ตอนที่ 61 แผ่นดินไหว

จินเค่อหมิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม หนึ่งในผู้มีอิทธิพลของรุ่ยหยาง ถือว่าจ่ายเงินเร็วไม่น้อย

เงินสองล้านสำหรับเขา แม้จะนับว่าไม่มากและไม่น้อย

แต่ตระหนักถึงฟางผิงที่เข้าใกล้ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ รวมทั้งหวังจินหยางที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกัน จินเค่อหมิงจึงไม่คิดจะอิดออด

เมื่อผลตรวจร่างกายออกอย่างเป็นทางการ เขาจึงจ่ายเงินให้ทันที

รอจนได้รับแจ้งเตือนจากบัญชีธนาคาร ฟางผิงก็ยิ้มจนหน้าบาน กล่าวลากับถานเจิ้นผิงอย่างเป็นมิตร

ฟางผิงได้เงินมหาศาลจากการสอบครั้งนี้!

ครั้งก่อนหลังจากแบ่งกำไรกับหวังจินหยาง ฟางผิงเอาแต่นั่งกินบุญเก่ามาโดยตลอด

เริ่มแรกมีทรัพย์สินกว่าสามล้านสามแสน ลดลงมาจนเหลือแค่สองล้าน

ตอนนี้ค่าทรัพย์สินของฟางผิงได้ทำลายสถิติใหม่อีกครั้ง

ทรัพย์สิน : 4,895,000

ปราณ : 149 แคล

จิตใจ : 172 เฮิรตซ์

หลายวันมานี้เพราะเบียดรวมกันอยู่ในห้องตั้งสี่คน ฟางผิงจึงไม่คิดฝึกวิชา แค่หาเวลาว่างเข้าสู่สภาวะจวงกงเท่านั้น

เนื่องจากครั้งก่อนใช้ยาบำรุงเลือดและปราณไปหนึ่งเม็ด ปราณของเขาจึงฟื้นฟูเร็วอย่างยิ่ง หลายวันนี้แทบไม่ได้ใช้ทรัพย์สินในการแลกเปลี่ยนเลย

ตอนนี้ทรัพย์สินกลับพุ่งสูงเกือบห้าล้านแล้ว!

ไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน แต่ฟางผิงลองคำนวณดู จู่ๆ เหมือนจะพบว่าเขาก็เป็นคนรวยคนหนึ่งเช่นกัน

ตอนนี้ยาที่เขามีติดตัวคือ ยาบำรุงกำลังสิบแปดเม็ด ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นธรรมดาแปดเม็ด ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งห้าเม็ด ยาเสริมสร้างกระดูกและยาป้องกันอวัยวะภายในขั้นหนึ่งอย่างละหนึ่งเม็ด

นอกจากนี้ยังมีเงินสดสองล้านสามแสนเก้าหมื่นหยวน ห้องชุดที่กวนหูหยวนอีกหนึ่งที่!

หากคำนวณตามราคาตลาดแล้ว ฟางผิงคงมีทรัพย์สินส่วนตัวกว่าเจ็ดล้านแล้ว

“ผู้ฝึกยุทธ์ต้องเป็นคนมีเงินจริงๆ ด้วย…”

ฟางผิงถอนหายใจอีกครั้ง ทรัพย์สินของเขาหลักๆ นั้นมาจากหวงปินและจินเค่อหมิง

คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง อีกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม

ทั้งเงินที่เขาได้มายังไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขา คงไม่ต้องพูดถึงหวงปินแล้ว แต่เงินสองล้านของจินเค่อหมิง คาดว่าขนหน้าแข้งเขาคงไม่ร่วงด้วยซ้ำ

คนพวกนี้ควักเงินล้านออกมาโดยแทบไม่ต้องคิดอะไรจริงๆ

“ผู้ฝึกยุทธ์…ฉันก็จะรีบ…”

