โชคชะตาหรือ
เหลวไหลอะไรกัน
ของเช่นนี้ล่วงเกินกันได้ด้วยหรือ แม้แต่มองยังมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ
นายใหญ่โจวเผลอหัวเราะออกมา
เจ้าเด็กบ้านี่ฟั่นเฟือนอีกแล้วหรืออย่างไร
ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ได้ฆ่ารันฟันแทงกันต่อหน้า หรือวางแผนเล่นงานใครลับหลังเหมือนคราวก่อนเสียหน่อย
หรือเป็นเพราะยังเยาว์วัยนัก เกิดเรื่องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้จึงแบกรับต่อไปไม่ไหว
“กรรมขึ้นอยู่กับผลของการกระทำ เรื่องเล็กเพียงแค่นี้ เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย…” นายใหญ่โจวเอ่ยปลอบประโลมในฐานะผู้อาวุโส
เฉิงเจียวเหนียงหันมองมาทางเขา
“นี่มิใช่เรื่องเล็ก” นางเอ่ย “เรื่องใหญ่เหมือนคราวที่ท่านลุงถูกราชเลขาหลิวเล่นงานลับหลัง”
เมื่อนางเปรียบเทียบเช่นนี้นางใหญ่โจวก็เข้าใจในทันใด สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที
ว่าอย่างไรนะ
เรื่องนี้น่ะหรือ
“คราวก่อนคนที่ล่วงเกินโชคชะตาคือราชเลขาหลิว พวกเราจึงได้รอดปลอดภัย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “แต่คราวนี้ คนที่ล่วงเกินโชคชะตากลายมาเป็นข้า…”
“เจียวเจียวร์ ข้าฟังไม่เข้าใจนัก ก็แค่ทหารหนีทัพมิใช่หรือ เรื่องราวจะใหญ่โตไปถึงราชสำนักได้อย่างไร อีกอย่างอำมาตย์เฉินก็ยังอยู่ เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า” นายใหญ่โจวเอ่ยคิ้วขมวด
“ข้าก็หวังว่าข้าจะคิดมากไปเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เดิมทีนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก แต่บังเอิญอยู่ในมือของหลิวขุย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ แต่ว่าต่อมา…”
นายใหญ่โจวขมวดคิ้ว
ต่อมาแล้วอย่างไรเล่า…
“ต่อมาถูกรายงานไปถึงกรมทหาร พอคนเห็นคำว่าเป็นทหารหนีทัพ บางทีอาจจะนำมาใช้เล่นงานเพื่อการอื่นสินะ…” เขาเอ่ยพึมพำ “หากจะฉวยโอกาสนี้เพื่อทำการอื่นก็ต้องรอจังหวะให้ดี เหมือนกับเรื่องของข้า แท้จริงแล้วก็เป็นแค่…เรื่องเล็กน้อย ทว่างานราชการไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องเล็ก หากมีเข้านอกออกในกันลับหลัง ก็สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็หันไปมองเฉิงเจียวเหนียงด้วยสีหน้าซับซ้อน
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็…ก็ถือว่าโชคร้ายนัก”
เพียงเพราะจดหมายนิรนามฉบับเดียว หากกองอยู่รวมกันก็คงไม่มีผู้ใดใส่ใจ สุดท้ายก็กลายประเป็นกระดาษเสียที่ถูกนำไปชั่งกิโลขาย หรือไม่ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าขุนนางผู้น้อยยามดื่มเหล้าริมถนน
หากกลายเป็นบทสนทนาในวงเหล้าได้ ก็ถือว่าจดหมายนิรนามฉบับนั้นเขียนได้ไม่เลวแล้ว
เหตุใดถึงมาไกลเกินกว่าที่คาดคิดได้ถึงเพียงนี้
“ใช่แล้ว คราวนี้โชคร้ายเสียจริง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า “แต่ว่าก็ไม่ถือว่าโชคร้ายหรอก ในเมื่อพวกเขาเป็นทหารหนีทัพจริง หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้จะโชคร้ายถึงสักเพียงใดก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้”
นายใหญ่โจวส่ายหน้าแค่นยิ้มออกมา
“เจียวเจียวร์เรื่องมาถึงขนาดนี้เจ้ายังปลอบใจตัวเองได้อีกหรือ” เขาเอ่ย
“ไม่มีกฎใดที่ไม่มีช่องโหว่” นางเอ่ยก่อนจะคำนับให้แก่เขาอีกครั้ง “ขอบคุณท่านลุงยิ่งนัก เรื่องนี้ท่านอย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยวอีกเลย”
