คงเป็นแขกกระมัง

ทั้งสามคนตระกูลต่งตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ขณะเดียวกันความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว จึงไม่ทันได้ยินคำพูดเมื่อครู่

ส่วนแม่นางต่งนั้นนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนใคร

“คือแม่นางผู้นั้นนี่เอง” นางกระซิบ

“ผู้ใด” เซี่ยงชีไม่เข้าใจ

“ก็วันที่เจอพี่ใหญ่สวี พี่ใหญ่สวีออกมาส่งแขก ก็คือแม่นางผู้นี้พอดี” แม่นางต่งอธิบาย

อาจจะเป็นจะเป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิง ที่มักจะจำหญิงที่งดงามกว่าตนได้โดยไม่ตั้งใจ

เซี่ยงชีเหลือบมองอีกครั้ง แต่กลับจำได้ไม่เลยสักนิด เพราะวันนั้นเขามัวแต่ตื่นตระหนก และว้าวุ่นอยู่กับการเผชิญหน้ากับสวีเม่าซิวอย่างกะทันหัน จนไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา

ผู้ดูแลอู๋เข้าไปต้อนรับ

“พวกเขาเป็นใครหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

นายหญิงลืมไปแล้วหรือ

ปั้นฉินรีบก้าวไปข้างหน้า

“ที่ร้านอาหารวันนั้นอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ เป็นคนรู้จักของท่านชายสาม” นางเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา

เฉิงเจียวเหนียงตอบรับและก้าวเท้าเดินเข้าไป

“ท่านมาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือ” นางมองไปที่แม่นางต่งแล้วถาม

แม่นางต่งตะลึง

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะมาหาเจ้า ข้ามาหาเถ้าแก่ของที่นี่” นางเอ่ย

“ข้าคือเถ้าแก่ของที่นี่” เฉิงเจียวเหนียงพูด

แม่นางต่งประหลาดใจยิ่งนัก นายใหญ่ต่งและเซียงชีต่างก็มองมาอย่างตกตะลึงเช่นกัน

แม่นางเป็นเถ้าแก่หรอกหรือ

ครอบครัวของนางเป็นเจ้าของที่นี่ล่ะสิ

“พวกท่านเป็นใคร มาหาข้าด้วยเหตุอันใด” เฉิงเจียวเหนียงถาม

“อย่างเจ้าจะตัดสินใจได้หรือ” แม่นางต่งถามด้วยความประหลาดใจ

นายใหญ่ต่งเอ็ดนาง ก่อนจะลุกขึ้นคำนับเฉิงเจียวเหนียง

“แม่นาง พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกับฟ่านเจียงหลิน สวีเม่าซิวและพี่น้องคนอื่นๆ ” เขาพูด

เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับตอบ

“เพิ่งรู้ข่าวว่าพวกเขาทำผิด จึงเป็นห่วงยิ่งนัก เลยอยากจะมาไถ่ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง” นายใหญ่ต่งถามต่อ

“คงต้องไปถามทางการ ข้าไม่รู้ว่าหนีทหารต้องรับโทษเช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร

สีหน้าของนายใหญ่ต่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แม่นางต่งกลับอดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่

“พวกเจ้าเป็นคนทำให้ศัตรูโกรธแค้นเอง แล้วทำไมพวกพี่สวีและคนอื่นๆ ต้องเป็นแพะรับบาปแทนด้วย” นางตะโกน

“เรื่องนี้ บางทีไม่ใช่ข้าที่เป็นคนทำให้ศัตรูโกรธแค้น” เฉิงเจียวเหนียงพูด

นายใหญ่ต่งสองพ่อลูกหยุดพูด เซี่ยงชีหัวใจกระตุกวูบอย่างไม่รู้ตัวหลังจากได้ยินบทสนทนานี้

