บทที่ 272 ไอ้เจ้าของร้าน รีบไสหัวออกมาตายเสียดีๆ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนนครหลวงพร้อมสายฝน ทำให้บรรยากาศของทั้งเมืองเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ราวกับว่าเป็นเมืองโบราณที่ตั้งตระหง่านอย่างเรียบง่ายอยู่บนดินแดนโล่งร้างว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น

พืชพันธุ์เติบโตเขียวชอุ่มอยู่ภายนอกนครหลวง สองฝั่งของถนนสายหลักเต็มไปด้วยสีเขียว ดอกไม้ชูช่อปล่อยละอองเกสรและกลิ่นหอมล้อไปตามลม

บนถนนสายหลักเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินทางมาจากทุกมุมของอาณาจักรวายุแผ่ว พวกเขาต่างมุงหน้ามายังนครหลวงเพราะที่นี่เป็นทั้งศูนย์กลางการค้า การเมืองและวัฒนธรรม

ห่างไกลไปในท้องฟ้า มีจุดดำจุดหนึ่งที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันเข้ามาใกล้ จุดดำที่ว่าเหมือนเป็นมวลสีดำสนิทที่มุ่งหน้าไปยังนครหลวงด้วยความเร็วไม่ต่างจากสายฟ้าแลบ

ไม่นานนักผู้คนที่สัญจรไปมากันขวักไขว่บนถนนสายหลักต่างก็รู้สึกถึงมวลสีดำที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาต่างรู้สึกอึดอัด เป็นความรู้สึกที่ทุกคนล้วนคุ้นเคยดีเมื่อยามที่เมฆดำลอยมาปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า

บางคนเงยหน้ามองฟ้าด้วยความสับสน และทันทีที่ได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าคืออะไร พวกเขาก็ต่างหวาดกลัวจนขาแข้งอ่อนแรง แทบจะปล่อยปัสสาวะออกมาตรงนั้น

สิ่งที่เข้ามาบดบังท้องฟ้าไม่ใช่เมฆดำครึ้มแต่อย่างใด ทว่าเป็นอสูรเวทขนาดมโหฬาร ปีกที่สยายกางของมันแทบปกคลุมไปทั่วฟ้าเบื้องบน มันแผ่ความกดดันออกมามหาศาล จนทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างล้วนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกลากออกมาจากอก

นั่นมันตัวอะไรกัน

เหล่าคนที่อยู่บนถนนสายหลักต่างพากันหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อนลงไปกองอยู่กับพื้น พวกเขารู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงและระแวดระวังไปในคราเดียวกัน คนทั้งหลายกลัวว่าตนจะไปทำอะไรให้อสูรเวทยักษ์ตัวนี้ขุ่นเคืองเข้าแล้วอาจจบชีวิตลงง่ายๆ

ตึง!

อสูรเวทขนาดยักษ์ลงมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเมืองของนครหลวงพร้อมกระแสลมรุนแรงบ้าคลั่ง เหล่าทหารที่เฝ้าประตูล้วนหวาดผวาใจแทบร่วงเพราะอสูรเวทตรงหน้านั้นใหญ่โตเหลือเชื่อ ดูไม่ต่างอะไรจากภูเขาลูกย่อมๆ แม้แต่น้อย

อสูรเวทดังกล่าวคือมังกรอุทก… ร่างทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยเกล็ดที่สะท้อนแสงเป็นประกายภายใต้ความชุ่มชื้นของสายฝน และเมื่อมันขยับปีกเล็กน้อย สายลมรุนแรงก็กำเนิดขึ้นอีกระลอก

ดวงตาที่ใหญ่เท่าตะเกียงของมันกลอกไปมาซ้ายทีขวาที ก่อนหยุดลงที่เหล่าทหารเฝ้าประตูเมือง

โฮก!

