“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ป่าไผ่นี่มายังไงเหรอ?” หวังโอ้วกุ้ยกำลังกินหน่อไม้ ดวงตาแทบจะเป็นจันทร์เสี้ยว หน่อไม้นี่อร่อยมาก อร่อยกว่าทุกอย่างที่เขาเคยกินมา
ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้า “มันมาจากที่ที่ควรจะมา” ช่วยไม่ได้ บางเรื่องอธิบายไม่ได้ คงต้องปั้นเรื่องไปก่อน
“เอ่อ…เจ้าเด็กนี่ใช้คำพูดอ้อมค้อมแบบนี้กับฉันเรอะ ช่างเถอะ ไม่ถามแล้ว พวกเราคุยเรื่องสำคัญดีกว่า…” หวังโอ้วกุ้ยกล่าว
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “โยม มาเพราะป่าไผ่ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ ป่าไผ่นี่สวยมาก ไม่พูดถึงหน่อไม้นะ แต่ตัวไผ่ก็มีมูลค่ามากแล้ว เทียบกับไผ่นาๆ ชนิดแล้ว ไม่มีไผ่ชนิดไหนโตเป็นประกายแวววาวแบบนี้มาก่อน เหมือนกับหยกเลย อีกอย่างที่สำคัญคือมันอร่อยมาก!” หวังโอ้วกุ้ยพูด
ฟางเจิ้งถาม “แล้ว?”
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านว่าหมู่บ้านเราบุกเบิกป่าไผ่นี่ดีไหม? ขายไผ่ หน่อไม้อะไรพวกนี้ นี่จะสร้างผลกำไรครั้งใหญ่ ไผ่โตเร็ว ตัดแล้วก็โตได้อีก…” พูดถึงตรงนี้หวังโอ้วกุ้ยเอามือถูกัน ยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ตอนนั้นภูเขานี้ถือว่าเป็นของวัดเอกดรรชนีที่ภูเขาร้างมอบให้ ตอนนี้มีประโยชน์เขาเลยมาหา ด้วยระดับความด้านของตนแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่พออยู่นิดๆ
ฟางเจิ้งยิ้มกล่าว “โยม ภูเขาเป็นของวัดเอกดรรชนี ไผ่ก็เป็นของวัดเอกดรรชนี”
หวังโอ้วกุ้ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ฟางเจิ้งเอ่ยต่อ “แต่ญาติพี่น้องเรามีบุญคุณกับอาตมา อาตมาตอบแทนญาติพี่น้องก็เป็นเรื่องสมควร แต่ว่าห้ามทำลายป่าไผ่เด็ดขาด พวกโยมทำแบบนี้จะส่งเสียงดังเกินไป ส่งผลถึงความสงบของวัด อีกอย่างตัดไผ่บนเขาไม่เหมาะสม แต่พวกโยมขุดกันได้บ้าง ไผ่นี่โตเร็วมาก อีกไม่กี่วันคงจะโตไปถึงกลางเขาตรงตาน้ำพุนั่น ที่นั่นมีพื้นที่ราบอยู่ เหล่าญาติพี่น้องไปขุดหน่อไม้หรือตัดไผ่อะไรก็เชิญ อาตมาไม่ว่าอะไร”
“แล้วพวกบนเขาล่ะ? ปล่อยไว้เยอะแบบนี้ นะ…นี่มันเสียของไปรึเปล่า” หวังโอ้วกุ้ยมองป่าไผ่สีเขียวมรกตผืนนั้นด้วยความปวดใจ
ฟางเจิ้งตอบยิ้มๆ “โยม ความโลภไม่มีวันเติมเต็ม ส่วนป่าไผ่นี่น่าจะดึงดูดญาติโยมให้มาเที่ยวชมกันไม่น้อย”