“น่าขันนัก พวกพี่สวีไม่มีญาติ ไม่มีศัตรูในเมืองหลวง หากไม่ใช่รับผิดแทนพวกเจ้า แล้วจะเป็นใครไปได้” เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ก่อนจะเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ทำให้แม่นางต่งมีความสุขยิ่งนัก

“นี่แหละถึงเป็นสิ่งที่บุรุษควรพูดและควรทำ ปกติเอาแต่แอบอยู่ด้านหลัง คนไม่รู้อาจคิดว่าข้าเป็นผู้ชายไปเสียแล้ว” นางพูดพลางมองที่เฉิงเจียวเนียง “ทำไมพี่สวีถึงถูกจับ เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ! ”

แม่นางที่อยู่ตรงหน้างดงามนัก แต่ดูเหมือนจะมีอาการเหม่อลอยอยู่บ้าง

โดยเฉพาะหลังจากได้ยินคำพูดของนาง ดวงตากลับยังคงเหม่อลอย ไม่ขยับ เอาแต่จ้องมองมาที่นาง

หากจะชื่นชมผู้ชายของตัวเองสักนิด มีอะไรแปลกประหลาดหรืออย่างไร

แววตาของนางทำให้แม่นางต่งรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ตอนที่นางรู้จักกับพี่สวีครั้งแรกน่าจะอายุเพียงสิบสี่ สิบห้า แต่ตอนนี้ผ่านมาสิบปีแล้ว ใบหน้าร่วงโรยลงไปมาก ความสาวก็ไม่ได้หลงเหลืออีกต่อไป…

“อ่อ พวกท่านคือสองสามีภรรยาคู่นั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

นี่เพิ่งจะจำพวกเขาได้หรือ

พวกสูงศักดิ์ย่อมไม่เห็นใครอยู่ในสายตา…

แม่นางต่งกำลังจะปริปากพูด เฉิงเจียวเหนียงก็ได้พยักหน้าแล้ว

“พวกท่านรู้จักกันมานานแล้วหรือ” นางถาม “คนบ้านเดียวกัน หรือสหายเก่า หรือญาติมิตร”

แม่นางต่งถูกนายใหญ่ต่งเรียกให้กลับไป

“ข้ากับพวกเขาพี่น้องทั้งแปดเป็นคนบ้านเดียวกัน” นายใหญ่ต่งตอบ “สวีเม่าซิวมีบุญคุณกับครอบครัวข้า เมื่อหกปีก่อน ข้าพาครอบครัวเดินทางออกจากเขาเม่าหยวนแล้วมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลวง”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าและหันไปหาแม่นางต่ง

“ท่านชื่นชมสวีเม่าซิวเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่แต่งงานกับเขาล่ะ” นางถามขึ้นทันที

พูดถึงตรงนี้ ทุกคนถึงกับตะลึง

สีหน้าของแม่นางต่งแดงก่ำมากยิ่งขึ้น

“เจ้าพูดจาเหลวไหล! ” เซี่ยงชีเอ่ย

“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ทุกท่วงท่าและคำพูดคำจาของนางหมายความเช่นนั้น” นางพูดพลางมองไปที่แม่นางต่ง

ตนไม่อาจเก็บซ่อนความรักที่มีต่อเขาได้ ทุกคนล้วนดูออกหรือ

แล้วเหตุใดเขาถึงมองไม่ออกเล่า

ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเขามองไม่ออก แต่เขาไม่อยากมองต่างหาก…

“ใช่ แล้วจะอย่างไรเล่า นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ข้าชื่นชมพี่สวี เขาไม่ชอบข้าจะเป็นอะไรไป” ใบหน้าของแม่นางต่งซีดเผือด นางกัดริมฝีปากล่างพลางเอ่ยเสียงแหลม

“พี่น้องแปดคนหรือ แล้วอีกคนอยู่ที่ไหน” เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจนาง หันไปหานายใหญ่ต่งแล้วถาม

แม่นางต่งถูกเมินจนรู้สึกไร้ตัวตน ในใจเหมือนโดนผ้ามัดไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก

นังตัวดี!