เสียงคำรามของมันดังกึกก้องจนแก้วหูแทบขาด ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรีบยกมือขึ้นปิดหูพลางพยายามฝืนตัวเองอย่างยากลำบาก

บนหลังของมังกรมีมนุษย์อยู่คนหนึ่ง ร่างของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามขนาดใหญ่จนทำให้ชายผู้นี้ดูเหมือนภูเขาเล็กๆ ไม่มีผิด แววตาของเขาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง ผมที่ตัดสั้นชี้ตรงราวกับเป็นเข็มหมุดนับไม่ถ้วน

“นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว… หึ ใครก็ตามที่เป็นคนฆ่าน้องชายข้า ข้าเซี่ยอวี่ผู้นี้จะให้มันชดใช้ให้ได้”

นัยน์ตาของเขาส่องประกายระยับราวกับสามารถมองทะลุทุกอย่างและเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนครหลวง

เขาลูบหัวมังกรอุทกเบาๆ ก่อนจะกระโดนลงมายืนตรงหน้าประตูเมือง

ยันต์แผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในกระแสลม จากนั้นก็ดูดมังกรอุทกเข้าไป

ชายวัยกลางคนท่าทางน่ายำเกรง หน้าอกเปลือยเปล่าก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในนครหลวง ทหารหนุ่มตัวสั่นเทิ้มคนหนึ่งพยายามเข้ามาปิดทางเข้าไว้ แต่กลับถูกสังหารง่ายๆ ด้วยแรงจากฝ่ามือของอีกฝ่าย

“อาณาจักรวายุแผ่ว… แล้วไหนกันเล่าร้านเล็กๆ ของฟางฟาง” หลังจากฆ่าทหารไปนายหนึ่ง สายตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารของเขาก็กวาดมองเหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองทีละคน ก่อนจะไปหยุดลงที่ทหารซึ่งค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งที่หวาดกลัวเสียจนเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น

เมื่อถูกสายตามุ่งร้ายเพ่งมองมา ทหารยามที่จิตใจสั่นไหวมาตั้งแต่แรกก็โพล่งสถานที่ตั้งของร้านปู้ฟางออกไปในที่สุด

ตอนนี้ชื่อเสียงของร้านเล็กๆ ของฟางฟางโด่งดังมากในนครหลวง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทหารเฝ้าประตูธรรมดาๆ คนหนึ่งจะรู้จักที่ตั้งของร้านนี้

เซี่ยอวี่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา เขาเอามือไพล่หลังจากนั้นก็ออกเดินไปในนครหลวง เป้าหมายแน่นอนว่าย่อมเป็นร้านเล็กๆ ของฟางฟาง

ปู้ฟางนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเอนศีรษะไปด้านหนึ่งพลางจ้องเซียวเสี่ยงหลงที่ใบหน้าแดงก่ำไม่วางตา เถ้าแก่หนุ่มกำลังควงมีดทำครัวหนักอึ้งเล่มหนึ่งอยู่ในมือ

ผลการทดสอบออกมาเรียบร้อยแล้ว และเซียวเสี่ยวหลงก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ซึ่งไม่ได้ผิดจากที่ปู้ฟางคาดไว้แต่อย่างไร เมื่อดูจากสีหน้าสบายๆ ของเซียวเสี่ยวหลงที่มาถึงร้านสายแล้ว ก็เดาได้ไม่ยากว่าที่ผ่านมาไอ้หนุ่มนี่ทำตัวเอื่อยเฉื่อยทิ้งเวลาไปเฉยๆ ขนาดไหน

เขาโยนมีดทำครัวหนักอึ้งลงไปปักอยู่บนเขียงตรงหน้าเซียวเสี่ยวหลงจนเกิดเสียงทึบๆ ดังฉึก

“เอาละ… วันนี้รวมถึงวันพรุ่งนี้ด้วยเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ต้องใช้มีดทำครัวเล่มนี้ฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลัก จะหยุดมือได้ก็ต่อเมื่อข้าพอใจแล้วเท่านั้น” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินหายไป ไม่ใส่ใจใบหน้าระทมทุกข์ของเซียวเสี่ยวหลงแม้แต่น้อย

อวี่ฝูมองเซียวเสี่ยวหลงด้วยสายตาสงสาร ครั้งหนึ่งนางเคยแอบลองยกมีดทำครัวของปู้ฟาง แต่แค่จะยกโบกยังยกแทบไม่ขึ้น แล้วนับประสาอะไรกับการจะใช้มันทำอาหารเล่า

เซียวเสี่ยวหลงทั้งเศร้าโศกและขุ่นเคือง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นหลุมที่เขาขุดขึ้นมาเอง ชายหนุ่มทำได้เพียงเพียงปาดน้ำตาแล้วกระโดดลงไปเท่านั้น

