“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
นายใหญ่ตระกูลต่งพึมพำ
“ที่แท้เป็นเพราะเรื่องไปอยู่ในมือของแม่ทัพหลิวนี่เอง…”
“แม่ทัพหลิวผู้นั้นบอกว่า แต่ก่อนเขาเคยเห็นจดหมายข่าวทหารหนีทัพจากตะวันตกเฉียงเหนือมากมาย จึงจำขึ้นใจมาโดยตลอดว่า แม้จะไม่ได้ตอบแทนบ้านเมืองด้วยการออกรบ แต่ก็จะจับทหารขี้ขลาดพวกนั้นเข้าคุก ไม่ให้หยามเกียรติชาติทหาร…” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยก่อนจะเบ้ปาก “แต่แน่นอนว่านี่คือคำที่แม่ทัพหลิวใช้ยกยอตนเอง ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งสอนให้เขาทำเรื่องเช่นนี้”
“เช่นนั้นคงมีต้องผู้ไปฟ้องร้อง เรื่องถึงได้เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่” แม่นางต่งถามแทรกขึ้นมาทันที
ขุนนางผู้น้อยเหลือบมองนาง ก่อนจะยิ้มออกมา
“คราวนี้เบื้องบนเป็นคนสั่งมา” ขุนนางผู้น้อยชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า “ใต้เท้าประจำศาลาว่าการก็ทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล”
ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
สองพ่อลูกตระกูลต่งสีหน้าตื่นตระหนก
เซี่ยงชีที่ยืนอยู่ด้านหลังแม้สีหน้าจะตื่นตระหนกเช่นกัน ทว่าในแววตากลับมีประกายแห่งความดีใจออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว สองแก้มกระตุก สองมือที่ลู่อยู่ข้างกายกำหมัดแน่น เห็นได้ชัดว่ากำลังเก็บกลั้นความลิงโลดภายในใจ
คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาเป็นคนอยู่เบื้องหลัง!
คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่จดหมายร้องเรียนนิรนาม จะทำให้เจ้าเจ็ดคนนั่นถึงฆาตขึ้นมาจริงๆ ! แถมยังไม่มีช่องโหว่ให้จับเขาได้อีก!
กรมทหารก็ออกหน้าแล้ว แม่ทัพหน่วยลาดตะเวนก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ผู้ใดจะไปนึกถึงขุนนางตัวจ้อยประจำประตูเมืองเช่นเขากัน!
ผู้ใดจะไปเชื่อกันว่าขุนนางผู้น้อยเช่นเขาจะเป็นผู้จุดชนวนหายนะครั้งนี้! นี่คือหายนะ เพียงแค่สายลมพัดผ่านทุกอย่างก็จะมอดไหม้ไม่มีชิ้นดี!
ใครใช้พวกเจ้ามาเมืองหลวงกันเล่า อยู่ดีไม่ว่าดี รนหาที่ตายชัดๆ!
ตายซะ! คิดจะแทนที่ข้า คิดจะแย่งชิงสมบัติที่ข้าครอบครองทั้งหมด ก็จงตายไปเสีย!