หัวใจของเซี่ยงชีก็เต้นถี่รัวขึ้น

เหตุใดจู่ๆ ถึงถามคำถามนี้ขึ้น นางคาดเดาอะไรบางอย่างออกแล้วหรือ

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด หญิงสาวที่เหม่อลอยตรงหน้า ทั้งๆ ที่เอื้อนเอ่ยอย่างเชื่องช้า ไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกบีบคออย่างช้าๆ และแน่นขึ้นเรื่อยๆ …

“คือข้าเอง” เขาพูดพร้อมก้าวเดินไปข้างหน้า “ถึงแม้พวกเราพี่น้องจะไม่ได้เจอกันนาน แต่ความรักยังคงเหมือนเดิม และตอนนี้พวกเขากำลังเดือนร้อน ข้าจะไม่นิ่งดูดายเด็ดขาด”

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา

“ท่านหรือ” นางเอ่ย

คำพูดแผ่วเบาสองคำค่อยๆ ลอยเข้ามาในหูของเขา แต่เซี่ยงชีกลับรู้สึกราวกับว่าถูกหินก้อนใหญ่หล่นทับ จนเขาแทบจะล้มทั้งยืน

กลัวอะไร! กลัวอะไร!

ไม่มีหลักฐานใดๆ แถมตอนนี้ทางการได้กำหนดโทษคนทั้งเจ็ดไปแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเอาผิดเขาได้

เซี่ยงชียืนหลังตรงอีกครั้ง จ้องมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างแน่วแน่

ทว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับหันหลังไม่มองเขาแล้ว

“พวกท่านมาหาข้าด้วยเหตุอันใด” นางถามโดยมองไปยังนายใหญ่ต่ง

ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือ

พูดจาไม่คิดเช่นนี้!

ตกใจหมดเลย!

เซี่ยงชีถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แม่นาง พวกเรามาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด” นายใหญ่ต่งเอ่ย “แค่อยากจะบอกว่าหวังว่าจะรักษาชีวิตของพวกฟ่านเจียงหลินให้อยู่รอดปลอดภัย นอกเหนือจากนี้พวกเราก็ทำอะไรมากไม่ได้ และหากต้องการใช้เงิน ก็ขอให้บอก”

เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเขาและพยักหน้า

“ได้” นางตอบ

เมื่อได้ยินคำตอบของนาง ใบหน้าของนายใหญ่ต่งกลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนี้ตอบรับอย่างง่ายได้ในทันที ไม่มีความจริงใจใดๆ เลย!

ในสายตาของคนเหล่านี้ ชีวิตของพวกสวีเม่าซิว ฟ่านเจียงหลิน และคนอื่นๆ ช่างไร้ค่าเสียจริง

คงทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่น พวกเขามาที่นี่เพื่อให้ผู้คนในเรือนไท่ผิงรู้ว่าพวกสวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง มีคนใส่ใจในชีวิตของพวกเขา ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายของการมาครั้งนี้แล้ว

นายใหญ่ต่งลุกขึ้นกล่าวลา แต่จู่ๆ ถูกเรียกจนต้องหยุดเดินทั้งที่เดินจากไปแล้ว

“ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของพวกท่านเลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

หญิงนางนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อย!

