข้างขวาของป๋ายหลี่อู๋เฉิน หยดเลือดสีแดงรินไหลลงพื้นหญ้า
“พวกเจ้าเอาตัวเขาไป เขาจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่นั่นขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”
แม้จะอยากหั่นร่างป๋ายหลี่อู่เฉินเป็นชิ้นๆ ทว่าความตายของพวกจางเหลียงแลกมาซึ่งชีวิตของป๋ายหลี่อู๋เฉิน
ทั้งสองรีบถวายคำนับ ก่อนจะเข้าไปพยุงร่างของป๋ายหลี่อู๋เฉินออกจากสวนหย่อมไปทางประตูเยว่เหมิน
แม้จต้องสูญเสียดวงตาไปหนึ่งข้าง ทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินสามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
เพียงหลินเมิ้งหยาวางมือลงบนแขนของหลงเทียนอวี้ ความเปียกชื้นที่สัมผัสได้ทำให้หลินเมิ้งหยาตื่นตระหนก
รีบดึงแขนเขาเข้ามาตรวจดูอาการ ร่องรอยบาดแผลปรากฏต่อสายตา
“แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรหรอก หลินขุย เจ้าจงนำศพพวกเขาไปฝังให้ดี ถึงอย่างไรพวกเขาก็เปรียบเสมือนพี่น้องของเจ้า”
หลงเทียนอวี้รีบออกคำสั่งเรื่องจัดงานศพ ค่ำคืนนี้หัวใจของทุกคนราวกับถูกหินก้อนใหญ่วางทับเอาไว้
หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าพวกเขารู้สึกเช่นไรตอนที่ต้องเห็นพวกจางเหลียงตายต่อหน้าทีละคน แต่นางรับรู้ได้ว่าการที่ต้องเห็นพี่น้องตายต่อหน้าทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้งเพียงใด
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลินขุยพยักหน้า ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปออกคำสั่ง ทุกคนก็รีบเคลื่อนย้ายศพเข้าไปในคุกใต้ดิน
มองดูพวกเขาที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเคลื่อนย้ายศพ บรรยากาศในเวลานี้เงียบสงบและหนักอึ้ง ความรู้สึกผิดเล็กน้อยแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจของหลินเมิ้งหยา
ป๋ายหลี่อู๋เฉินคิดว่าการปรากฏตัวของนางทำให้แผนการถูกทำลาย
หากนางไม่ปรากฏตัวขึ้นมาหรือตายไปตั้งแต่ตอนอยู่ในเกี้ยว คนพวกนี้คงไม่ต้องมาตายอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ใช่หรือไม่? นับตั้งแต่วันที่นางเข้ามาอยู่ในจวนอวี้ หลงเทียนอวี้ต้องพบกับอันตรายมากมาย
หรือมันจะเป็นอย่างที่ป๋ายหลี่อู๋เฉินพูด ทุกสิ่งทุกอย่างผิดเพี้ยนไปเพราะนาง?
“อย่าคิดมาก นับตั้งแต่วันที่ข้าเกิดในราชวงศ์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
เสียงทุ้มต่ำทว่าอบอุ่นดังขึ้นข้างหู ครู่ต่อมาเขาก็พาหลินเมิ้งหยาเดินหลบมาที่มุมหนึ่ง
ผินหน้าไปมองใบหน้าด้านข้างของหลงเทียนอวี้ ใช่แล้ว ทำไมนางคิดเช่นนี้ได้นะ? อันที่จริงเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะหลงเทียนอวี้เกิดในฐานะองค์ชาย
หลงเทียนอวี้หาใช่คนทะเยอะทะยาน แม้เขาจะมีอำนาจมากมาย แต่เขาต่อสู้เพื่อปกป้องคนของตนเอง
แม้นางจะไม่ปรากฏตัวออกมา สักวันหนึ่งหลงเทียนอวี้กับไท่จื่อก็ต้องต่อสู้กันอยู่ดี เพียงแค่ไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของนางจะสร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้
“ขอบพระทัยเพคะ”
แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลงเทียนอวี้จึงอ่านใจนางออก
แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ส่งเสียงขอบคุณเบาๆ ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือป๋ายหลี่อู๋เฉิน พวกเขาล้วนมีชะตาชีวิตของตนเองทั้งสิ้น
แต่เพราะการปรากฏตัวของนาง บางทีเรื่องราวอาจเปลี่ยนไปเร็วยิ่งขึ้นหรือช้าลงกว่าเดิม แต่หากดูจากอุปนิสัยของหลงเทียนอวี้แล้ว เขาไม่มีทางเก็บคนที่พยายามจะควบคุมเขาอย่างป๋ายหลี่อู๋เฉินเอาไว้อย่างแน่นอน
เหตุร้ายในคราวนี้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงกลางดึก
แม้ภูเขาปลอมลูกนี้จะอยู่ในสวนดอกไม้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังลับตาผู้คน
หลินเมิ้งหยาเดาว่าเรือนที่อยู่ถัดจากจวนอวี้จะต้องไม่มีผู้อาศัยอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นการที่มีคนเข้าคนออกและขุดเจาะห้องหินขึ้นมาจะต้องดึงดูดความสนใจจากชาวบ้านไม่น้อย
หรือมีอีกกรณีก็คือคนที่อยู่เรือนถัดไปจากจวนอวี้จะต้องเป็นคนของหลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน
ทว่าพื้นที่ในคุกใต้ดินกว้างใหญ่ไม่แพ้พื้นที่ของจวนอวี้ เช่นนั้นการก่อสร้างต้องใช้เงินมหาศาลขนาดไหนกันนะ?