“เอ่อ…” หวังโอ้วกุ้ยอึ้ง จากนั้นยิ้ม ตบตัวเองไปทีหนึ่ง “จริงด้วย ฉันคิดเยอะไปเอง ถ้าตัดป่าไผ่นี่จะทำลายวิว มีป่าไผ่จะต้องดึงดูดญาติโยมให้มาเที่ยวกันเยอะแน่ ถึงตอนนั้นหมู่บ้านเราจะอาศัยโอกาสนี้พัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวได้ เหอะๆ…นั่นต่างหากคือธุรกิจระยะยาว แถมรักษาสภาพแวดล้อมสีเขียว”
ฟางเจิ้งยิ้มเช่นกัน ถ้าหวังโอ้วกุ้ยยืนหยัดจะตัดป่าไผ่ เขาคงจัดการเรื่องนี้ยากจริงๆ แม้นักบวชจะเน้นเรื่องอันธาตุดินน้ำลมไฟล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่าหรือตัดกรรมอะไรพวกนี้ แต่ชีวิตคนอยู่บนโลก จะให้ว่างเปล่าจริงๆ ได้อย่างไร? ข้าวของในชีวิตประจำวัน การกินดื่มหลับนอน สิ่งต่างๆ มากมายเชื่อมเข้าด้วยกัน ถ้าว่างเปล่าจริงๆ ก็คงบรรลุอรหันต์แล้ว
ส่งหวังโอ้วกุ้ยเสร็จ ฟางเจิ้งเดินไปป่าไผ่ทันที ไปตามหาแม่ต้นไผ่นั้น จากนั้นควบคุมรากไผ่แม่ให้ขยายลงเขาไป ทว่าฟางเจิ้งไม่ใช่คนที่ชอบกินคนเดียว ตอนนั้นพวกชาวบ้านไม่มองเขาเป็นคนนอก คอยดูแลอาหารที่อยู่ให้ ให้เสื้อผ้าอะไรพวกนี้ ตอนนี้เขามีของดี แน่นอนว่าต้องแบ่งปันกันบ้าง พอตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วถึงให้รากไผ่หนาวปีนขึ้นไปหลังเขา เข้าไปในภูเขาทงเทียนข้างหลัง รวมเข้าไปในเทือกเขาฉางไป๋! ขอแค่ควบคุมขอบเขตการเติบโต มันจะไม่ส่งผลถึงความสมดุลของระบบนิเวศท้องถิ่น
อีกอย่างถ้าพวกชาวบ้านอาศัยเจ้าพวกนี้ร่ำรวยได้จริงๆ นี่ถือเป็นบุญกุศล
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงออกคำสั่งให้ป่าไผ่เร่งความเร็วการเติบโตไปหลังภูเขา ทว่าต่อให้ป่าไผ่เก่งกาจกว่านี้ก็ยังไม่ใช่เทพ ความเร็วในการเติบโตมีขีดจำกัด วัดตามความเร็วการเติบโตในตอนนี้แล้ว สองสามวันจะไปถึงกลางภูเขา ถ้าจะให้รากไปถึงภูเขาทงเทียน เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน กระทั่งนานกว่านั้น
แต่ฟางเจิ้งไม่มีวิธีที่ได้ผลแล้ว ได้แต่อาศัยให้มันเติบโตไป
หวังโอ้วกุ้ยลงเขามาก็ไปหาถานจวี่กั๋วและหยางผิง รวมถึงหยางหวาเศรษฐีในหมู่บ้านตอนนี้ กลุ่มคนเข้ามาใกล้กัน ปรึกษากันว่าจะใช้ประโยชน์จากป่าไผ่สร้างความร่ำรวยขึ้นได้อย่างไร หารือไปๆ มาๆ สุดท้ายพบว่าป่าไผ่มีน้อยเกินไป ตอนนี้บุกเบิกไปก็ได้มูลค่าน้อยมาก ได้แต่รอหน่อยเท่านั้น
ทว่าข่าวที่ว่าบนภูเขาเอกดรรชนีมีป่าไผ่กลับกระจายออกไป ฟางเจิ้งรู้สึกได้ชัดเลยว่ามีคนขึ้นเขามาทุกวันเยอะขึ้น แต่บางคนก็ไม่ไหวแล้ว