เซี่ยงชียกมือขึ้นกุมหน้าอก หัวใจเต้นถี่รัวแทบจะแหวกหน้าอกกระโจนออกมาอยู่แล้ว

นายใหญ่ต่งบอกชื่อแซ่ของตน ก่อนจะคำนับอีกครั้งแล้วเดินจากไป

หลังจากที่พวกเขาจากไปไม่นาน เฉิงเจียวเหนียงก็กลับไปยังสะพานอวี้ไต้

รถม้าหยุดอยู่หน้าประตู ท่านชายโจวหกสะบัดแส้ในมือแล้วเดินมาจากข้างกำแพง

ทั้งสองสบตากัน

“ปั้นฉิน เอาขนมมาที…” เฉิงเจียวเหนียงพูด

ท่านชายโจวหกจ้องเขม็ง

“เฉิงเจียวเหนียงหยุดได้แล้ว! ” เขาตะโกน

เฉิงเจียวเหนียงมองมาที่เขาและยิ้มเล็กน้อย

ความโกรธของท่านชายโจวหกหายไปทันที ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุด

‘…คือชาที่เจ้าดื่ม’

นังตัวดี!

“หากเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่ถาม ข้าแค่อยากจะมาถามว่าจะให้ช่วยหรือไม่” เขาพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด

“ช่วย” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ท่านชายโจวหกหันหลังเดินจากไป

ปั้นฉินและจินเกอร์ตะลึงงัน มองดูชายหนุ่มที่เดินออกไปไม่กี่ก้าวแล้วหยุดเดิน ก่อนจะหันกลับมาอย่างทุลักทุเล

“บอกมาเร็ว ข้ายังมีธุระอีกมาก…” เขาพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ

หลังจากท่านชายโจวหกกลับไป สาวใช้ที่รอรับอยู่ด้านในถึงก้าวเดินออกมา สีหน้าของดูเป็นกังวลนัก

“นายใหญ่จางไม่อยู่บ้านเจ้าค่ะ” นางเอ่ย “ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใด ให้ส่งจดหมายถึงท่านไหมเจ้าคะ”

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

“ตอนนี้ยังไม่ต้อง” นางตอบ

“แต่นายท่านอยู่ ท่านถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น” สาวใช้พูดด้วยความดีใจเล็กน้อย “ปกตินายท่านไม่เคยถามไถ่เรื่องของคนอื่นมาก่อน ดูเหมือนว่านายใหญ่จะกำชับก่อนไป แม้ว่านายท่านจะหัวโบราณ แต่ถ้านายใหญ่สั่งไว้ ท่านต้องช่วยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

“ข้ารู้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วรับน้ำที่ปั้นฉินยื่นให้ ทว่าไม่ได้ยกดื่มทันทีเมื่อเคย แต่กลับเหม่อลอยเล็กน้อย

สาวใช้และปั้นฉินสบตากัน

“นายหญิง เรื่องนี้รับมือยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ถาม

แม้ว่าปั้นฉินจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของนางมิอาจหลอกใครได้ นางตื่นตระหนก ทั้งยังทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าตอนออกไปข้างนอกในตอนเช้าเสียอีก

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วอมยิ้ม

“ไม่เป็นไร แค่เจอเรื่องร้ายมากเกินไปหน่อย แค่โชคร้ายที่ต้องเจอผีร้ายเท่านั้นเอง” นางพูด “ท้องฟ้าย่อมสว่างเสมอ เรื่องไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดย่อมมีทางออก”

นางหยิบแก้วขึ้นมาดื่มช้าๆ

ไม่มีคำพูดใดสำหรับค่ำคืนนี้

ท้องฟ้าสว่างไสว แต่เซี่ยงชีที่ยืนอยู่หน้าประตูเมืองกลับรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา

อาจเป็นเพราะเมื่อครู่เขาถูกทหารเฝ้าประตูคุกเรียกให้เขียนหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร

วันปกติไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงให้เขาทำเล่า

นอกจากนี้ สายตาของทหารเฝ้าประตูคุกที่มองเขาหัวจรดเท้า ทำให้เขารู้สึกหวั่นใจไม่น้อย

ไม่ใช่ว่ากำหนดโทษแล้วหรือ ยังจะต้องตรวจสอบจากจดหมายนิรนามอีกหรือ

จู่ๆ ภาพหญิงสาวที่ได้พบเมื่อวานก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเซี่ยงชีอย่างกะทันหัน