“โทษของทหารหนีทัพก็คงไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นใช่หรือไม่” นายใหญ่ต่งยังคงไม่เข้าใจนักจึงได้ถามขึ้น “หากข้าใช้เงินสักหน่อย จะช่วยพวกเขาได้หรือไม่”
“เงินอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินหรอกขอรับ” ขุนนางผู้น้อยหัวเราะ “นายใหญ่ต่ง ท่านคิดว่าพวกเขาขาดเงินหรืออย่างไร”
“พวกเขามีเงินที่ไหนกัน” แม่นางต่งเอ่ยแทรกขึ้นมา
ขุนนางผู้น้อยหัวเราะ
“พวกเขาจะหาเงินจากที่ใดก็ได้” เขาเอ่ย “เขาเป็นถึงหนึ่งในเจ้าของร้านเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้า กำไรมากมายเป็นกอบเป็นกำ”
เรือนไท่ผิงหรือ เรือนนางฟ้าอย่างนั้นหรือ
อะไรกับอะไรนะ
คนจากตระกูลต่งทั้งสามหันมาสบตากัน สีหน้างุนงง
“เจ้าของอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่ต่งถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่ใช่แค่คนงานหรอกหรือ
“คนงานที่ไหนเล่านายใหญ่ต่ง เขาเป็นถึงเฒ่าแก่เชียวนะ” ขุนนางผู้น้อยหัวเราะ
แน่นอนว่าเบื้องหลังยังมีเฒ่าแก่ตัวจริงอยู่อีก แม้จะเป็นเฒ่าแก่แค่เพียงในนามก็ดูแคลนไม่ได้เช่นกัน นั่นแปลว่าเฒ่าแก่ตัวจริงต้องไว้วางใจเขาไม่น้อย
คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่นายใหญ่ต่งและแม่นางต่งที่ตกใจ แม้แต่เซี่ยงชีเองก็ดวงตาเบิกโพลงเช่นกัน
พวกฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวเป็นถึงเฒ่าแก่เรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าเชียวหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน! ล้อเล่นอะไรกัน!
พอนายใหญ่ต่งกลับมาจากสืบถามเรื่องราว แม่นางต่งและเซี่ยงชีก็รีบปรี่เข้ามาหาทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นกับพวกพี่ใหญ่สวีกันแน่” แม่นางต่งถามอย่างรีบร้อน
นายใหญ่ต่งนั่งลง สีหน้าดูซับซ้อนไม่เอ่ยคำใด
“โธ่ ท่านพ่อ ท่านรีบบอกมาเถิด ข้าคอยมาทั้งวันแล้วนะ!” แม่นางต่งเร่งเร้า
เซี่ยงชียกน้ำชาถ้วยหนึ่งเข้ามา
“ท่านพ่อวิ่งวุ่นมาทั้งวันแล้วนะ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
แม่นางต่งถลึงตามองเขาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะแย่งถ้วยน้ำชามาจากมือแล้วยื่นให้นายใหญ่ต่ง
นายใหญ่ต่งรับถ้วยชามาดื่มแล้วถอนหายใจ
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเจียงหลินจะเคยก่อเรื่องไว้มากมายที่เมืองหลวง” เขาเอ่ย
“แล้วพวกเขาเป็นเฒ่าแก่ของเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าจริงหรือ” แม่นางต่งรีบเอ่ยถาม
นายใหญ่ต่งพยักหน้า
“เฒ่าแก่ในนามที่ขึ้นทะเบียนกับทางการ” เขาเอ่ย
แม่นางต่งชะงักไปครู่ใหญ่ หวนนึกถึงยามที่ได้พบกันครั้งแรก
‘ท่านทำงานที่นี่หรือ’
‘ใช่แล้ว ใช่แล้ว’
‘ข้าเสร็จงานแล้วจะไปเยี่ยมแน่นอน…’
ทั้งยังนึกถึงตอนที่ตัวเองยื่นเงินให้แก่ผู้เฒ่าคนนั้น เพื่อให้สวีเม่าซิวลาออกจากงาน มิน่าผู้เฒ่าคนนั้นถึงได้หัวเราะชอบใจนัก
‘เงินเพียงเท่านี้ เกรงว่าคงไม่พอ’
