พอรถม้าของเฉิงเจียวเหนียงหยุดอยู่ที่หน้าประตู ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินสิบสามที่รออยู่นานแล้วก็เดินปรี่เข้ามา

“เจ้าไปที่ใดมาอีก” ท่านชายโจวหกถาม พลางมองเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังลงจากรถ

“เจ้าป่วยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่

“เจ้าต่างหากที่ป่วย!” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงเหล่ตามองชายหนุ่ม

“หากไม่ได้ป่วย แล้วมาหาข้าเรื่องอันใด” นางถาม

หญิงผู้นี้จะพูดจาดีๆ กับเขาไม่ได้เลยหรือ!

“ก็เรื่องแต่งงานของเจ้าน่ะสิ” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างหงุดหงิด

ขณะที่พูดกันอยู่นั้นพวกนางก็เดินเข้าประตูเรือนมาแล้ว เฉิงเจียวเหนียงตรงไปยังห้องโถง ท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจวหกก็ตามมาเช่นเคย

“พี่” จินเกอร์เอ่ยพลางมองไปที่สาวใช้และปั้นฉิน ก่อนจะสะดุ้งตัวโยน “พวกพี่ร้องไห้ทำไมกัน”

สาวใช้และปั้นฉินยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเพื่อกลบเกลื่อน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” จินเกอร์ถามอย่างตกใจ

“เอาไว้ค่อยคุยกัน” สาวใช้เอ่ย “ไปดูแลนายหญิงก่อนเถิด”

“ท่านแม่ของข้าตกลงแล้ว ไม่กี่วันก็คงเดินทางไปเจียงโจว…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “ตอนนี้ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เลยใช้ข้าแทนไปก่อน… อย่างน้อยก็พอจะยื้อเวลาแต่งงานของบ้านเจ้าและตระกูลหวังได้”

“ไม่ต้องกังวลไป ท่านพ่อข้าก็ตกลงแล้วเช่นกัน” ท่านชายโจวหกเอ่ยหน้าบึ้งตึง

“ตระกูลเจ้ามีคนที่เหมาะสมด้วยหรือ” ท่านชายฉินสิบสามถามด้วยรอยยิ้ม “คงไม่ใช่เจ้าหรอกนะ”

“เป็นข้าแล้วจะทำไม” ท่านชายโจวหกกัดฟันพูด “เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือ ว่าแค่ยื้อเวลาไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”

จังหวะที่พูดอยู่หางตาก็เหลือบมองไปทางหญิงสาว

ตั้งแต่เข้ามาในเรือน นางยังไม่ได้ปริปากแม้แต่คำเดียว ยามนี้นางเอนกายพิงโต๊ะเตี้ย มิได้นั่งตัวตรงเหมือนดังก่อน

คงเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าคนสนิทคุ้นเคยถึงได้ผ่อนคลายกระมัง

หรือเป็นเพราะรู้ว่ามีคนคอยช่วยเหลือนาง เอาใจใส่นาง ถึงได้รู้สึกผ่อนคลาย…

สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา บดบังสายตาของท่านชายโจวหกที่กำลังมองเฉิงเจียวเหนียง

“ข้าเองก็หมายตาไว้แล้วหลายคนอยู่เหมือนกัน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “ตอนที่พี่สาวน้องสาวตระกูลข้ามีคนมาสู่ขอ ก็มีตัวเลือกมากมาย…”

“คนที่กล้ามาสู่ขอลูกสาวตระกูลเจ้า จะเป็นใครที่ไหนได้อีกเล่า เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเชื่อคำเจ้าเหมือนท่านแม่เจ้าหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างเย้ยหยัน

“ที่พวกเขาจะไม่ฟังคำข้าเหมือนท่านแม่ ก็เพราะว่าในสายตาของพวกเขา ข้านั้นไม่มีค่าพอ แต่สำหรับท่านแม่ ไม่ใช่เช่นนั้น” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด

“พูดให้สวยหรูไปก็ไร้ประโยชน์” เขาเอ่ย

“ข้านึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง หากข้าเลือกคนได้แล้ว ข้าจะให้แม่นางดูก่อนดีหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย

ทันใดนั้นเฉิงเจียวเหนียงก็ขยับตัวนั่งหลังตรง

“ปั้นฉิน” นางเอ่ยขึ้น

สาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านข้างหลังจากยกน้ำชาเข้ามาให้ ก็ขานรับในทันที

