เสียงโครมครามดังลั่นออกมาจากภายในเรือนหลังหนึ่ง
“นายหญิง นายหญิง! หยุดตีเถิดเจ้าค่ะ! หยุดตีเถิดเจ้าค่ะ!”
ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายหนุ่ม
เหล่าสาวใช้ในเรือนคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้จนไม่รู้สึกแปลกตาไปเสียแล้ว ทุกคนต่างพากันง่วนอยู่กับงานของตัวเอง
“บอกมา เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่” มือข้างหนึ่งของแม่นางต่งชี้นิ้วไปที่เซี่ยงชี ส่วนอีกข้างหนึ่งก็คว้าแจกันขึ้นมา นางแผดเสียงดังลั่น ดวงตาแดงก่ำ
ภายในห้องโกลาหลวุ่นวาย กระถางดอกไม้กระจัดกระจายเต็มพื้น ทั้งยังมีเศษแจกันเครื่องปั้นที่แหลกละเอียด
“จะเป็นข้าได้อย่างไรเล่า! หากเป็นฝีมือข้า ข้าจะรีบกลับมาบอกเจ้าเพื่อเหตุใดกัน ไม่ปล่อยให้พวกเขาตายไปเสียเล่า!” เซี่ยงชีตะโกน สีหน้าตัดพ้อกล้ำกลืน “อีกอย่าง พวกเขาคือพี่น้องของข้า ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร!”
แม่นางต่งหัวเราะเสียงเยือกเย็น
“เจ้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรหรือ เจ้าอยากทำเรื่องเช่นนี้มาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่” นางเอ่ย “หากพี่ใหญ่สวีตายไปสักคน เจ้าคงนอนตายหลับแล้วสินะ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตระกูลข้าไล่ออกจากเรือน ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะเซี่ยงชี แม้จะไม่มีพี่ใหญ่สวี หากข้าผู้นี้อยากจะไล่เจ้าออกจากเรือน ข้าจะเฉดหัวเจ้าออกไปเมื่อใดก็ได้!”
คำพูดเช่นนี้คงไม่มีชายหนุ่มผู้ใดยอมรับได้
“ข้าก็จะบอกอะไรให้เจ้าฟังเช่นกัน แม้เจ้าจะไล่ข้าออกจากเรือน พี่ใหญ่สวีก็ไม่ชายตามองเจ้าอยู่ดี!” เซี่ยงชีตะโกนหน้าเขียว
มีเสียงเพล้งดังขึ้น แจกันในมือของแม่นางต่งถูกเขวี้ยงออกไป
เซี่ยงชีเบี่ยงตัวหลบ แจกันกระเด็นออกไปข้างนอกห้อง แตกกระจายลงบนพื้น
“ไปศาลาว่าการกับข้า! ไปศาลาว่าการกับข้า! ข้าจะไปถาม ว่าเป็นฝีมือเจ้าจริงหรือไม่! หากเจ้าเป็นคนทำจริง! ข้าจะไม่ชีวิตเจ้าแน่!” แม่นางต่งเอ่ยทั้งน้ำตา พลางยื่นมืออกไปลากเซี่ยงชี
แน่นอนว่าเซี่ยงชีต้องไม่ยอมไปแน่
“เหลวไหลอะไรของเจ้า! ทำเช่นนี้มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ” เขาตะโกนอย่างเดือดดาล
สองสามีภรรยายุดยื้อกันไปมาอยู่ในห้องโถง เสียงร้องไห้ดังระงม
“นี่มันใส่ความกันชัดๆ! ที่พวกเขามาถึงเมืองหลวง แต่ไม่ยอมมาหาพวกเรา ก็เป็นความผิดของข้า พวกเขามาถึงเมืองหลวงแล้วโดนจับ ก็เป็นความผิดของข้า! เป็นความผิดของข้าทั้งหมด! เช่นนี้ไม่เรียกกลั่นแกล้งกันอีกหรือ”
“โหวกเหวกโวยวายอะไรกัน!”