พอมานึกถึงตอนนี้ ความรู้สึกช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
เงินเพียงเท่านั้นเพื่อแลกกับเฒ่าแก่ร้าน อย่างไรก็คงไม่พอ
แม้ตระกูลนางจะร่ำรวย แต่ก็เป็นเงินที่ได้มาจากการตรากตรำทำการค้า เปิดร้านอย่างเรือนไท่ผิงหรือเรือนนางฟ้า แม้พวกนางจะไม่เคยไปเยือน แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นเช่นไร
เพียงแค่ร้านเดียวก็คงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว แต่นี่มีถึงสองร้าน กำไรที่ได้ก็คงเยอะจนนับไม่ไหว
ถึงว่าล่ะวันนั้นถึงไม่ยอมรับเงินจากท่านพ่อ บอกว่าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอยู่อย่างนั้น ตอนนั้นคิดว่าพวกเขาเกรงใจเสียอีก พอมาคิดดูตอนนี้ พวกเขาคงไม่สนใจเงินพวกนั้นเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรอก” นายใหญ่ต่งเอ่ย ยกมือขึ้นลูบเคราแล้วถอนหายใจออกมา “พวกเขาทำการค้านี้ไม่ง่ายเลยสักนิด”
เขาเงยหน้ามองลูกสาวและลูกเขย
“เจ้าจำเรื่องที่เขาเล่าลือกันว่าเรือนไท่ผิงซ้อมนักเลงจนตายได้ไหม” เขาเอ่ยถาม
แม้แม่นางต่งจะไม่ได้ออกจากเรือนไปไหนแต่ก็รู้ข่าว เซี่ยงชีพยักหน้ารัว
“เป็นฝีมือของพวกเขา” นายใหญ่ต่งเอ่ย
แม่นางต่งไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น จึงถามซักไซ้ไล่เรียงต่อ นายใหญ่ต่งอธิบายอย่างละเอียด ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องที่พ่อครัวถูกตัดมือ เรือนนางฟ้าถูกถล่ม เรือนนางฟ้าเปลี่ยนเจ้าของและเรื่องอื่นๆ สองสามีภรรยาได้แต่ฟังอย่างตกตะลึง
“เวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปี เกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้เชียวหรือ…” นายใหญ่ต่งพูดจบก็ถอนหายใจออกมา “แถมยังเป็นเรื่องน่าตกใจอีกต่างหาก…”
“ข้าบอกแล้วว่าพี่ใหญ่สวีนะเก่งกาจยิ่งนัก ถึงว่าล่ะ…” แม่นางต่งเอ่ยพึมพำ “คนอย่างเขา ถึงไม่ยอมแต่งเป็นเขยเข้าตระกูลเรา…”
เซี่ยงชีที่เดิมกำลังเหม่อลอยอยู่ พอได้ยินคำนั้นก็หัวเราะเยือกเย็นออกมาอย่างอดไม่ได้
“เก่งกาจเสียจริง ที่หาเส้นสายดีๆ ได้” เขาเอ่ยเสียดสี
“หากเขาไม่มีความสามารถ แม้จะมีเส้นสาย สักวันก็คงล้มลงอยู่ดี!” แม่นางต่งตะโกนขึ้นมาในทันใด “หากเป็นเจ้า เรื่องใดก็คงทำไม่สำเร็จ แม้แต่หาเส้นสายก็ยังทำไม่ได้!”
“ทั้งเก่งกาจ ทั้งมีเส้นสาย แม้แต่คุกก็ยังติดถึงสองหนแล้ว” เซี่ยงชีเอ่ยพลางหัวเราะ
“ผู้อื่นทุกข์ร้อนเช่นนี้แต่เจ้ากลับหน้าชื่นตาบาน! แม้คราวนี้จะไม่ใช่ฝีมือเจ้า แต่เจ้าก็คิดร้ายกับเข้ามาตั้งแล้วละสิ!” แม่นางต่งตะโกนพลางยกมือชี้นิ้วไปที่เซี่ยงชี “หากพี่ใหญ่สวีเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ! เหตุใดต้องแช่งชักหักกระดูกพวกพี่ใหญ่ด้วย!” เซี่ยงชีตะโกน
“พอได้แล้ว!” นายใหญ่ต่งคำรามก่อนจะลุกยืนขึ้น
ภายในห้องโถงเงียบสงบลงในทันใด
“เถียงกันทำไม เถียงกันทำไม ยามนี้แล้วยังจะทะเลาะกันอีกหรือ” เขาตะโกนแล้วชี้นิ้วไปทางแม่นางต่ง “ปากหาเรื่องชวนทะเลาะอย่างเจ้า ไม่แน่อาจเป็นเพราะปากเจ้า ที่พาลหาเรื่องเดือดร้อนให้แก่เจียงหลิน!”