“ให้ปั้นฉินไปเอาของว่างมา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ของว่างแกล้มน้ำชาของเรือนไท่ผิง ป้ายชื่อร้านของเรือนไท่ผิง และเต้าหู้ไท่ผิง คือสิ่งที่ผู้คนขนานนามว่าเป็นของล้ำค่าสามสิ่งแห่งเรือนไท่ผิง

ในสายตาของคนนอก ของล้ำค่าทั้งสามสิ่งนี้มีที่มาแตกต่างกัน สิ่งหนึ่งมากจากพ่อครัวยอดฝีมือ อีกสิ่งหนึ่งมาจากนักบวชเต๋าผู้ทำเต้าหู้ และป้ายอักษรล้ำค่าจากบัณฑิต

ทว่าท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจวหกย่อมรู้ดีว่าของล้ำค่าทั้งสามสิ่งนี้ที่จริงแล้วเป็นฝีมือของคนเพียงผู้เดียว

มาเยือนที่นี่ก็หลายหนแล้ว ทุกครั้งย่อมได้ดื่มเพียงน้ำชา แต่ของว่างนั้นคราวนี้คือหนแรกที่ได้กิน

“ขอบใจแม่นางนัก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

สาวใช้ขานรับแล้วออกจากห้องไป

“ข้าเข้าใจแม่นางดี ให้ตระกูลเฉิงเลือกมาก่อน แล้วเจ้าค่อยเลือกอีกทีใช่ไหม” ท่านชายฉินสิบสามพูดต่อ

“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ที่ข้าให้พวกเขาเลือก เพราะจะข้าจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย เรื่องเล็กแค่นี้ ข้าไม่อยากจะใส่ใจ”

“เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กอย่างนั้นหรือ” ท่านชายโจวกหกคิ้วขมวดพลางเอ่ยขึ้น “เรื่องใหญ่ของชีวิตเชียวนะ”

“สำหรับพวกเจ้าอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ท่านชายโจวหกคิ้วขมวดเป็นปม เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ปั้นฉินก็ยกของว่างเข้ามา

“ของว่างของแม่นางกินแกล้มกับน้ำชาช่างเข้ากันเป็นที่สุด” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางเอื้อมมือเข้าไปหยิบ

“เอาไปใส่ห่อ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ปั้นฉินชะงักไป มือของท่านชายฉินสิบสามเองก็ค้างอยู่ที่เดิม

“เอาใส่ห่อกลับไปกินเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองทั้งสองคน “ข้ายังมีธุระอีก คงอยู่เล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าไม่ได้”

ท่านชายฉินสิบสามชักมือกลับ มองเฉิงเจียวเหนียงราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“เฉิงเจียวเหนียง ใครเล่นกับใครกัน!” ท่านโจวหกเอ่ยถลึงตา

“พวกเจ้ารู้แก่ใจดีมิใช่หรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วพูดขึ้น “พอได้แล้ว กลับไปเถิด กลับไป ข้ายังมีธุระ พวกเจ้ากลับไปเถิด”

นางพูดพลางชี้ไปที่ของว่างที่ถูกห่ออย่างดี

“ของพวกนี้พวกเจ้าเอากลับไปกินเถิด ขอบใจที่พวกเจ้ามีน้ำใจ ไปเล่นสนุกที่อื่นเถิด” นางเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจวหกมองนางอย่างตกตะลึง แล้วมองไปยังขนมของว่างที่ถูกยื่นมาให้เบื้องหน้า

‘เอาล่ะ เอาล่ะ… หยิบลูกอมไปแล้วไปเล่นเถิด…’

‘ดี ดี เด็กดี…’

ราวกับพวกเขากำลังย้อนเวลากลับไปยามเป็นเด็ก ตอนที่ผู้ใหญ่หยอกล้อเอาอกเอาใจแล้วยื่นลูกอมให้

ชั่ววินาทีนั้น พวกเขาแทบทำอะไรไม่ถูก ไฟโกรธจากความอับอายแล่นขึ้นบนกระหม่อม จนใบหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวไปหมด

บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าหญิงผู้นี้ปากร้ายนัก!