เสียงของผู้เฒ่าดังมาจากด้านนอก สองสามีภรรยาที่กำลังโต้เถียงกันหันออกไปมองข้างนอก ก็เห็นชายชราในชุดสีน้ำตาลกำลังยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ที่หน้าประตู
“ท่านพ่อ” แม่นางต่งผลักเซี่ยงชีออกให้พ้นทาง รีบวิ่งไปคว้าแขนของผู้เฒ่าแล้วร้องไห้ “ท่านพ่อ พวกพี่ใหญ่สวีถูกจับเจ้าค่ะ!”
เสี่ยงชีก็เดินตามมาเช่นกัน
“ท่านพ่อ” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าเองก็เพิ่งรู้ข่าว พวกพี่เจียงหลินถูกจับไปแล้ว ข้อหาหนีทหาร”
“ผู้ใดกันที่รู้ว่าพวกเขาคือทหารที่หนีมา ศาลาว่าการจะทำอันใดได้ ผู้ใดรู้กันว่าพวกเขาเป็นใคร พวกขุนนางเฒ่าไม่มีงานทำหรือไร ถึงได้ไปจับพวกเขา! สู้ไปตามจับพวกโจรสลัดให้ได้ค่าหัวไม่ดีกว่าหรือไร!” แม่นางต่งร่ำไห้ แล้วชี้นิ้วไปที่เขา “เป็นเจ้า ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ที่ไปยุยงให้ทางการไปจับพวกเขา! นอกจากเจ้าแล้วจะมีผู้ใดรู้กันว่าพี่ใหญ่สวีคือใคร!”
“ข้าเก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ! อยากจะให้ทางการไปจับผู้ใดก็ได้อย่างนั้นหรือ อีกอย่างหากข้าไปฟ้องแล้วจะได้สิ่งใดตอบแทนหรือ!” เซี่ยงชีเอ่ยเสียงโมโห
“ได้สิ่งใดตอบแทนอย่างนั้นหรือ” แม่นางต่งโถมตัวเข้าไปหาเขา “เพราะมีพี่ใหญ่สวีข้าถึงได้ช่วยเหลือเจ้า! แต่หากมีพี่ใหญ่สวีอยู่ ก็ไม่มีต้องมีเจ้าอยู่ก็ได้”
“ไม่ต้องรอให้พี่ใหญ่สวีอยู่หรอก ตอนนี้ข้าจะเป็นคนไปเอง!” เซี่ยงชีตะโกนแล้วผลักแม่นางต่ง
“หุบปาก!” นายใหญ่ต่งคำราม ยกมือชี้นิ้วไปทางแม่นางต่ง เขาโกรธจนหน้าเขียว “เหลวไหลอะไรของเจ้า พูดจากเช่นนี้ได้อย่างไร!”
แม่นางต่งกุมหน้าก่อนจะหันหลังกลับแล้วสะอื้น ในแววตาตาของเซี่ยงชีฉายแววความดีใจ ทว่าใบหน้ายังคงเคร่งขรึม
“เจ้าพูดจาเช่นนี้กับท่านชายชีได้อย่างไร เขาเป็นสามีของเจ้า เป็นพ่อของลูกเจ้าทั้งสองคน!” นายใหญ่ต่งตะโกนออกมา
“เขาคือเขยที่แต่งเข้ามาในตระกูลต่งของเราอย่างถูกต้อง! ไม่มีหลักฐานเช่นนี้ เจ้าจะมากล่าวหากันลอยๆ ได้อย่างไร!”
แม่นางต่งกุมหน้าร้องไห้ เซี่ยงชีก้มหน้า
“แต่หากมีหลักฐานล่ะก็ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!”