ฟางผิงถอนหายใจ หลายวันนี้เพราะมีพวกอู๋จื้อหาวอยู่ เขาเลยไม่สะดวกฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) ไม่อย่างนั้นปราณของฟางผิงคงทะลุหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไปแล้ว

และเมื่อถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล นั่นหมายความว่าเขาเหมาะจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว อยู่ที่ว่าจะทะลวงสำเร็จได้ในครั้งแรกหรือต้องพยายามอีกหลายครั้ง

“ไม่รู้ว่าพอเหล่าหวังรู้ผลตรวจปราณของฉันแล้วจะตกใจหรือเปล่า?”

จู่ๆ ความคิดนี้ก็แล่นเข้ามาในหัว เขากลับอยากรู้ว่าตอนที่หวังจินหยางรู้ จะมีท่าทีตอบสนองยังไง?

มหาวิทยาศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่งให้ความสนใจกับการสอบศิลปะการต่อสู้อยู่แล้ว บางทีหมอนั่นอาจรู้ผลแล้วละมั้ง?

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง

หากเป็นปีก่อน แต่ละมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คงจะให้ความสำคัญกับผลตรวจร่างกายอย่างยิ่ง

สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นชื่อว่าเป็นสมาคมที่มีอำนาจที่สุดของนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ แน่นอนว่าต้องให้ความสนใจกับกลุ่มเมล็ดพันธุ์ที่จะถูกบ่มเพาะชุดต่อไปอยู่แล้ว

ฟางผิงจึงเดาว่าหวังจินหยางอาจรู้ผลแล้ว เมื่อก่อนอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้หวังจินหยางกลับไม่มีใจมายุ่งกับเรื่องนี้

ตึกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์

ห้องประชุม

ตอนที่ผลการตรวจร่างกายแต่ละแห่งถูกประกาศอย่างเป็นทางการ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์กลับกำลังเปิดการประชุม บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด

ประธานที่ดำเนินการประชุม ไม่ใช่ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งไม่ใช่หวังจินหยางเช่นกัน แต่เป็นชายที่มีบุคลิกสุภาพเรียบร้อยอายุประมาณสี่สิบปีคนหนึ่ง

ดูเหมือนรูปร่างค่อนข้างผอมบาง แต่หน่วยก้านกลับดีอย่างยิ่ง

เขามองไปรอบๆ ห้องประชุมที่มีเพียงไม่กี่คน

ผ่านไปสักพัก ชายผู้นั้นค่อยเอ่ยว่า “นอกจากโจวโจว ฟางเหวินฮุ่ยที่ติดภารกิจ คนอื่นๆ ล้วนมาถึงกันหมดแล้ว”

พูดจบ ชายคนนั้นจึงมองไปทางชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านล่างเขา เผยยิ้มบาง “เสิ่นเฉวียน เดือนหน้านายจะจบการศึกษาแล้ว ไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้”

เสิ่นเฉวียนแฝงรอยยิ้มสดใส ส่ายหัวเบาๆ “อาจารย์จาง ผมเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์! และถึงแม้จะไม่ใช่ แต่ผมยังเป็นคนเทียนหนาน ภารกิจครั้งนี้ผมต้องเข้าร่วมอยู่แล้ว บางทีเสร็จสิ้นภารกิจ กลับมาอีกครั้งผมอาจจะทะลวงขั้นสี่ จบการศึกษาด้วยฐานะผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางก็ได้”

จางชิงหนานก็คือชายเรียบร้อยคนนั้น เขาพยักหน้าเล็กน้อย ไม่เกลี้ยกล่อมอีก

ชั่วขณะนั้น รอยยิ้มพลันหายไปจากใบหน้าของจางชิงหนาน เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมา “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ตอนนี้มีนักศึกษาสี่พันหกร้อยคน! ในนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขั้นสามเพียงสิบหกคน นอกจากโจวโจวและฟางเหวินฮุ่ยที่ไม่อยู่ ยังมีนักศึกษาปีสี่อีกหลายคนที่ติดภารกิจนอกมหาวิทยาลัย สิบเอ็ดคนที่เหลือล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด ทุกคนคงกระจ่างใจแล้วว่า จะต้องทำภารกิจร่วมกัน ส่วนความอันตรายนั้นมี…”