คำพูดนั้นทำเอาเซี่ยงชีสะดุ้งตัวโยน
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่นางสี่หรอกขอรับ เป็นเพราะพวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเองต่างหาก ท่านพูดเช่นนี้คงไม่ถูก” เขารีบเอ่ยขึ้นทันใด
นายใหญ่ต่งมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วหันไปถลึงตาใส่แม่นางต่งอีกครั้ง
“เจ้าดูสิ! เซี่ยงชีทนอยู่กับเจ้าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว! ยังจะไม่รู้จักพออีกหรือ!” เขาตะคอกอีกครั้ง
แม่นางต่างมองพวกเขา ก่อนจะหันหลังมือกุมหน้าร้องไห้แล้ววิ่งออกไปในทันที
“เจ้าเองก็ไปเถิด” นายใหญ่ต่งถอนหายใจ
ทว่าเซี่ยงชีกลับไม่ได้ก้าวเดินออกไป
“ท่านพ่อขอรับ เรื่องขอพี่ใหญ่สวีคราวนี้ไม่มีทางช่วยได้เลยหรือขอรับ” เขาเอ่ยอย่างเป็นกังวล
นายใหญ่ต่งทอดถอนใจ
“ร่ำรวยมากก็เป็นภัยเช่นนี้สินะ หากดูจากครั้งก่อนๆ ที่พวกเขาโดนจับคราวนี้ ต้องเป็นเพราะไปล่วงเกินศัตรูเป็นแน่ หากไม่มีปัญหาก็คงไม่มีปัญหา แต่หากมีปัญหาขึ้นมาก็คงเป็นเรื่องใหญ่” เขาเอ่ย
พูดเช่นนี้ก็เหมือนไม่พูด…
เซี่ยงชีนิ่งเงียบ ทว่าภายในใจนั้นแสนลิงโลด ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร เขาก็พึงพอใจทั้งนั้น
หากไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือเสียว่าสั่งสอนเจ้าคนพวกนั้น แต่หากเกิดเรื่องละก็ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …
คราวนี้เขาละอยากจะให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาเสียจริง
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ! ไม่ใช่คนอื่นคิดไม่ถึง เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ว่าแค่จดหมายนิรนามฉบับน้อยของเขาจะลงเอยเช่นนี้!
เทวดาบนสวรรค์ก็คงทนเห็นต่อไปไม่ไหวแล้วกระมัง
“เรือนไท่ผิงหนอ เรือนไท่ผิง ตั้งชื่อได้แย่ยิ่งนัก” นายใหญ่ต่งส่ายหน้าเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ไม่เห็นจะสงบสุขดั่งชื่อเลยสักนิด แม้แต่นางฟ้าก็ยังอยู่ไม่เป็นสุข”
ปั้นฉินลงจากรถ จินเกอร์ก็หอบกล่องอาหารในห่อผ้าตามลงมา
“คุกหลวงใช่ว่าจะเข้าออกกันได้ง่ายๆ คนที่พวกเจ้าถามถึงล้วนแต่เป็นคนในความรับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวนทั้งนั้น พวกเราไม่กล้าผลีผลามตัดสินใจทำอะไรเองหรอก” พอเหล่าขุนนางน้อยหน้าประตูได้ยินว่าพวกนางจะมาเยี่ยมใคร ก็รีบร้อนตอบไปเช่นนั้นทันที
“ใช่ พวกข้ารู้” ปั้นฉินเอ่ย แต่สีหน้ากลับไม่ได้สิ้นหวัง นางกับจินเกอร์ยื่นกล่องอาหารที่ห่อด้วยผ้าสองกล่องให้พวกเขา “ของเหล่านี้คืออาหารและเสื้อผ้า เหล่าท่านพี่ได้โปรดช่วยส่งต่อให้พวกเขาด้วยเถิด”