กลุ่มคนงานกำลังซ่อมถนน คนสองคนขึ้นเขาไม่เป็นไร คนเยอะย่อมไม่ไหว ขืนเกิดอุบัติเหตุจะไม่มีใครรับผิดชอบไหว ดังนั้นกลุ่มคนงานจึงปิดตายเส้นทางขึ้นเขา ใครก็ขึ้นไปไม่ได้ พอฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นยังกังวลในใจนิดๆ การขจัดความกระตือรือร้นของผู้คนแบบนี้จะส่งผลถึงแสงไฟธูปของวัดตนหรือไม่ ทุกวันเขาจะวิ่งไปบนเขาแล้วมองลงไปยังหมู่บ้าน ตอนแรกยังเห็นคนอยู่ตรงตีนเขาไม่น้อย ต่อมาคนน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายไม่มีใครเลย
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อมิตาพุทธ ได้ปลากับอุ้งมือหมีพร้อมกันไม่ได้จริงๆ ซ่อมถนนก็ต้องเสียบางสิ่งไปบ้าง”
แม้ฟางเจิ้งจะรู้สึกเสียดายอยู่นิดๆ แต่กลับเงียบสงบและสบาย
วันต่อมาฟ้าใสหมื่นลี้ ฟางเจิ้งมองฟ้าสดพลางอยากจะร้องไห้ ช่วยไม่ได้ อุณหภูมิขึ้นสูง ดวงอาทิตย์ใหญ่ น้ำระเหยเร็ว ต้องเติมน้ำในนาข้าวผลึกทุกวัน ไม่อย่างนั้นข้าวผลึกจะเสีย เพื่อปากท้องของตนจึงได้แต่เป็นคนงานแบกน้ำมารด นาใหญ่ขนาดนี้กว่าจะเติมเต็มก็ผ่านช่วงเช้าไปแล้ว
พูดมากไปไม่มีประโยชน์ ไปกวาดอุโบสถ กินข้าว จากนั้นแบกถังน้ำใหญ่เตรียมลงเขาไปตักน้ำ แต่พอเปิดประตู กลับพบผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู!
“อุบาสิกา อุบาสิกา อรุณสวัสดิ์” ฟางเจิ้งตะลึงงัน ครั้งก่อนที่เปิดประตูเจอญาติโยมนั่นคือหญิงชราหลิวฟางฟางที่ควรค่าแก่การเคารพ ครั้งนี้เป็นผู้หญิงมาอีกคน!
“สวัสดีค่ะหลวงพี่ ขอโทษนะคะ ต้องรบกวนหน่อย กลุ่มคนงานปิดทางภูเขา ฉันเลยต้องแอบขึ้นมาแต่เช้า” ผู้หญิงยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มสวยมาก ฟางเจิ้งคุ้นตานิดๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก
“อมิตาพุทธ อุบาสิกาไม่ต้องเกรงใจ เชิญด้านในก่อน…” ฟางเจิ้งวางถังน้ำลง ประนมสองมือ เอียงตัวหลีกทางให้
ผู้หญิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินเข้าวัดเอกดรรชนี ฟางเจิ้งได้กลิ่นหอมโชย เขาไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อนจึงรู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็หอมมากเช่นกัน เดาว่าน่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมบางชนิด
ผู้หญิงคนนี้สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัว ข้างนอกคลุมด้วยผ้าคลุมไหล่โปร่งบางสีดำ สวมหมวกทรงปีกรอบ ออกแนวตะวันตก ทันสมัยมาก อย่างน้อยเขาก็เคยเห็นผู้หญิงมาหลายแบบ คนที่การแต่งตัวรวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะเหนือกว่าผู้หญิงคนนี้ก็มีเพียงดาราชื่อดังอย่างหลี่เสวี่ยอิง ต่อให้เป็นจิ่งเหยียนที่มีฐานะไม่ธรรมดาก็ยังด้อยกว่าเธอหลายส่วน
ฟางเจิ้งให้หมาป่าเดียวดายลงไปตักน้ำ ส่วนตนเดินตามผู้หญิงคนนี้ไปใต้ต้นโพธิ์
……………………..