ที่มุมหนึ่ง หวังจินหยางเผยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “อาจารย์พูดภารกิจออกมาตรงๆ เถอะครับ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามกันทั้งนั้น พวกเรารู้อยู่แล้วว่าควรจะพิจารณากันยังไง”

จางชิงหนานชำเลืองตามองเขา ก่อนจะหลุดขำ “ก็จริง งั้นฉันไม่อ้อมค้อมแล้ว”

“ช่วงนี้ปากถ้ำใต้ดินของเทียนหนานมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่บ้าง กองทหารในพื้นที่บาดเจ็บล้มตาย เขตทหารเทียนหนาน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนาน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ซื่อชวนคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถออกมากลุ่มหนึ่ง ส่งไปควบคุมเหตุการณ์ที่ปากถ้ำใต้ดิน แต่สถานการณ์รุนแรงกว่านั้นมาก ทางเทียนหนานจำต้องขอความช่วยเหลือจากแต่ละฝ่าย ทุกคนคงทราบดี คนที่เขตทหารเทียนหนานและอีกสองมหาวิทยาลัยคัดไปต้องไม่ใช่คนอ่อนแออยู่แล้ว แต่พวกเขากลับยังต้องการความช่วยเหลือ นั่นหมายความว่าภารกิจในครั้งนี้มีความอันตรายอย่างยิ่ง”

“ทางหนานเจียงยอมรับภารกิจ ครั้งนี้ผู้ว่าจางนำทีมไปช่วยเหลือที่เทียนหนานด้วยตัวเอง…และมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงมีฉันเป็นผู้นำทีมอาจารย์และนักเรียนเพื่อให้การช่วยเหลือที่ปากถ้ำใต้ดินเทียนหนาน ตอนแรกฉันแค่อยากรวมกลุ่มกับพวกอาจารย์ แต่อธิการบดีคิดว่าพวกคุณเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามแล้ว ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ความรับผิดที่ต้องแบกรับ เมื่อถึงเวลาพวกคุณก็ต้องรับไว้! ดังนั้นการช่วยเหลือครั้งนี้ พวกคุณต้องเข้าร่วมด้วย แน่นอนว่าไม่ได้บังคับ…คนที่เข้าร่วมภารกิจ ตามธรรมเนียมต้องมีรางวัลให้อยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่เข้าร่วม ให้เซ็นรับทราบ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ตอนนี้สามารถถอนตัวออกไปได้เลย”

สิบเอ็ดคนในห้องประชุม ไม่มีใครเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

หวังจินหยางเอ่ยปากอีกครั้ง “ผู้ฝึกยุทธ์ต้องแย่งชิงอยู่แล้ว นี่ถือเป็นวิกฤตและโอกาสเช่นกัน! อาจารย์ คนมาพร้อมกันหมดแล้ว อย่ามัวแต่ตกเบ็ดล่อเหยื่อเลย ใครจะปฏิเสธกัน อีกอย่าง…”

หวังจินหยางหัวเราะขึ้นมา “อีกอย่าง ถ้าไม่เข้าร่วมจริงๆ ผู้ว่าจางนำทีมเองแบบนี้ ในอนาคตพวกเรายังจะเติบโตในหนานเจียงได้อีกเหรอครับ?”

จางชิงหนานเผยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยอย่างจนใจ “นายนี่มันรู้จักพูดจริงๆ! แต่ครั้งนี้ผู้ว่าจางนำทีมด้วยตัวเอง ถือเป็นโอกาสของทุกคน ในเมื่อไม่มีคนถอนตัว งั้นทุกคนเตรียมตัวให้ดี ยาบำรุง อาวุธต่างๆ ถ้าขาดเหลืออะไร อีกเดี๋ยวไปยื่นเรื่องขอความประสงค์ เวลากระชั้นชิดอยู่บ้าง พวกเราต้องออกเดินทางบ่ายวันนี้! ทุกคนอย่าลืมว่า ยิ่งมีความสามารถ ภาระยิ่งหนักตาม สิ่งที่พวกคุณจ่ายออกไป แลกมากับความสุขสงบของประชาชน ความมั่นคงของประเทศชาติ ขณะเดียวกัน พวกคุณก็ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นกัน มีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ทั้งเพื่อนพ้องน้องพี่ยังได้ผลประโยชน์ตาม ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ได้มาฟรีๆ อยู่แล้ว หากไม่มีคนยอมลงทุนทำอะไร นั่นคงไม่มีพวกเราในวันนี้! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของที่สอนต่อกันมา ฉันไม่อยากจะเอ่ยอะไรมาก แค่อยากบอกพวกคุณว่า หากต้องเสียสละชีวิตจริงๆ ประเทศจะดูแลครอบครัวของทุกคนเป็นอย่างดีแน่นอน!”

“อาจารย์จาง พูดให้เป็นมงคลหน่อยเถอะครับ” มีคนหัวเราะขึ้นมา “คุณพูดแบบนี้ พวกเราก็ใจไม่ดีกันแล้ว ทุกคนต่างเข้าใจหลักการพวกนี้ดี ทั้งไม่ใช่การบังคับ พวกเราเข้าร่วม เพราะว่าอยากจะได้ทรัพยากร อยากจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ คิดจะเอาแต่ประโยชน์ ไม่จ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนออกไป มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน อีกอย่างมีคุณอยู่ พวกเรารู้สึกปลอดภัย…”

จางชิงหนานหัวเราะเบาๆ “แน่นอน ฉันจะพยายามสุดความสามารถ พานักศึกษาทุกคนกลับมาด้วยกัน!”

“งั้นคงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” หวังจินหยางยืนขึ้น เดินไปพลางพูดไปพลาง

“ผมจะกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานหรือเปล่า หวังว่าจะไปแค่แป๋บเดียว ไม่งั้นต้องกินเวลาเรื่องอื่นแน่ๆ”

“อาจารย์ ผมขอตัวด้วย…”

ทุกคนพากันแยกย้ายออกไป จางชิงหนานเห็นจนชินแล้ว จวบจนทุกคนออกไปกันหมด

เขาค่อยพึมพำออกมา “วางใจเถอะ ฉันจะพาทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน!”

ฟางผิงนั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงอยู่แล้ว

เวลานี้เขายุ่งอยู่กับการสอบศิลปะการต่อสู้ ไม่มีเวลามาสนใจเท่าไหร่

ช่วงบ่าย ในขณะที่กลุ่มของหวังจินหยางมุ่งหน้าสู่เทียนหนาน เป็นเวลาเดียวกันที่ฟางผิงส่งพวกจางเฮ่ากลับบ้าน

พวกของหวังจินหยางที่เดินทางด้วยความองอาจอย่างวีรบุรุษ เทียบกับพวกนักเรียนที่สอบไม่ผ่าน ต้องรู้สึกหดหู่มากกว่าอยู่แล้ว

หน้าประตูโรงแรม เสียงร้องไห้นั้นดังอย่างไม่ขาดสาย

แม้จางเฮ่าจะไม่ได้ร้องไห้ แต่สีหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง จางหนานนั้นดวงตาแดงก่ำไปแล้ว กอดหลิวรั่วฉีเอ่ยว่า “รั่วฉี เธอต้องสอบได้แน่!”