ผู้เฒ่าหันไปพูดกับเซี่ยงชี
เซี่ยงชีหัวใจหล่นวูบ เงยหน้าขึ้นมองชายชรา
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าข้า…” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
“เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนัก” ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น “พวกเขาอยู่เมืองหลวงมาตั้งนานไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร เหตุใดพอเจอพวกเราถึงได้ถูกจับได้เล่า”
จังหวะที่พูดอยู่สายตาของเขาก็มองไปทางเซี่ยงชี
“ชายชี คนเราแต่ก่อนมีเรื่องบาดหมางใจกัน จะให้เลิกแล้วต่อกันก็คงมิใช่เรื่องง่ายใช่ไหม” เขาเอ่ย
เซี่ยงชีหัวเราะ
“ในเมื่อท่านพ่อพูดขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน” เขาเอ่ย
ผู้เฒ่ามองเขาแววตาสั่นไหว
“ท่านพ่อ หากพี่ใหญ่สวีเป็นอะไรไป ข้าเองก็จะไม่มีชีวิตอยู่แล้วเหมือนกัน!” แม่นางต่งเอ่ยทั้งน้ำตา
“หุบปาก!” ชายชราหันไปตะคอกนาง “ใครจะปล่อยให้พวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาเล่า”
พูดจบก็หันหลังกลับ
“พวกเราไปที่ศาลาว่าการหยาเหมินกัน ไปถามให้รู้ความ!”
แม่นางต่งตอบรับในทันที ก่อนจะรีบร้อนเดินตามชายชราไป
ไปศาลาว่าการหยาเหมิน…
สีหน้าของเซี่ยงชีดูลุกลี้ลุกลนไม่น้อย ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงทำได้เพียงกัดฟันปฏิเสธไป ถึงอย่างไรก็เป็นจดหมายสนเท่ห์ที่ไม่ได้ลงชื่อ แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่มีหลักฐาน
จากนั้นเขาจึงได้ก้าวเท้าตามออกไป
“หลิวขุย!”
ณ สำนักหน่วยลาดตระเวน ภายในรอบรั้วของศาลาว่าการหยาเหมินแห่งเมืองจิงเจ้า จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังกึงก้องจนคนภายในสำนักต่างเหลียวมอง ก็เห็นว่าเป็นใต้เท้าประจำศาลาว่าการเมืองจิงเจ้ากำลังย่างเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ใต้เท้าแห่งศาลาว่าการมาเยี่ยมเยือนแม่ทัพเช่นข้าได้อย่างไร” หลิวขุยยกเท้าลงจากโต๊ะเตี้ย ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเกลียดคร้าน ก่อนจะคำนับด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย”
ใต้เท้าแห่งศาลาว่าการไม่รับคำนับเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
“เจ้าว่างนักหรืออย่างไร” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าให้เจ้าตรวจลาดตระเวนเมือง ใครใช้ให้เจ้าไปจับทหารหนีทัพกัน!”
แม่ทัพหลิวหัวเราะลั่น สายตาเย้ยหยัน
ดูเอาเถิด ข้าทำตามกฎเกณฑ์แท้ๆ ไม่นานก็มีคนมาคอยกะเกณฑ์เสียแล้ว!
“เจ้ามีหน้าที่จับ แต่สำนักของข้ามีหน้าที่พิจารณา” เขาเอ่ย “จากการสืบพยานหลักฐาน คนทั้งเจ็ดความผิดไม่ชัดแจ้ง กำลังรอปล่อยตัว”
แม่ทัพหลิวเดือดดาล
“ใต้เท้า! จดหมายฉบับนี้เขียนอย่างชัดเจน! แต่กลับเชื่อลมปากเลื่อนลอย!” เขาตะโกน พลางหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นโบกไปมา
ใต้เท้าประจำศาลาว่าการมองเขาแล้วหัวเราะ
“เช่นนั้นแปลว่าเจ้าไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลาว่าการอย่างนั้นหรือ” เขาถาม “แม่ทัพตัวจ้อยประจำหน่วยลาดตระเวนเช่นเจ้า กำลังเคลือบแคลงการทำงานของศาลาว่าการชั้นห้าอย่างนั้นหรือ”
ขุนนางบู๊บุ๋นนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว ยิ่งยามนี้เขาเป็นเพียงขุนนางผู้น้อย หากต้องต่อกรกับขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ตำแหน่งสูงกว่าตนหลายขั้นเช่นนี้ อย่างไรก็คงไม่มีทางชนะได้
เป็นเพราะเขาทำตามกฎเกณฑ์บ้าบอนั่นแท้ๆ !
