“เกิดเรื่องอีกแล้วหรือ”

นายใหญ่เฉินที่อยู่อีกฝั่งถามอย่างตื่นตระหนก

บ่าวชราพยักหน้า

“ง้างธนูขึ้นยิงกันแล้วขอรับ เรือนไท่ผิงแทบราบเป็นหน้ากลอง” เขาเอ่ย “ชายห้าคนนั้นถูกจับไปหมดแล้ว”

นายใหญ่เฉินขมวดคิ้วพลางวางม้วนกระดาษในมือลง

“พวกเขาคือผู้ใดกัน” เขาถาม

เขาถามว่าเป็นใคร แต่กลับไม่ถามว่าเพราะเหตุใด

“เป็นทหารหนีทัพขอรับ” บ่าวชราตอบขึ้น

“ทหารหนีทัพอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉินทวนคำพลางส่ายหน้า “ก็แค่ทหารหนีทัพ เหตุใดถึงดื้อดึงไม่ยอมปล่อยเช่นนี้…”

ไม่ใช่ทหารรักษาชายแดนเสียหน่อย พอหนีทัพมาถึงที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป ผู้ใดจะมีเวลาไปสนใจกัน!

“ใช่ขอรับนายท่าน ตอนนั้นขุนนางทหารผู้นั้นเป็นคนพูดเอง” บ่าวชราเอ่ย

“ก็แค่พูดไปเช่นนั้นกระมัง” นายใหญ่เฉินพูด

“เพราะมีคนเขียนจดหมายสนเท่ห์ร้องเรียนขอรับ” บ่าวชรากล่าวเสริม เล่าข่าวที่ตนไปสืบรู้มา

นายใหญ่เฉินหัวเราะยกใหญ่พลางส่ายหน้า

เป็นไปได้อย่างไรกัน!

แค่จดหมายร้องเรียนนิรนามฉบับเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนจับคนเข้าคุกได้เลยหรือ ใต้ฟ้านี้มีเรื่องง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหน!

“ให้นายท่านของเจ้าไปถามดูที ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” เขาเอ่ย

บ่าวชรารับคำก่อนจะออกจากห้องไป

นายใหญ่เฉินเปลี่ยนแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมาค้ำศีรษะไว้ พลางใช้ความคิด

ไม่นานบ่าวหนุ่มก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

“นายใหญ่ นายท่านมีแขกขอรับ” เขาเอ่ย

“มีแขกอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉินคิ้วขมวด “แขกจากที่ใดกัน”

“ผู้ช่วยเจ้ากรมทหาร ใต้เท้าชุยขอรับ” บ่าวหนุ่มตอบ

กรมทหารอย่างนั้นหรือ

นายใหญ่เฉินขยับนั่งตัวตรง คิ้วขมวดเป็นปม

ท่าทางเรื่องนี้คงใหญ่โตมิใช่น้อย

ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลโจว บ่าวหนุ่มคนหนึ่งกำลังชะโงกหัวมองเข้ามาในห้องของท่านชายโจวหก

เสียงพูดคุยของหญิงสาวดังอย่างครื้นเครง ท่านชายโจวหกยืนอยู่กลางโถง มองดูท่านแม่และเหล่าสาวใช้กำลังจัดเก็บเสื้อผ้า

ผืนนี้ก็เอาไป ผืนนั้นก็เอาไป พูดไปก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ข้าจะไปแวะที่ส่านโจวก่อน ท่านตาท่านยายก็อยู่ที่เรือน คงเตรียมการไว้พร้อมแล้ว ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล ไม่ต้องเอาของไปมากมายขนาดนั้นหรอกขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“พวกเขาจะเตรียมการครบถ้วนไปกว่าข้าได้อย่างไร” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางเช็ดน้ำตา ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามอง ชี้นิ้วสั่งให้สาวใช้ยัดเสื้อไหมพรมสำหรับฤดูหนาวลงไปด้วยอีกหลายผืน

ท่านชายโจวหกส่ายหน้า ก่อนจะหันไปเห็นบ่าวหนุ่มที่หน้าประตู

บ่าวคนนี้อยู่ประจำที่หน้าประตูเรือนนี่ หรือว่า…

“แม่นางเฉิงมาขอรับ” บ่าวหนุ่มทำปากขมุบขมิบมาทางเขา

หญิงร้ายกาจผู้นี้อีกแล้ว!