ประตูเรือนถูกปิดดังปัง

“เจ้าอยากจะแต่งกับใครก็แต่งไปเถิด!” ท่านชายโจวหกตะโกน

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ

“นางอยากแต่งกับผู้ใดก็เป็นเรื่องของนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เขาเอ่ย “พวกเราต่างหากที่เจ้ากี้เจ้าการให้นางทำเช่นนั้นเช่นนี้ หาใช่ความต้องการของนางไม่”

ท่านชายโจวหกเหลียวมามองเขา พอเห็นเขาถือกล่องขนมในมือก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

“บอกให้เจ้าเอากลับ เจ้าก็เอากลับมาจริงหรือนี่!” เขาเอ่ยพลางยื่นมือออกไปแย่ง

ท่านชายฉินสิบสามรีบเบี่ยงตัวหลบในทันที

“ก็บอกให้เจ้าหยิบแล้ว เจ้าไม่หยิบมาเอง อย่ามาแย่งของข้า” เขาเอ่ย

ท่านชายโจวกหกยกหมัดขึ้นชกเขา

“ถูกคนปั่นหัวเล่นเช่นนี้เจ้ายังสนุกอยู่อีกหรือ” เขาตะโกนใส่

ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม ถือกล่องขนมอย่างทะนุถนอม

“อันที่จริง พวกเราไม่ได้ถูกนางปั่นหัวหรอก พวกเราต่างหากที่ปั่นหัวตัวเอง” เขาเอ่ยพลางหันหลังเดินออกไป “นางบอกว่าตอนที่เพิ่งจะหายป่วย คนเราจะแปลกไปบ้าง ตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้ว ข้าคงกลับมาเป็นปกติแล้วล่ะ”

“พวกเราไม่ได้ทำเพื่อนางหรอกหรือ…” ท่านชายโจวหกกล่าว

“สำหรับเจ้า ข้าไม่รู้หรอกนะ” ท่านชายฉินสิบสามหยุดฝ่าเท้าแล้วหันกลับมาพูด “แต่สำหรับข้านั้นไม่ใช่ ข้าได้รู้จักนาง ได้ผลประโยชน์จากนาง ก็รู้สึกว่าสนิทสนมรู้ใจนาง คิดว่านางเป็นสหายของข้า ก็เลยคิดว่าควรช่วยเหลือนาง แล้วก็คิดว่าตัวเองช่วยนางได้ด้วย พอได้ช่วยเหลือนางก็จะได้รับคำขอบคุณ ได้รับความชอบจากนาง ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำไม่ใช่เพื่อช่วยนาง แต่เป็นเพื่อตัวข้าเองต่างหาก ทำเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของตน แต่ก่อนข้าเคยหัวเราะเยาะคนที่มักจะทำอะไรเพื่อตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่า พอเป็นคนปกติแล้ว กลับทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้เสียเอง”

ท่านชายโจวหกหยุดเดินแล้วมองมาที่เขา

ท่านชายฉินสิบสามพ่นลมหายใจออกมา กล่องขนมในมือสั่นเทาก่อนจะถูกจับให้มั่นอีกครั้ง

“เอาล่ะ แม้จะยอมรับความจริงแล้วว่านางไม่ได้มองข้าเป็นอื่น แต่นั่นก็ไม่ได้โหดร้ายสักเท่าไหร่ แต่หากจะให้นางเห็นข้าเหมือนเด็กน้อยที่คอยตามงอแงก็คงไม่ดีนัก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “ไปก่อนล่ะ”

ชายหนุ่มเดินอย่างเชื่องช้าก่อนจะขึ้นรถม้าไปจริงอย่างที่ว่า ม่านรถถูกปลดลง รถม้าควบออกไปไกล ทว่าท่านชายโจวหกกลับยังยืนมองอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

เขาหันหลังกลับไปมองประตูเรือนที่ปิดสนิท จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาผิวปาก ม้าที่กำลังแทะต้นหลิวอยู่ไม่ไกลก็ควบเข้ามาในทันที

ไปล่ะ

ท่านชายโจวหกควบขึ้นม้าก่อนจะสะบัดแส้ม้ามุ่งหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

เฉิงเจียวเหนียงยังคงนิ่งเงียบอยู่ในห้องโถงดังเดิม สาวใช้และปั้นฉินเก็บถ้วยชาอย่างระมัดระวังก่อนจะออกจากห้องไป นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ระเบียงทางเดิน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