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนดังมาจากนอกประตู
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ มีหนังสือมาจากกรมทหารแล้วขอรับ!” ขุนนางชั้นผู้น้อยตะโกนลั่น ในมือชูม้วนกระดาษแล้วรีบวิ่งเข้ามา
ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพหลิวก็ดีใจยกใหญ่ ส่วนใต้เท้าประจำศาลาว่าการกลับชะงักไป
หนังสืออะไรกัน เหตุใดถึงได้มายามนี้
คงไม่ใช่…
พอนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง สีหน้าของใต้เท้าก็เปลี่ยนไปในทันที
ด้านแม่ทัพหลิวเปิดหนังสือออก ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาในทันใด
“ท่านใต้เท้าประจำศาลาว่าการ” เขาหันหลังกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น ก่อนจะโบกสะบัดหนังสือในมือไปมา “แม่ทัพต่ำต้อยประจำหน่วยลาดตระเวนเช่นข้าไม่บังอาจโต้เถียงกับท่านหรอก แต่กรมทหารประจำหยาเหมินได้มีหนังสือกำหนดโทษออกมาแล้ว หากท่านเคลือบแคลงใจ ก็ไปร้องเรียนที่กรมทหารเถิด!”
เรื่องไม่ปกติเช่นนี้ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังเป็นแน่!
ใช่แล้ว ใช่แล้ว เบื้องหลังต้องมีคนใหญ่คนโตกำลังแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเป็นแน่
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เขาคงยั้งไม่ไหว เช่นนั้นคงต้องตามน้ำไปกับพวกเขาแล้วล่ะ
พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงก่อน เพราะเกิดศึกทางตะวันออกเฉียงเหนือ หวังปู้ถังจึงถูกปลดจากตำแหน่ง หลิวจวิ้นก็ถูกฆ่า จนบัดนี้ในราชสำนักยังคนมีคนทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือไม่หยุดหย่อน ขุนนางในราชสำนักแทบจะลงมือลงไม้ชกต่อยกันแล้ว
เขานั้นเป็นแค่ใต้เท้าประจำศาลาว่าการเมืองจิงเจ้า คงจะไม่กล้าก่อเรื่องต่อหน้าฝ่าบาทเหมือนเหล่าใต้เท้าพวกนั้นหรอก
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เรื่องภายใต้กรมทหารแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องถามไถ่อันใด” ใต้เท้าประจำศาลาว่าการรีบเอ่ยในทันใด ไม่แม้แต่จะอ่านหนังสือนั้นด้วยซ้ำ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
แม่ทัพหลิวส่งเสียงถุย
“ขุนนางบุ๋นพวกนั้น เอาจริงด้วยหรือนี่” เขาเอ่ยพลางอ่านหนังสือนั้นอีกครั้ง ใบหน้าเผยความสงสัย
“เหตุใดถึงได้ไต่สวนเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้นมากันนะ”
เขาก็แค่ลองยื่นหนังสือไปเพียงเท่านั้น ตามหลักการแล้วเรื่องเล็กอย่างค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือ แถมยังเป็นแค่ทหารจากเป่าถุนที่หนีทัพ ถึงกรมทหารจะว่างงานสักเพียงใดก็ไม่คงไม่ใส่ใจเรื่องเช่นนี้หรอก
แต่เหตุใดคราวนี้ถึงได้สนใจขึ้นมา แถมยังลงมือรวดเร็วเสียด้วย
แม่ทัพหลิวขยี้ศีรษะตัวเอง เป็นอย่างที่ว่าไว้แต่แรกจริงๆ ไม่มีผู้ใดรักษากฎเกณฑ์หรอก
ขณะเดียวกัน ณ ห้องทำงานหนึ่งในกรมทหาร ขุนนางผู้ติดตามกำลังยกน้ำชาให้แก่ขุนนางชุดแดงผู้หนึ่ง
“ใต้เท้า… จะไต่สวนทหารหนีทัพพวกนั้นจริงหรือขอรับ” ขุนนางผู้ติดตามถามเสียงแผ่วเบา
ขุนนางชุดแดงดื่มชารวดเดียวหมด
รสชาติอันล้ำลึกของชาย่างนั้นจะเผยออกมายามที่ดื่มรวดเดียวหมด ความเผ็ดร้อนแผ่ซ่านไปถึงปลายเท้า
“ข้าไม่ได้ทำเพื่อพวกเขาหรอก” เขาวางถ้วยชาลง แล้วเอื้อนเอ่ยออกมา ใบหน้าคมสันแน่วแน่ ท่าทางน่าเกรงขามสมกับยศตำแหน่งชั้นสูง “ข้าคิดว่าทหารหนีทัพพวกนี้ช่างบ้าบิ่นไปเสียหน่อย… ถึงขนาดกล้าหนีมาเมืองหลวง เห็นได้ว่าการทหารฝ่ายตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเละเทะเพียงใด! คงต้องไต่สวนกันเสียหน่อย!”