ท่านชายโจวหกกำมือกัดฟันแน่น

ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกับหญิงผู้นี้ ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่นึกถึงนางแล้วจะมีความสุข!

อยากมาก็มา ถึงอย่างไรนางก็ไม่เห็นเขาในสายตาอยู่แล้วนี่!

ท่านชายโจวหกหันหลังกลับไม่เอ่ยคำใด

“ชายหก ชุดนี้เล็กไปแล้ว น่าจะต้องตัดใหม่อีกสองสามชุด…” ฮูหยินโจวพูดกับเขาพลางยกชุดขึ้นมาทาบ

ท่านชายโจวหกพยักหน้า

นาง… มาทำอะไรกัน

หากไม่มีเรื่องร้อนใจ คนเราก็ไม่ไปไหว้พระขอพรที่วัดหรอก

หญิงผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน

แม้แต่เรื่องแต่งงานก็ไม่สนใจ แต่จู่ๆ กลับมาถึงเรือน แสดงว่ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอย่างนั้นหรือ

ท่านชายโจวหกเหลียวกลับไป บ่าวหนุ่มยกไม้ยกมือทำท่างส่งสัญญาณให้แก่เขา

“ชายหก”

เสียงของฮูหยินโจวดังขึ้นข้างหู

ท่านชายโจวหกสะดุ้งตกใจจึงหันหน้ากลับมา ก่อนจะเห็นว่าฮูหยินโจวได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“พวกเจ้าทำอะไรกัน” ฮูหยินโจวถาม พลางมองไปที่บ่าวหนุ่ม

บ่าวหนุ่มก้มหน้า

“ไม่มีอะไรขอรับ” ท่านชายโจวหกตอบ

ฮูหยินโจวเชื่อเสียที่ไหน

“บอกมา มีเรื่องอะไรบิดบังข้าอยู่” นางตะคอกบ่าวหนุ่ม

บ่าวหนุ่มตกใจจนพูดจาตะกุกตะกักไปหมด

“แม่นางเฉิงมาขอรับ” เขารีบตอบในทันที

ฮูหยินโจวเองก็ตกใจเช่นกัน

“นางมาทำไมกัน” นางถามพลางมองไปที่ท่านชายโจวหก “จะมาบังคับเจ้าแต่งงานหรือ”

หากเป็นแต่ก่อนยามได้ยินคำพูดเช่นนี้ ท่านชายโจวหกคงหัวใจเต้นระรัว แต่ยามนี้…

“ไม่รู้ว่ามาเพราะเหตุใด แต่คงไม่ใช่เพราะเหตุนั้นเป็นแน่” เขาเอ่ยเสียงเย้ยหยัน

ฮูหยินโจวไม่มีอารมณ์จะเก็บเสื้อผ้าอีกต่อไป ก่อนจะรีบสั่งให้สาวใช้เป็นสืบข่าว ไม่นานสาวใช้ก็กลับมา

“นายใหญ่กับแม่นางเฉิงออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ…” นางเอ่ย

“ออกไปแล้วอย่างนั้นรึ” ฮูหยินโจวตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม “ไปที่ใดกัน ไปทำอะไร”

“ได้ยินมาว่ามีเรื่องเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ

ฮูหยินโจวและท่านชายโจวหกสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เกิดเรื่องอีกแล้วหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก” พวกเขาถามเป็นเสียงเดียวกัน

ไม่นานนายใหญ่โจวก็กลับมา เฉิงเจียวเหนียงนั่งรออยู่ในโรงน้ำชาได้ไม่นาน ดื่มชาไปเพียงแค่สองจอก เขาก็เดินเข้ามาแล้ว

“มีคนร้องเรียนจริงๆ เสียด้วย บังเอิญยิ่งนัก จดหมายนิรนามมีมากมายจนนับไม่ไหว แต่ดันมาเจอเข้ากับหลิวขุยเสียได้” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางนั่งลง “เจ้าหลิวขุยผู้นี้ คงว่างงานจนไม่มีอะไรทำ ถึงได้เอาจดหมายนี้มาก่อเรื่อง เมื่อครู่ข้าไปหาเขาแล้วแต่เขาไม่อยู่ ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเขาที่เรือน เจียวเหนียง เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”