ถึงแม้จะงดงามเพียงใด แต่ก็เหมือนกับรูปปั้นหญิงงามที่แห่บนท้องถนนให้ผู้คนกราบไหว้บูชายามจัดงานวัด นางจ้องมองตนอย่างเย็นชา ไร้ชีวิตชีวาจนทำให้รู้สึกหนาวสั่น

หรือว่านางเดาออกว่าเป็นฝีมือเขา

เดาออกแล้วจะทำเช่นใดได้เล่า

นางไม่มีหลักฐาน จะทำอะไรได้

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเซี่ยงชี เขาก้มหน้ามองดูมือของตน

หลายคนรู้ว่าเขาเคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเขียนหนังสือได้ทั้งสองข้าง

ใช่ เขาเป็นคนฉลาด ความรู้ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าสวีเม่าซิว ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าสวีเม่าซิว ส่วนรูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ไปกว่าสวีเม่าซิวเช่นกัน แต่ทั้งสองต่างกันที่โอกาส ซึ่งในตอนนั้นควรเป็นเขาที่ช่วยชีวิตคนของตระกูลต่งเพียงผู้เดียว แต่เจ้านั่นดันเรื่องมากจะตามมาด้วย!

หากเป็นเขาเองที่ช่วยแม่นางต่งสี่จากรถม้าพยศ ก็จะไม่มีเรื่องให้ข้องเกี่ยวกับสวีเม่าซิว

มิใช่แค่พลาดโอกาสที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเองหรือ

ในบรรดาพี่น้องทั้งแปดคน สายตาของทุกคนล้วนมีแต่สวีเม่าซิว แต่ไม่มีใครเคยมองเห็นเขา เซี่ยงเหวินไฉผู้นี้

ยามปราบโจรผู้ร้าย สายตาของทุกคนล้วนมีแต่สวีเม่าซิว แต่ไม่มีใครเคยมองเห็นเขา เซี่ยงเหวินไฉผู้นี้

หลังจากออกจากเขาเม่าหยวน พวกเขาต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลต่งมาห้าปีแล้ว แต่คนเหล่านั้นก็ยังคงมองไม่เห็นเขาเช่นเดิม แต่เขาเชื่อว่าเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้

คิดไม่ถึงเลยว่าสวีเม่าซิวจะปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง

เมื่อคิดถึงสายใยความเป็นพี่น้อง จึงไม่ได้ไปร้องเรียน แต่ให้เงินต่อชีวิตพวกเขา โดยไม่คาดคิดว่าใจคนจะไม่รู้จักพอเช่นกัน

สวีเม่าซิวบอกเองว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัว จะไม่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงเด็ดขาด ตอนนี้หมดอนาคตแล้ว ก็คงอยากกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่าสินะ

เหตุใดสิ่งดีงามบนโลกนี้ล้วนตกอยู่ในมือเขาไปเสียหมด!

เช่นนี้ก็ดีแล้ว ในที่สุดสวรรค์ก็จัดการเขาแล้ว

ความตายเท่านั้นที่จะทำให้ถูกลืมไปตลอดกาล

เซี่ยงชีกำมือแน่น

“เซี่ยงชี”

จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างหู เซี่ยงชีตกใจจนสั่นเทิ้ม เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นสหายคนหนึ่ง

“เจ้าทำอะไร พื้นดินถูกเจ้าขุดออกไปเป็นชั้นแล้ว” สหายพูดด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยงชีหัวเราะเจื่อน หยุดกวาดลงก่อนจะเดินไปถางหญ้าอีกทาง ชายหนุ่มนั่งดื่มชา หัวเราะพูดคุยไปกับเหล่าสหายของเขา พลางมองดูผู้คนที่เดินเข้าออกประตูเมือง

“นายท่านทั้งหลาย ขอถามทางสักหน่อย”

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะพวกเขา

………………….