ตอนที่ปู้ฟางเดินออกไปในห้องอาหาร เจ้าอ้วนจินกับผองเพื่อนก็มาถึงพอดี ต่างส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจกันยกใหญ่ ส่วนโอวหยางเสี่ยวอี้ก็กระโดดกระเด้งมาที่ร้านอย่างสำราญใจเช่นกัน

“อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่ปู้! ไม่เจอกันนานเลยนะ” ดวงตาของเจ้าอ้วนจินเป็นประกายขณะเอ่ยทักทายกลั้วเสียงหัวเราะร่าเริง

เหล่าเพื่อนตัวอ้วนของเจ้าอ้วนจินเดินตามหลังเขาเข้าร้านมา ส่วนโอวหยางเสี่ยวอี้ก็เริ่มจำรายการอาหารตามที่ทุกคนสั่งอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็บอกต่อให้ปู้ฟางรู้

ปู้ฟางเอ่ยทักทายกลุ่มชายอ้วนก่อนจะพยักหน้ารับคำโอวหยางเสี่ยวอี้ แล้วเดินกลับเข้าครัวไปเพื่อเริ่มทำอาหาร

ไม่นานนักกลิ่นหอมของอาหารก็ลอยล่องออกมาจากครัว ขณะที่ปู้ฟางทำอาหาร อวี่ฝูก็ยืนดูอยู่ข้างๆ อย่างเรียบร้อย พยายามเรียนรู้จากชายหนุ่ม

ตรงกันข้ามกับเซียวเสี่ยวหลงที่ใบหน้าหงอยเหงาเศร้าซึม สองมือถือมีดทำครัวหนักอึ้งอย่างยากลำบาก ใบหน้าขาวๆ ของเขาตอนนี้แดงก่ำไม่ต่างจากก้นลิง ชายหนุ่มต้องดึงแรงทั้งหมดในตัวมาถือมีดทำครัวเล่มนี้ไว้เพราะมันหนักมากจริงๆ

ร้านอาหารเปิดทำการตามปกติเหมือนเช่นเคย

ชายชราร่างท้วมที่มาเมื่อวานก็โผล่มาเช่นกัน ตั้งแต่ตื่นนอนเขาก็แทบสะกดกลั้นความอยากกินของอร่อยเป็นคำรบสองไม่ไหว ชายชรารู้สึกตกหลุมรักหวานเย็นแท่งตับมังกรเหลือเกิน

อาหารของชายชราร่างท้วมถูกนำออกมาอย่างรวดเร็ว และผลึกที่ส่องแสงประกายวาววับราวกับเป็นเพชรเม็ดงามก็ทำให้เหล่าลูกค้าอุทานออกมาเพราะความสวยงามของมันอีกครั้ง

เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องไปทั่วตรอก จากนั้นร่างของชายที่ดูราวผ่านประสบการณ์ในโลกนี้มามากมายก็เดินเข้าร้านมา

จีเฉิงเสวี่ยสวมชุดคลุมยาวสีขาวธรรมดาๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

“หือ…ท่านจักรพรรดิ?” โอวหยางเสี่ยวอี้สังเกตเห็นจีเฉิงเสวี่ยเป็นคนแรก นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จักรพรรดิจีเฉิงเสวี่ยมีราชกิจมากมาย เหตุใดจึงมีเวลาปลีกตัวมากินอาหารถึงที่นี่ได้

จีเฉิงเสวี่ยลูบศีรษะเด็กหญิงพลางถอนหายใจออกมา ก่อนมองหาโต๊ะว่างแล้วลงไปนั่ง

“ข้าขอสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งเหยือกกับน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา” จีเฉิงเสวี่ยกล่าวเบาๆ ชายตรงหน้านั้นไม่เหมือนจักรพรรดิผู้เกรงขามแม้แต่น้อย เป็นเพียงลูกค้าธรรมดาที่แวะมาลิ้มรสของอร่อยเท่านั้น

หลังจากโอวหยางเสี่ยวอี้รับรายการอาหารไปแล้ว จีเฉิงเสวี่ยก็เหม่อไปพักหนึ่ง เขาค่อนข้างชอบบรรยากาศของร้านนี้และรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่อได้อยู่ที่นี่

อาณาจักรวายุแผ่วตอนนี้มีปัญหามากมายให้เขาต้องสะสาง มีเรื่องด่วนเข้ามาไม่ขาดสายทุกวัน และในเรื่องด่วนเหล่านั้นก็ไม่มีเรื่องใดเป็นข่าวดีเลย