สีหน้าของเขาเดือดดาลไปด้วยโทสะ

“เจ้าพวกนั้นไม่มีลูกกะตาหรือไร แถมยังไปจับตัวคนที่เรือนไท่ผิงอีกต่างหาก ไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าที่นั่นคือเรือนไท่ผิงเชียวนะ! นั่นเป็นร้านของข้า… แค่ก แค่ก แค่ก”

แม้ในใจของเข้าจะคิดว่าทั้งเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าก็เป็นของเขาเช่นกัน หากแต่ไม่กล้าพูดเช่นนั้นออกมาต่อหน้าเจ้าของที่แท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้นเฉิงเจียวเหนียงเองก็ไม่เคยพูดว่าตนเป็นเจ้าของเลยสักครั้ง

“ข้าจะไปพูดให้ คราวนี้ข้าจะขอเอ่ยถึงเจ้าได้หรือไม่” เขาถามอย่างอ้อมค้อม

เฉิงเจียวเหนียงราวกับกำลังเหม่อลอย ไม่เอ่ยตอบแต่อย่างใด

นายใหญ่โจวใจเต้นระส่ำ ก่อนจะกระแอมขึ้นมา

ยามนี้เหล่าทหารก่อเรื่องในราชสำนักไม่หยุดหย่อน คราวนี้เป็นฝีมือของหลิวขุย แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ความดีความชอบอันใด ไม่แน่ว่าอาจจะเอาไปพิจารณารวมกับคดีอื่น เจ้าหมอนี่เอาแต่ก่อเรื่อง ยามที่มารายงานต้องพูดจาเลอะเทอะเหลวไหลให้คนเชื่อเป็นแน่ มิเช่นนั้นกรมทหารคงไม่รับพิจารณาหรอก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

เฉิงเจียวเหนียงที่กำลังเหม่อลอยเงยหน้าขึ้นมองเขา

“เหตุใดกรมทหารถึงไม่รับพิจารณา” นางถาม

นายใหญ่โจวลูบเคราพลางเอ่ย

“แม้จะเป็นที่รู้กันแต่คงไม่มีผู้ใดกล้าพูด คราวก่อนตอนที่นายใหญ่เฉินแนะนำเต้าหู้ไท่ผิงให้แก่พระอาจารย์หมิงไห่ ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” เขาเอ่ย “ตอนนี้คนไม่น้อยเริ่มรู้กันแล้วว่าเรือนไท่ผิงมีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิน ถึงขนาดเดากันว่าเจ้าของตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังเรือนไท่ผิงคือตระกูลเฉิน”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

เรื่องเข้าใจผิดนี้ นางรู้ดีอยู่แล้ว ทั้งยังยินดีที่จะให้เป็นเช่นนั้น จะว่าไปก็ถือว่าเป็นความจริงเช่นกัน

“ชุยฉี่ ผู้ช่วยเจ้ากรมทหารเป็นพรรคเดียวกันกับอำมาตย์เฉิน” นายใหญ่โจวเอ่ย “หากเขารู้ว่าทหารหนีทัพเหล่านั้นเป็นคนของเรือนไท่ผิง เขาย่อมไม่รับพิจารณาเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าวางใจเถิด เจ้าไม่ต้องออกหน้าเอง เขาจะไปกับอธิบายกับพวกเขาอย่างละเอียดเอง เพียงเท่านี้เรื่องก็คงคลี่คลาย”

เฉิงเจียวเหนียงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นางมองนายใหญ่โจวราวกับกำลังใช้ความคิด

“พรรคอะไรหรือ” นางโพล่งถามขึ้นมา

“พรรคอะไรอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่โจวชะงักไปชั่วขณะ

“ผู้ช่วยเจ้ากรมทหารกับนายใหญ่เฉินเป็นพรรคเดียวกัน คือพรรคอะไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม

นายใหญ่โจวหัวเราะร่วน หญิงสาวก็คือหญิงสาวอยู่วันยังค่ำ ไม่รู้เรื่องราวในราชสำนัก จึงไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้

“หมายถึงเป็นพรรคพวกเดียวกันน่ะ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแม้จะพูดไปเช่นนั้น แม่นางน้อยผู้นี้คงไม่เข้าใจอยู่ดี “อย่างเช่นว่าตอนนี้หวังปู้ถังถูกลงโทษ จึงต้องคัดเลือกขุนนางที่จะไปดูแลแถบตะวันตกเฉียงเหนือคนใหม่ ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนมีความเห็นตรงกัน”

