“นายช่วยซุนเหมิงเหมิง นี่คือคุณูปการ แถมด้วยบุญกุศลไม่น้อย จับรางวัลหนึ่งครั้งได้ แตหลังจากนั้นนายส่งภาพเหมือนของคนขายเด็กให้ลวี่เหลียง คดียังไม่จบ ต่อไปยังมีเรื่องอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาอีก ถ้าคนขายเด็กพวกนั้นถูกจับได้ ถ้าช่วยเด็กออกมาได้ บุญกุศลเหล่านี้จะรวมเข้าไปในเรื่องครั้งนี้ด้วย แต่ว่าถ้านายเลือกจับรางวัล นั่นหมายความว่านายยอมรับว่าเรื่องครั้งนี้จบแล้วเอง บุญกุศลจากนี้จะไม่เกี่ยวกับนายแล้ว” ระบบตอบเนิบๆ

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นพลันอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้! แต่ว่าฟางเจิ้งฟังยังไงก็รู้สึกเหมือนว่าระบบกำลังหลอก! เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้รางวัลเขา! สวัสดิการดีๆ แบบนี้มีแต่คนโง่ที่จับรางวัลตอนนี้!

ถึงจะตำหนิอยู่ในใจ แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดจะจับรางวัลแล้ว

กลับขึ้นเขามา ฟางเจิ้งยังไม่เข้าวัดก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น นั่นคือกลิ่นหอมหน่อไม้!

“เจ้าสองตัวนี้ อาตมาเสี่ยงชีวิตช่วยคน แต่พวกมันกินมื้อใหญ่?!” ฟางเจิ้งโกรธแล้ว

หมาป่าเดียวเห่า “ไร้ความยุติธรรมที่สุด! ไร้กฎหมายบ้านเมือง! เจ้าอาวาส ท่านต้องสั่งสอนพวกมัน!”

“พวกมัน? วัดเรานอกจากลิงแล้วยังมีใครอีกเหรอ?” กระรอกพลันมุดหัวออกมาจากอกเสื้อฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งชะงักงัน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากระรอกตามพวกเขาไปด้วย เพียงแต่ว่าระหว่างทางเหมือนจะทำอะไรไม่ได้…ฟางเจิ้งถาม “กระรอก ที่ผ่านมานายทำอะไรอยู่?”

“ฉันตามพวกนายไปช่วยเหมิงเหมิงไง? แต่พวกนายวิ่งเร็วขนาดนั้น ยืนบนบ่าไม่ได้เลยมุดเข้าไปหลบลม จากนั้นมันอุ่น สบาย สงบเลยหลับไป…” กระรอกพูดถึงตอนท้าย เสียงเบาลงเรื่อยๆ มือเล็กจิ้มหน้าอก ดูเขินอายอย่างชัดเจน…

ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เจ้าตัวเล็กยังมีหน้ามาเขินอาย แต่ว่ามันเหมาะจะเฝ้าวัดมากกว่า!

เข้าประตูวัด เดินไปหลังลาน เห็นลิงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ กำลังปอกหน่อไม้ ห่างไปไม่ไกลมีจอบวางอยู่ ในตะกร้ามีหน่อไม้ที่ยังไม่ปอกอีกไม่น้อย อีกด้านวางที่ปอกเสร็จแล้ว แต่หน่อไม้พวกนี้เหมือนว่าจะเสียหายนิดๆ…

ตอนนี้เองลิงปอกเสร็จอันหนึ่งแล้วหักมาชิ้นหนึ่งใส่ปาก กินอย่างสุขสบาย ฟางเจิ้งเข้าใจแล้วว่าทำไมหน่อไม้พวกนั้นถึงมารอยหัก

พอได้ยินการเคลื่อนไหว ลิงตกใจสะดุ้ง เห็นว่าพวกฟางเจิ้งมาจึงวิ่งออกไป ถาม “เจ้าอาวาส ช่วยคนแล้วเหรอ? แล้วก็ฉันเตรียมทำมื้อกลางวันให้พวกท่านด้วย ดูผลงานของฉัน!”

ฟางเจิ้งตบหัวลิง “ทำได้ไม่เลว โต๊ะพังยังไม่ได้ซ่อมเลย นายเอาจอบไปคืนเถอะ แล้วแวะยืมค้อนกับตะปูสองสามดอกที่บ้านซุนเฉียนเฉิงด้วย อืม…ช่างเถอะ หลักๆ คือตะปูพอ”

ลิงวิ่งไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ไม่เห็นเลยว่าภายในวัดข้างหลัง ข้างประตูใหญ่มีหัวโล้นอยู่ข้างบน หัวหมาป่าอยู่ข้างล่าง หัวกระรอกยื่นออกมาใต้สุด กำลังมองลิงวิ่งหายลับไปพลางแสยะปากยิ้ม

ฟางเจิ้งยิ้ม “เอาล่ะ ไอ้คนที่ไม่ได้ทำงานลงเขาไปแล้ว ตอนนี้เริ่มงานฉลอง กินได้!”

ดังนั้นสามตัวนี้จึงวิ่งไปหลังวัด นำหน่อไม้มาล้างสะอาด กินกันส่งเสียงดังกรุบๆ เข้าปากไปจะหอมมันกรุบกรอบ ยิ่งกินยิ่งอยากกิน ยิ่งกินยิ่งเสพติด…ขณะเดียวกันฟางเจิ้งโทรศัพท์หาบ้านซุนเฉียนเฉิง นัดแนะเรื่องตะปูเรียบร้อย ช่วยเขาพาลูกสาวกลับมา แค่ตะปูสองสามดอกคงไม่เกินไปหรอก?