ตอนนี้เมืองทุกเมืองต่างเดือดร้อนจากการถูกอสูรเวทโจมตี ผู้คนตกอยู่ในความโกลาหล ในบางเมืองที่ห่างไกลจากนครหลวง มีพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหลายคนเข้ายึดเมืองไว้แล้วตั้งตัวเป็นราชา

เพียงไม่กี่วันความโกลาหลปั่นป่วนก็เริ่มแพร่ไปทั่วจักรวรรดิวายุแผ่ว

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เขายังต้องมารับรู้ข่าวการตายของเหลียนฟู่อีก… จีเฉิงเสวี่ยอ่อนล้าอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นแรงกายและแรงใจ

ปู้ฟางยกเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งออกมาด้วยตัวเอง ชายหนุ่มนั่งลงตรงข้ามจีเฉิงเสวี่ย พลางรินสุราให้จักรพรรดิหนุ่มจอกหนึ่ง

“หัวหน้าขันทีเหลียน…ตายแล้ว” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังยกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ชายหนุ่มยิ้มขื่น พลางรูดนิ้วไปตามขอบจอก

ปู้ฟางอึ้งไปครู่หนึ่ง หัวหน้าขันทีเหลียนรึ ใช่ขันทีที่ชอบจีบนิ้วโป้งกับนิ้วกลางเข้าหากันหรือเปล่า ขันทีผู้นั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการมิใช่หรือ คนที่แข็งแกร่งเช่นนั้นตายแล้วจริงหรือ

ขั้นปราณของขันทีเหลียนทรงพลังมาก ชายชราทำหน้าที่ปกป้องนครหลวงมาตลอด ตอนนี้ชายผู้นี้สิ้นชีพแล้ว ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของจีเฉิงเสวี่ยและอาจรวมถึงทั้งจักรวรรดิด้วย

เขาไม่ใช่ปู้ฟางคนเดิมเหมือนตอนที่เพิ่งมาตั้งร้านอาหารเล็กๆ ในนครหลวง แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้รู้แจ้งเรื่องเขตแดนต่างๆ ทั่วทั้งทวีป แต่เมื่อได้รับแผนที่ต่างโลกมาครอง อย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องของจักรวรรดิวายุแผ่วและดินแดนทางใต้มากขึ้น

จักรวรรดิวายุแผ่วไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไรเลยสำหรับดินแดนทางใต้… ดังนั้นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการคนหนึ่งจึงจัดว่าเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งยวดของจักรวรรดิ

เขาไม่รู้จะปลอบใจจีเฉิงเสวี่ยอย่างไรดี และแม้ขันทีชราผู้นั้นจะถูกจับแก้ผ้าไปหลายครั้งตอนที่มาเยือนร้าน แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องกับอีกฝ่าย กลับรู้สึกว่าเป็นคนที่น่าสนใจด้วยซ้ำ

“ข้าเสียใจด้วย” ปู้ฟางรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขารินสุราจอกหนึ่งให้ตัวเองแล้วรินอีกจอกให้จีเฉิงเสวี่ย จากนั้นก็ยกซดหมดจอก

ตอนที่ปู้ฟางวางจอกลงบนโต๊ะนั้นเอง เสียงพื้นสั่นสะเทือนก็ดังสะท้อนมาจากตรอก ตามมาด้วยเสียงผ่าอากาศหวีดหวิวรุนแรง หอกที่ทำจากเหล็กกล้าพุ่งเข้ามาปักอยู่บนพื้นตรอก ทำให้แผ่นกระเบื้องที่เพิ่งซ่อมไปไม่นานพังลงอีกรอบ

เหล่าลูกค้าต่างกระเด้งตัวขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ

ปู้ฟางสะดุ้ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น เขาได้ยินเสียงเสียดสีจากการที่ใครคนหนึ่งดึงหอกขึ้นจากพื้นตรอก

“เถ้าแก่ของร้านนี้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ในเมื่อเจ้ากล้าฆ่าน้องชายข้า เช่นนั้นก็รีบไสหัวออกมาตายเสียดีๆ”

ทันทีที่เสียงเย็นชาดังก้องไปในอากาศ ร่างของคนผู้หนึ่งก็ก้าวอาดๆ เข้ามาในร้านพร้อมรังสีสังหารรุนแรง