เฉิงเจียวเหนียงร้องอ๋อ

“เจ้าลองคิดดู หากไต่สวนทหารหนีทัพพวกนั้น ก็คงต้องเกี่ยวโยงกับเรือนไท่ผิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเดือดร้อนถึงนายใหญ่เฉิน ใต้เท้าชุยคงไม่เลือกทำเช่นนั้นในยามนี้หรอก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “เจ้าวางใจเถิด…”

“เหตุใดถึงไม่เลือกทำเช่นนั้นในยามนี้ ยามนี้มีเรื่องใดที่สำคัญกว่าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามแทรกขึ้นมา

เด็กคนนี้ถามมากความเสียงจริง…

พอเกิดเรื่องนางก็มาหาเขาเองถึงที่ แสดงว่าเห็นเขาเป็นญาติมิตร นายใหญ่โจวก็ดีใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังอดลำพองใจไม่ได้ จึงได้ตอบคำถามนางไปอย่างอดทน

“เรื่องมันยาวน่ะ…” เขาเอ่ย “ยังจำเรื่องที่ข้าถูกเจ้าคนแซ่หลิวนั่นเล่นงานได้หรือไม่”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ความจริงคราวนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก” นายใหญ่โจวพูดไปก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “แต่เจ้าคนแซ่หลิวนั้นรู้จังหวะดี ยามนั้นทหารตะวันตกเฉียงเหนือแพ้ศึก ฮ่องเต้ทรงกริ้วนัก เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักก็เอาแต่กัดหวังปู้ถังไม่ปล่อย วิ่งเต้นจนเรื่องราวใหญ่โตมาถึงหูฮ่องเต้จนได้ แม้เขาจะมีเส้นสายดีสักแค่ไหนก็ต้านทานไม่อยู่ ถูกไต่สวนจนโดนปลดจากตำแหน่งในที่สุด ลูกน้องของหวังปู้ถังอย่าหลิวจวิ้นก็ถูกตัดหัวประจานต่อหน้าธารกำนัล ในตอนนั้นไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหน หากตีฆ้องร้องป่าวจนเรื่องถึงหูฮ่องเต้ก็สามารถกำหนดโทษทหารขั้นรุนแรงได้ทั้งนั้น จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย โชคดีที่มีเจียวเจียวร์ ไม่เช่นนั้นพวกเราตระกูลโจวคงติดคุกหัวโตกันทั้งบ้านแล้ว…”

แต่หากไม่มีเจียวเจียวร์ ก็คงไม่เกิดเหตุเช่นนี้เหมือนกัน แน่นอนว่านายใหญ่โจวไม่ได้พูดออกไป

เขาถอนหายใจอีกครั้ง แม้สีหน้าจะดูเหนื่อยหน่ายแต่ยังแฝงไปด้วยความผ่อนคลาย

“เรื่องแก่งแย่งชิงดีในราชสำนักเช่นนี้ จุดจบมีเพียงเจ้าตายหรือว่าข้าตาย ต้องถอนรากถอนโคนกันจนหมดเท่านั้น…”

“หวังปู้ถังคือใครหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

นายใหญ่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย เด็กคนนี้ถามมากความเสียจริง

“คือขุนนางคนก่อนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเมืองซู่โจว จือโจว และแถบตะวันตกเฉียงเหนือ เคยเป็นองคมนตรีประจำสภากลาโหม” เขาตอบ “เป็นตำแหน่งสูงสุดของขุนนางฝ่ายบู๊ ใช่ว่าใครจะได้ครองตำแหน่งนี้ได้ง่ายๆ หากหวังปู้ถังไม่มีเส้นสาย ก็คงไม่ได้นั่งตำแหน่งนี้อย่างง่ายดายหรอก…”

“เส้นสายคือหนทางไปสู่ตำแหน่งใหญ่โตหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

เด็กคนนี้ฟังความละเอียดยิ่งนัก

นายใหญ่โจวพยักหน้า

“เขาคือผู้ใด” เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง

จริงๆ เลยแม่คนนี้…

“กุ้ยเฟยแซ่เกา…” นายใหญ่โจวเอ่ย “ไทเฮา ก็แซ่เกาเช่นกัน”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ผู้ช่วยเจ้ากรมทหาร ใต้เท้าชุยกับเฉินเซ่าก็เป็นหนึ่งในคนที่เอาเรื่องหวังปู้ถังหรือ” นางถามต่อ