จินเกอร์ที่รอจนแทบทนไม่ไหวรีบปรี่เข้ามากระซิบถาม

หากไม่พูดก็คงไม่เป็นอะไร แต่พอพูดถึงปั้นฉินก็น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“พวกท่านชายถูกจับไปแล้ว” นางเอ่ย

จินเกอร์ผงะ

“เพราะเหตุใดหรือ” เขาถามเสียงดัง

“เพราะพวกเขาหนีทหาร” สาวใช้เอ่ย “ตอนนี้ถูกขังอยู่ที่คุกหลวง”

สำหรับจินเกอร์แล้วคุกหลวงคือสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว คราวก่อนที่สวีเม่าซิวและพวกพ้องออกมาจากคุก บาดแผลบนเนื้อตัวทำเขาแทบตาค้าง ทั้งที่ท่านชายฉินสิบสามหาเส้นสายให้คนคอยดูแลแล้วก็ตาม

“เช่นนั้นเมื่อครู่ตอนที่ท่านชายฉินยังอยู่ นางหญิงก็ลืมขอให้เขาช่วยน่ะสิ!” จินเกอร์นึกอะไรขึ้นได้ก็รีบพูดออกมาในทันที

สาวใช้และปั้นฉินหันมาสบตากัน

ตลอดทางเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้เอ่ยคำใด ตอนไปถึงเรือนนางฟ้าก็ถามผู้ดูแลร้านอู๋เพียงแค่ว่าสวีเม่าซิวถูกจับตัวไปอย่างไร

“อันที่จริงเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่เลย” สาวใช้เอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างฆ่าแกงคนหรือเผาบ้านเผาเรือน อีกอย่างเรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ใช่ว่าจะเพิ่งหนีมาเสียหน่อย พวกท่านชายก็ไม่ใช่แม่ทัพตำแหน่งใหญ่โต เป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อย มีเรื่องขัดแย้งนิดหน่อยถึงได้หนีมา คนที่ศาลาว่าการก็คร้านจะสนใจ พอถึงตอนนั้นก็ค่อยหาคนไปเจรจาให้สักหน่อย หาเส้นสายสักเล็กน้อย ก็คงไม่มีอะไร”

ปั้นฉินและจินเกอร์มองไปที่นาง

“จริงหรือ” พวกเขาถามเป็นเสียงเดียวกัน สายตาแฝงไปด้วยความคาดหวัง

สาวใช้พยักหน้า

“จริงสิ” นางเอ่ย “เรื่องเล็กแค่นี้ พึ่งบารมีท่านชายโจวหกออกหน้าเพียงคนเดียวก็สำเร็จแล้ว เรื่องนี้เทียบไม่ได้เลยกับเรื่องของราชเลขาหลิว…”

นางไม่ทันได้พูดจบ เสียงของเฉิงเจียวเหนียงก็ลอยออกมาจากในห้อง

“ดูสิ นายหญิงคงคิดหาวิธีรับมือได้แล้วละ” สาวใช้เอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าห้องไป

ปั้นฉินและจินเกอร์ก็รีบเกาะริมประตูในทันที

“เจ้าช่วยออกไปข้างนอกที” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “ให้ไปหาท่านลุงเลย หรือว่าไปคุยกับท่านชายโจวหกก่อนเจ้าคะ”

“ข้าจะไปหาท่านลุง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ส่วนเจ้าช่วยไปดูทีว่านายใหญ่ของเจ้ากลับมาหรือยัง”

ยังต้องไปพบนายใหญ่จางอีกหรือ

สาวใช้นิ่งอึ้งตาเบิกโพรง ก่อนจะคุกเข่าหยัดตัวขึ้น

ต้องไปขอให้นายใหญ่จางช่วยเชียวหรือ

แต่ก่อนแม้จะพบเรื่องยากลำบากเพียงใด ก็ไม่เคยออกปากให้ไปหานายใหญ่จางเลยสักครั้ง แต่ยามนี้เพียงแค่เรื่องเล็กอย่างหนีทหาร ถึงกับต้องขอความช่วยเหลือจากนายใหญ่จางเลยหรือ

เช่นนั้นเรื่องนี้ คงมิได้ง่ายดายอย่างที่คิดกระมัง