เหล่าขุนนางผู้น้อยหันมาสบตากัน
“ส่วนของเหล่านี้ ขอมอบให้ท่านพี่ทั้งหลาย” ปั้นฉินเอ่ยต่อ “หวังว่าเหล่าท่านพี่จะไม่รังเกียจ”
นางเอ่ยพลางยื่นกล่องอาหารให้พวกเขากล่องหนึ่ง
“นี่เป็นของเรือนไท่ผิง หรือเรือนนางฟ้ากัน” พวกเขาถามอย่างอดไม่ได้
ทั้งเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้า บัดนี้ต่างเป็นร้านอาหารชื่อดังในเมืองหลวง แม้เหล่าขุนนางผู้น้อยพวกนี้จะเป็นชาวเมืองหลวง แต่ตำแหน่งก็ต่ำต้อยเสียจนเรียกว่าขุนนางได้ไม่เต็มปาก เงินเดือนที่ได้เพียงน้อยนิด แม้จะกินอยู่อย่างประหยัด แต่ก็ยังต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัว เข้าสังคมกับเพื่อนฝูง ไปมาหาสู่ญาติมิตร แค่นี้เงินก็แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว จะไปร้านอาหารหรือโรงน้ำชาตามใจชอบไม่ได้หรอก อย่างดีหน่อยก็กินข้าวดื่มเหล้าสักมื้อที่เพิงริมถนนให้หนำใจ
“ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ในคุกคงทั้งมืดและหนาวเหน็บ ผู้ดูแลร้านเลยสั่งนางฟ้าผ่านทางมาให้กินเป็นพิเศษ” ปั้นฉินเอ่ยพลางเปิดกล่องอาหาร
หลายคนชะโงกหน้าเข้ามาดูก็ต้องยิ่งตกใจ เพราะนอกจากจะมีเนื้อและผักสดใหม่แล้ว ยังมาพร้อมกับเครื่องครัวและจานชาม แถมยังมีกระปุกดินเผาพร้อมฝาปิดใบน้อยที่มีเครื่องปรุงอยู่ภายใน
“ส่วนของเหล่านี้คือขนมแกล้มน้ำชาจากเรือนไท่ผิง ขอเหล่าท่านพี่อย่าได้รังเกียจ” ปั้นฉินเอ่ยพลางเปิดกล่องอาหารอีกชั้นขึ้นมา ภายในมีขนมกว่าสิบชนิด
ขุนนางผู้น้อยเงินหน้ามองบ่าวแล้วสาวใช้เบื้องหน้าด้วยแววตาสงสัย
ไม่เพียงเท่านั้น บ่าวหนุ่มน้อยยังยื่นถุงเงินให้อีกต่างหาก
“พวกข้ารีบร้อนนักเลยลืมหยิบชาดีมาให้พวกท่านด้วย” เขาเอ่ย “ขอท่านพี่ทั้งหลายช่วยรับไว้ เอาไปซื้อชาดีๆ ดื่มเถิด”
แต่ไหนแต่ไรมาหากจะมาเยี่ยมคนในคุกย่อมต้องจ่ายส่วยอยู่แล้ว โดยหนึ่งในสามของเงินและสิ่งของจะตกเป็นของขุนนางผู้น้อยเหล่านี้ เป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่ช้านาน
หากเป็นคนทั่วไปก็คงไม่เท่าไหร่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเรือนไท่ผิงก็ทำเช่นนี้ด้วยหรือ…
คราวก่อนพวกเขาไม่ทำตามธรรมเนียมนี้ พอคนถูกจับตัวเข้าทุกไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยียน แม้แต่ส่งของกินหรือส่งส่วยก็ยังไม่มี แต่คราวนี้เกิดอะไรขึ้น
ดูท่าทางแล้วคงเป็นเหมือนที่ทุกคนพูดจริงๆ คราวนี้เรือนไท่ผิงฟาดเคราะห์เข้าให้แล้ว จึงไม่สามารถหยิ่งทะนงเหมือนดั่งก่อนได้ ถึงขนาดต้องมาส่งส่วยส่งของกินตามธรรมเนียม
……………………….