แหม ใช้ได้นี่ ไม่ต้องพูดก็พอเดาเออก

“ใช่แล้ว” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางพยักหน้า

“เช่นนั้นแล้วพวกเขาคือพรรคเดียวกันอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

นายใหญ่โจวพยักหน้า อืม ใช่แล้ว ใช่แล้ว ในที่สุดก็กลับมาสู่ประเด็นเดิมเสียที พูดอ้อมค้อมกันมาครึ่งค่อนวันแล้ว…

เฉิงเจียวเหนียงไม่ถามต่อ เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา

“ดังนั้นเจ้าอย่าได้เป็นกังวลเพราะเรื่องนี้เลย เรื่องเล็กประติ๋วน่ะ” นายใหญ่โจวเอ่ยก่อนจะกลับมายังหัวข้อสนทนาแรก “วันพรุ่งนี้ข้าจะไปพบหลิวขุย ส่วนกรมทหารก็ว่าจะไปแวะทักทายเสียหน่อย…”

“ท่านลุง” เฉิงเจียวเหนียงตัดบทเขา “ไม่ต้องหรอก”

“ไม่ต้องอะไรหรือ” เขาถาม

“เรื่องนี้ท่านลุงช่วยข้าแล้ว ส่วนที่เหลือท่านปล่อยไปเถิด อย่าได้สนใจ” นางเอ่ย

นางกังวลว่าจะเดือดร้อนมาถึงเขาอย่างนั้นหรือ หรือคิดว่าเขานั้นช่วยไม่ได้

สัญชาตญาณของนายใหญ่โจวคิดว่าเป็นข้อหลังอย่างแน่นอน

นางมีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉินนี่ หรือว่านางจะไปคุยด้วยตัวเอง

“ไม่ต้องลำบากอำมาตย์เฉินหรอก เรื่องเล็กเพียงเท่านี้ ข้าก็จัดการได้” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางหัวเราะ

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

“นี่มิใช่เรื่องเล็ก” นางเอ่ย “ตอนแรกก็เป็นแค่เรื่องเล็ก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”

นายใหญ่โจวชะงักไป ก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมา

เพราะหญิงสาวผู้นี้ประสบเรื่องราวมามากมาย คงจะระแวงจัดเกินไปหน่อยกระมัง

“ข้ามิได้หวาดระแวงจนเกินไปหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เพียงแต่คิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดก่อนเสมอ”

นายใหญ่โจวคิดถึงวิธีการต่างๆ ที่หญิงสาวคนนี้เคยใช้ จู่ๆ ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

“เจ้า… คิดอะไรออกอย่างนั้นหรือ หรือว่ารู้แล้วว่าไปล่วงเกินผู้ใดเข้า” เขาถาม

ตอนแรกที่นางบอกว่าสวีเม่าซิวและพรรคพวกถูกจับตัวไป ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของนายใหญ่โจวก็คือ ‘ไปล่วงเกินผู้ใดเข้าอีกแล้วสิท่า’ ทว่าเขากลับคิดไม่ออกว่าจะล่วงเกินผู้ใด รอเขาไปสืบถามมาให้ได้ความก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง

ดูท่าทางนางคงนึกออกแล้วกระมัง

“ข้าคิดว่าอาจจะไม่ได้ล่วงเกินคน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ไม่ใช่คนอย่างนั้นหรือ

หากเป็นคนอื่นพูดคำนี้ นายใหญ่โจวคงยกมือขึ้นฟาดแล้ว แต่เมื่อเป็นหญิงผู้นี้พูด…

ภายในห้องน้ำชาเงียบสงัด แสงอาทิตย์ถูดบดบัง ทำให้ดูมืดครึ้มไปไม่น้อย หญิงสาวใช้ชุดสีล้วนเบื้องหน้านั่งหลังเหยียดตรง ใบหน้าแข็งทื่อขาวซีด แววตาทั้งคู่เลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวา…

พอมานึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับนาง…

แม้จะตำแหน่งสูงส่งสักเพียงใด แต่ก็มีเหล่าขุนนางไม่น้อยเลยที่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา

ไม่ใช่คนอย่างนั้นหรือ…

นายใหญ่โจวเอ่ยถาม ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้

“แล้วคืออะไรเล่า” เขาเอ่ยถามหัวเราะเสียงเจื่อน

“โชคชะตากระมัง” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

 ……………………..