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองหลงเทียนอวี้สองสามครั้ง
ที่แท้เขาก็เป็นเศรษฐีตัวจริง!
แม้หลังจวนจะเอะอะโวยวาย แต่ด้านหน้าจวนกลับเงียบสงบ
หลินเมิ้งหยาเดินตามหลังหลงเทียนอวี้กลับตำหนักหลิวซิน เพียงผ่านประตูสวนเข้ามา คนสนิททั้งหกปรี่เข้ามาห้อมล้อมนางเอาไว้
“ดึกดื่นปานนี้เจ้าหายไปที่ไหนมา? เจ้าเด็กน้อย เจ้าไม่รู้จักวิธีส่งคนมาแจ้งข่าวอย่างนั้นหรือ? หรือเจ้าไม่รู้ว่าพวกเราเป็นห่วง!”
ชิงหูยังคงมีปากกรรไกรเหมือนเคย เขายื่นมือเข้ามาดีดหน้าผากหลินเมิ้งหยา ก่อนจะได้กลิ่นเลือดจางๆ จากตัวนาง
“เจ้าเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บหรือ? ป๋ายจีรีบไปเอายามาเร็ว ป๋ายซ่าวไปเอาผ้าสะอาดกับน้ำอุ่นมา หลงเทียนอวี้เคยรับปากข้าแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องได้รับบาดเจ็บอีก หากนางได้รับบาดเจ็บ ข้าจะกรีดเลือดออกจากกายเจ้า”
ทุกคนล้วนกำลังตื่นตระหนก หลินเมิ้งหยาที่ถูกห้อมล้อมเอาไว้ไม่มีแม้กระทั่งเวลาอธิบาย แต่เมื่อพวกสาวใช้ปรี่เข้ามาจะสำรวจบาดแผลบนร่างของนาง นางจึงได้มีโอกาสพูดว่าหลงเทียนอวี้คือฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บ
รีบถือยาทำแผลเข้าไปในตำหนัก มองดูหลงเทียนอวี้ที่กำลังจะพันแผล
“หม่อมฉันทำเองดีกว่าเพคะ ป๋ายซ่าว ไปเอาผ้ากับน้ำอุ่นมา”
มือเล็กนุ่มนิ่มเอื้อมไปคว้ามือของเขาเอาไว้
หลงเทียนอวี้เงยหน้า ก่อนจะได้เห็นหลินเมิ้งหยา
ชิงหูหรี่ตาลงขณะมองมาทางเขา ขณะที่กำลังจะสบถใส่อีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายคนที่หลินเมิ้งหยาเป็นห่วงที่สุดก็คือเขา
ค่อยๆ ล้างบาดแผลให้สะอาด จากนั้นใส่ยา ใช้ผ้าสะอาดพันบาดแผลให้กับหลงเทียนอวี้ การทำแผลสำหรับหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
คราวนี้เพราะหลงเทียนอวี้ปกป้องนาง ขาจึงได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นนางรู้ว่ามีดเล่มนั้นจะต้องแทงลงบนแผ่นหลังของตนเองอย่างแน่นอน
หากมิใช่เพราะหลงเทียนอวี้ใช้แขนป้องกันเอาไว้แล้วล่ะก็ ป่านนี้นางคงสิ้นลมหายใจไปแล้ว
“ขอบพระทัยที่ช่วยชีวิตหม่อมฉันเอาไว้อีกครั้งเพคะ”
ท่ามกลางแสงเทียนวูบไหว หลินเมิ้งหยาก้มหน้าลงพันแผลให้กับเขา ก่อนจะส่งเสียงเบา
แม้ผมเผ้าของนางจะยุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ ทว่าในสายตาของหลงเทียนอวี้ นางกลับน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
ก็เหมือนกับนางที่เลี้ยงสัตว์ทั้งสองเอาไว้ แม้พวกมันจะมีเขี้ยวแหลมคมและกรงเล็บที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อลองได้สัมผัสกลับทำให้รู้สึกชื่นชอบ
“เจ้าเป็นชายาของข้า การปกป้องเจ้าเป็นเรื่องที่ควรทำ”
กล่าวเสียงทุ้มต่ำที่ทำให้ใครต่อใครต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้ม หลินเมิ้งหยารู้สึกราวกับมีประจุไฟฟ้าแล่นผ่านร่าง แม้แต่แขนขาก็เริ่มอ่อนแรง
ลอบตำหนิตัวเองในใจที่กลายเป็นคนปวกเปียก เหตุใดนางจึงไม่สังเกตมาก่อนว่าตนเองเป็นคนพ่ายแพ้ให้กับน้ำเสียงทรงเสน่ห์เช่นนี้
“เอาล่ะ เอาล่ะ เขาช่วยเจ้าแค่ครั้งเดียวไม่ใช่หรือไง? แถมยังเป็นลูกน้องเขาที่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บอีก เจ้ารีบไปนอนเถิด ป๋ายจื่อรีบพาเจ้านายของเจ้าไป อย่าลืมเอายาให้นางกินด้วย อีกอย่าง คืนนี้ส่งเจ้าสัตว์เลี้ยงทั้งสองไปนอนที่ห้องของนาง ช่วงนี้พวกมันชอบเข้าไปอาละวาดในสวนดอกไม้จนเละเทะ”
ชิงหูเบะปากพร้อมออกคำสั่งอย่างไร้เหตุผล ท่าทางจู้จี้จุกจิกของเขาอยู่ในระดับสูงกว่าซ่างกวงฉิงหลายเท่าตัว