นายใหญ่โจวมองนางด้วยสายตาเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง
“เจียวเจียวร์ ความจริงแล้ว เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ ทั้งสำหรับเจ้าและสำหรับข้า” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองมาทางเขา
“เจ้าลองคิดดู จับทหารหนีทัพ ก็แค่จับทหารหนีทัพ ไม่ได้หมายจะเล่นงานเรือนไท่ผิงเสียหน่อย อีกอย่างอำมาตย์เฉินก็ยังอยู่ เรือนไท่ผิงจะต้องไม่เป็นอะไรไปแน่นอน หากเรื่องนี้เป็นอย่างที่เจ้าคาดเดาไว้ คงใช้เพื่อจัดการหน่วยทหารตะวันตกเฉียงเหนือเสียมากกว่า พวกทหารหนีทัพกระจายตัวไปทั่ว แต่กล้ามาลอยหน้าลอยตาในเมืองหลวงเช่นนี้ จึงถือโอกาสนี้สอบสวนหน่วยทหารตะวันตกเฉียงเหนือไปด้วย ทั้งยังฉวยโอกาสนี้ถอนรากถอนโคนหวังปู้ถังไปในตัว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก พวกเขาไม่เห็นข้ากับเจ้าอยู่ในสายตาหรอก แม้วันหน้าอาจจะถูกคนของหวังปู้ถังตามไล่หลัง หากพวกเขาสอบสวนเรือนไท่ผิง เจ้าก็บอกว่าไม่รู้เพียงแค่นั้นก็สิ้นเรื่อง เจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักหัวนอนปลายเท้าของคนพวกนั้นอยู่แล้ว ก็แค่คนที่เจ้าช่วยเหลือไว้ เลี้ยงดูไว้ใช้งาน อีกอย่างเจ้ามีวิชาชุบชีวิตคนจากเทพเซียน ทั้งยังมีวัดผู่ซิวและพระอาจารย์ไห่หมิงคอยปกป้อง เจ้าจะต้องไม่เป็นอันใดไปแน่นอน”
เรื่องนี้ช่างเสียเถิด
เดิมที่ก็ไม่ใช่คนระดับเดียวกันอยู่แล้ว รู้จักได้เพียงไม่นาน อีกอย่างนั่นล้วนแต่เป็นความผิดติดตัวของพวกเขา มิใช่เรื่องโชคร้ายแต่อย่างใด ตามกฎหมายแล้วสักวันพวกเขาก็ต้องถูกจับตัวมาลงโทษอยู่ดี
ยามนี้ปั้นฉินนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ที่หน้าประตู มือที่วางอยู่บนตักกำแน่นเข้าหากัน ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“ขอบคุณท่านลุงยิ่งนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วคำนับอีกครั้ง
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งวัน สีหน้าของนายใหญ่โจวที่กำลังก้าวเข้ามาในบ้าน ช่างแตกต่างจากตอนที่ออกจากเรือนไปอย่างไร้กังวลนัก ยามนี้เขาเอาแต่ขมวดคิ้วหน้าบึ้งพลางย่างเดินเข้ามา
ฮูหยินโจวและท่านชายโจวหกต่างก็มารออยู่ห้องโถงแล้ว สีหน้าดูร้อนรนยิ่งนัก พอเห็นเขากลับมาก็ปรี่เข้าไปหาในทันที
ท่านชายโจวหกเหลือบตามองนายใหญ่โจว ในแววตานั้นฉายแววความผิดหวัง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอ นางจะทำอะไรอีก จะมาบังคับกันแต่งงานหรือ” ฮูหยินโจวถามอย่างรีบร้อน
“บังคับแต่งงานอะไรกัน” นายใหญ่โจวตะคอก อารมณ์ไม่สู้ดีนัก
“แล้วนางมาหาท่านเพราะเหตุใดกัน ไม่ใช่ว่านึกเสียดาย จึงอยากจะแต่งเข้าตระกูลเราอย่างนั้นหรือ ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าท่านห้ามตกลงเด็ดขาด…” ฮูหยินโจวเอ่ย พูดไปน้ำตาก็ไหลออกมา
“ป่านนี้แล้ว! เจ้ามัวแต่คิดเรื่องนี้อยู่อีกหรือ! แต่งงานแค่นี้เรื่องใหญ่เสียที่ไหนกัน เจ้าก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่ได้!” นายใหญ่โจวปลดปล่อยความโมโหออกมาพร้อมกับเสียงตะโกน
ฮูหยินโจวถูกตะคอกจนน้ำตาหยุดไหล จ้องมองนายใหญ่โจวตาไม่กระพริบ
“ป่านนี้แล้วอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถาม
นายใหญ่โจวถลึงตามองนาง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง
“ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ท่านชายโจวหกถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางโบกมืออย่างรำคาญ “ไม่ต้องถามแล้ว เจ้าไปเก็บของให้เรียบร้อย แล้วรีบหาวันออกเดินทางได้แล้ว”