เป็นเช่นนี้นี่เอง ขุนนางผู้ติดตามเพิ่งจะเข้าใจ
“แม้หวังปู้ถังจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่ต้นตอที่แท้จริงนั้นยังคงอยู่” ขุนนางชุดแดงเอ่ยพลางหัวเราะอย่างเยือกเย็น “คนตระกูลเกา ยังคงไม่ลดละ ยังคงรออุทธรณ์ให้พิจารณาคดีอีกครั้ง รบก็แพ้ กองทัพก็ไม่ได้ความ ไม่ยอมสืบสวนให้ดี เช่นนี้แล้วยังจะแก้ตัวได้อีกหรือ!”
ขุนนางผู้ติดตามพยักหน้า บนแผ่นดินนี้ไม่มีขุนนางคนไหนรอดพ้นการไต่สวนไปได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือโอกาสที่จะได้แก้ตัวต่างหาก
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังสงสัยอยู่ดี จึงก้มหน้าลงอ่านจดหมายนั้นอีกครั้ง
จดหมายนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างรีบร้อน แม้จะมีอาลักษณ์เป็นผู้เขียนให้ แต่ขุนนางฝ่ายบู๊ที่เป็นผู้ให้การนั้นคงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ เขียนวกไปวนมา แต่ในเนื้อความได้กล่าวถึงคำสามคำ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ใต้เท้าสังเกตเห็นหรือไม่…
“ใต้เท้าขอรับ ทหารหนีทัพพวกนั้นหลบซ่อนตัวที่เรือนไท่ผิงนะขอรับ” ท้ายที่สุดเขาก็พูดขึ้นมา
ขุนนางชุดแดงหลับตาลงเพื่อพักสายตาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
“จะหลบซ่อนตัวที่ใดก็เหมือนกันทั้งนั้น… เรือนไท่ผิง…” เขาเอ่ยด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก แต่พูดยังไม่ทันจบก็เบิกตาโพลงในทันที “เรือนไท่ผิงอย่างนั้นหรือ”
ขุนนางผู้ติดตามพยักหน้า แล้วยื่นหนังสือให้เขาดู
“โธ่เอ้ย เหตุใดถึง…” ขุนนางชุดแดงคว้าหนังสือมาดูอย่างละเอียด สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่ทันได้สังเกตจริงเสียด้วย เอาแต่สนใจกับคำว่าทหารหนีทัพถึงได้เตรียมการและลงมือเช่นนี้
ขุนนางผู้ติดตามสีหน้าเป็นกังวล
“เรือนไท่ผิงแห่งนี้ เหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์กับใต้เท้าเฉินนะขอรับ…” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“เจ้าหลิวขุย! เหตุใดถึงได้ชอบก่อเรื่องเช่นนี้!” ขุนนางชุดแดงโยนหนังสือลงบนโต๊ะ สติเลื่อนลอยไปครู่หนึ่งก่อนลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงอีกครั้ง “ช่างเถิด ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เอาไว้ค่อยว่ากัน”
…………….