เจ้าพวกนี้กินกันอย่างมูมปากฟินสุดๆ ถึงอย่างไรลิงก็ไม่ใช่คน ปกติคนจะขึ้นเขาต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงกว่า แต่ลิงไปกลับใช้เวลาครึ่งชั่วโมง

เจ้าพวกนี้กินกันอย่างสุขสบาย ลืมเวลาไปแล้ว ขณะกำลังกินนั้นมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา ลิงกลับมาแล้ว!

พอลิงเข้าวัดก็เห็นไอ้สารเลวสามตัวกำลังนั่งยองกินหน่อไม้ที่มันลำบากปอกครึ่งเช้าเกือบหมด! วินาทีนั้นฟางเจิ้งสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร จึงยัดหน่อไม้ในมือใส่ปากหมาป่าเดียวดาย ก่อนยืนขึ้นสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ ทำไมพวกนายสองคนถึงกินหน่อไม้ที่ลิงปอก? ไม่ได้เรื่องเลย! อมิตาพุทธ ประเสริฐๆ อา…หาว อาตมาง่วงแล้ว”

พูดจบฟางเจิ้งเดินกลับกุฏิ ปิดประตูใหญ่ ก่อนได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโมโหจากลิงดังมาทางข้างหลัง ต่อมาเห็นมันฟาดกระบองมั่วซั่วไปหมด หมาป่าเดียวดายร้องโอดครวญ กระรอกร้องจี๊ดๆ…

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!”

พูดจบฟางเจิ้งกลับขึ้นเตียง หัวถึงหมอนก็หลับไป แม้จะดูสบายๆ แต่หลังใช้อภินิหารต่อเนื่องกัน เขารู้สึกเวียนหัวมาก ยืนหยัดมานานขนาดนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น พอขึ้นเตียงจึงหลับโดยพลัน ในความขมุกขมัวเขาเหมือนฝันเห็นบางอย่าง แต่กลับไม่ชัดเจน

ยามเย็นฟางเจิ้งตื่นนอน สิ่งที่น่าตกใจคือเขาได้กลิ่นหอมข้าวผลึก! จึงวิ่งไปดูที่ห้องครัว เห็นกระรอกยืนสั่งการอยู่บนคาน หมาป่าเดียวดายใช้กรงเล็บยัดฟืนเข้าไปในเตา ลิงมองอยู่ข้างๆ เจ้าสามตัวนี้ร่วมมือกันทำอาหาร!

ฟางเจิ้งเพิ่งนึกออกว่าตอนนั้นเขาตาบอดหลายวัน จึงทำอาหารร่วมกับกระรอกและหมาป่าเดียวดาย เจ้าสองตัวนี้ชินกับขั้นตอนนานแล้ว เพียงแต่มือยังไม่คล่องเท่านั้น แต่พอมีลิงช่วยทุกอย่างจึงราบรื่น

ฟางเจิ้งยิ้ม เปิดฝาหม้อดูก็ตะลึงงัน ทำไมในหม้อใส่น้ำครึ่งหม้อ!

“ลิง ใครบอกให้นายใส่น้ำเท่านี้?” ฟางเจิ้งถามเศร้าๆ

ลิงชี้กระรอก กระรอกปิดหน้า หมุนตัวหันก้นให้ฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “เอาเถอะ วันนี้เตรียมกินโจ๊กแล้วกัน”

พูดจบฟางเจิ้งก็ไปหักหน่อไม้เหล่านั้น ฉีกผักสดที่เหลือจากเมื่อวานโยนรวมเข้าไป สรุปกินไปคำหนึ่งรสชาติก็ไม่เลว! กลิ่นหอมของผักสด ความหอมสดชื่นจากหน่อไม้ ความหวานมันของข้าวผลึกรวมเข้าด้วยกันอร่อยมาก!

จัดการมื้อเย็นเสร็จ ฟางเจิ้งเอาตะปูที่ลิงเอากลับมาเดินไปที่โต๊ะ วางขาโต๊ะตามที่เดิมแล้วเล็งตะปู ยกมือขึ้นตบเข้าไปทีหนึ่ง!

ปัง!

ตะปูจมเข้าไปในไม้ ตอกตะปูอีกสามดอกแล้วลองใช้ดูก็ใช้ได้ ถึงจะโคลงเคลงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ใช้ได้

เมื่อโจ๊กผักสดชามใหญ่ถูกยกออกมา คนกับสัตว์สามตัวกินกันอย่างมูมมาม

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันที่สองฟางเจิ้งหัวเราะ ตามมุมลานวัดมีหน่อไม้สีเขียวมรกตเพิ่มมาอีกหลายต้น มองผ่านหน้าต่างหลังมีป่าไผ่เล็กๆ! ด้วยความเร็วแบบนี้ ไม่เกินเดือนบนเขาจะมีป่าไผ่ขนาดใหญ่!

ป่าไผ่ใหญ่ขนาดนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าปกปิดไม่ได้ ไม่ถึงสองวันพวกคนงานก่อสร้างสังเกตเห็น ตามด้วยชาวบ้านตรงตีนเขารู้ ต่อมาแปดหมู่บ้านสิบลี้รู้! ช่วยไม่ได้ ต้นไผ่เติบโตทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเรื่องแปลกใหม่!

ดังนั้นแล้ว…

……………………..