ท่านชายโจวหกมองเขาด้วยแววตาสงสัย
ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
คนเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ ตอนไม่มีเรื่องก็มักจะบอกว่ามีเรื่อง ทว่าพอเรื่องยิ่งร้ายแรงมากเท่าไหร่ก็มักจะบอกว่าไม่มีอะไร
รถม้าเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ภายในรถเงียบสงัด
นั่นไม่ใช่เพราะยามนี้ภายในรถขาดสาวใช้ช่างเจื้อยแจ้ว แต่เหลือปั้นฉินเพียงผู้เดียว
ภายในรถบรรยากาศแสนอึดอัด
ปั้นฉินมีคำมากมายอยากจะเอ่ย แต่สุดท้ายก็ปริปากพูดออกมาแค่ประโยคเดียว
“นายหญิงเจ้าคะ อย่าทุกข์ใจไปเลย” นางเอ่ย
“ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ โลกนี้อยู่ยากนัก ข้าก็แค่โมโหนิดหน่อย”
ขณะเดียวกันพวกนายใหญ่ต่งทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในเรือนนางฟ้าก็โมโหเช่นกัน
“ข้าจะมาพบเถ้าแก่ของเจ้า” นายใหญ่ต่งเอ่ยพลางมองไปที่ผู้ดูแลร้านอู๋ “เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงผู้ใด”
ผู้ดูแลร้านอู๋อมยิ้ม
“แต่ว่าเถ้าแก่ของพวกเราไม่อยู่ ข้าจะไปบอกนางให้” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องให้เจ้าไปบอก ข้าอยากพบนางเองกับตัว ข้ามีเรื่องจะพูดกับนาง” นายใหญ่ต่งเอ่ย
ผู้ดูแลร้านอู๋ยังคงปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเช่นเคย
“ทำไมกัน ยามเกิดเรื่องเช่นนี้ ก็เลยหลบซ่อนตัวอย่างนั้นหรือ” แม่นางต่งเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ข้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าฟัง พวกพี่ใหญ่สวีไม่ใช่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าในเมืองหลวง หากพวกเจ้าจะให้พวกเขาไปเป็นแพะรับบาป คงไม่ง่ายดังหวัง!”
“แม่นางพูดถึงเรื่องใดหรือ ข้าไม่เข้าใจ” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ย
“เจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็เรียกคนที่เข้าใจออกมา” แม่นางต่งเอ่ยเสียงเดือดดาล “ข้าจะเป็นพูดกับนางเอง”
“โหวกเหวกอะไรของเจ้า” นายใหญ่ต่งเอ่ยเสียงแผ่ว “มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา”
“ใช่แล้ว เจ้าอย่าโวยวายจะได้ไหม ยามนี้โวยวายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” เซี่ยงชีเอ่ยเสียงแผ่วอยู่ข้างหลัง “มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา”
“ข้าก็อยากจะพูดดีๆ อยู่หรอก แต่ไม่มีใครให้ข้าพูดด้วย!” แม่นางต่งโมโหจนร้องไห้ออกมา
ผู้ดูแลร้านอู๋กระแอมขึ้นมา
“พวกท่านทั้งหลาย ที่นี่ยังต้องทำมาค้าขาย เชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถิด…” เขาเอ่ย
“ทำมาค้าขายอะไรเล่า เกิดเรื่องเช่นนี้แล้วยังจะทำมาค้าขายอยู่อีกหรือ คนโดนจับไปแล้ว เถ้าแก่เจ้าไปหลบอยู่ที่ใดกัน ยังจะมีหน้ามาค้าขายอีกหรือ คงหนีไปแล้วกระมัง” แม่นางต่งเอ่ยทั้งน้ำตา
“แม่นางพูดเป็นเล่นไป” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ย
“พูดเล่นอย่างนั้นรึ ใครล้อเล่นกับเจ้ากัน หากจะให้ข้าล้อเล่น ข้าก็จะขอล้อเล่นกับเถ้าแก่ของเจ้าให้ได้!” แม่นางต่งตะโกน
เมื่อสิ้นคำลง ก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากนอกประตู
“เจ้าอยากพูดล้อเล่นกับข้าอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนที่ได้ยินต่างหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด นางกำลังมองมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงเช่นกัน
………………