“หยางเจี้ยน อย่าประมาทล่ะ ตั้งใจสอบวิชาอื่นให้ดี ขอให้นายสอบผ่าน!” จางเฮ่าอวยพรให้หยางเจี้ยน

คงเทียบกับฟางผิงและอู๋จื้อหาวไม่ได้ สองคนนี้มีปราณสูง โดยเฉพาะฟางผิง ถึงจะสอบวิชาวัฒนธรรมได้คะแนนน้อยไปบ้าง แต่คงต้องเดินตัวปลิวเข้ามหาวิทยาลัยได้อยู่ดี

หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีนั้นสุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง พวกเขาต้องสอบวิชาอื่นให้ได้คะแนนดี ถึงจะมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้

ทุกคนล่ำลากันแล้ว ไม่นาน นักเรียนที่ถูกคัดออกค่อยพากันขึ้นรถบัส ทยอยจากไป

การสอบศิลปะการต่อสู้ ไม่เกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว

อู๋จื้อหาวมองพวกเขาจากไป รู้สึกเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “ทำใจไม่ได้จริงๆ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ทำไมต้องเข้มงวดกันขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นทุกคนคงไม่ต้อง…”

ฟางผิงที่อยู่ด้านข้างไร้คำจะเอ่ย บางเรื่องเขานั้นไม่อาจเข้าใจได้เช่นกัน

“ไม่รู้อะไรจะเป็นสุขกว่า ตอนนี้คนที่ร้องไห้ฟูมฟายอาจจะโชคดีกว่าก็ได้ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่งภรรยาคลอดบุตร อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข มีอะไรไม่ดีกัน อิจฉาที่คนพวกนั้นจะสถานะสูงกว่า หารู้ไม่ว่าบางครั้งพวกเราก็อิจฉาพวกเขาเหมือนกัน…”

ในเวลาเดียวกัน โรงแรมที่ดีที่สุดในเขตอันผิง ลั่วทิงนั้นยืนถอนหายใจอยู่ริมระเบียง

ด้านหลังของเขามีจินเค่อหมิงยืนค้อมกายอยู่ ไม่กล้าพูดอะไร

ลั่วทิงหันหน้ามองเขา เอ่ยเรียบนิ่ง “ครั้งนี้ถือว่านายโชคดี แต่มันแค่ครั้งนี้! คนทั่วไปเสวยสุขได้น้อย จึงไม่ต้องจ่ายราคาค่างวดอะไรมากมาย พวกเราไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นคนของทางการอย่างพวกเรา ได้รับมามากเท่าไหร่ ยิ่งต้องจ่ายออกไปมากเท่านั้น! หากปีหน้าการศึกษาผู้ฝึกยุทธ์ในรุ่ยหยางยังไม่พัฒนา นายคงจะรู้แล้วว่าต้องเจอกับอะไร อีกอย่าง…”

ลั่วทิงเว้นระยะไป “ช่วงนี้ระวังหน่อย เทียนหนานมีสัญญาณเตือนแผ่นดินไหว ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในปากทางเข้าถ้ำใต้ดิน แผ่นดินไหวจึงส่งผลกระทบกับพื้นดิน เกิดปัญหายุ่งยากไม่น้อย เจ้าพวกก่อปัญหานั่น ชอบออกมาร่วมผสมโรงในเวลานี้อยู่แล้ว! คำทำนายโลกวิบัติ ถูกห้ามเผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า! เทียนหนานอาจจะเกิดปัญหาใหญ่ แม้จะไกลจากพวกเราอยู่บ้าง แต่ก็ต้องป้องกันไว้ ช่วงนี้เบื้องบนมีประกาศออกมา ถึงรุ่ยหยางจะมีหน่วยทหารและหน่วยสืบสวน แต่กระทรวงการศึกษายังไม่อาจวางใจ ควรเตรียมการเฝ้าระวังให้พร้อม หากเรื่องมาถึงประชาชน สังคมเกิดความวุ่นวาย ทั้งนายและฉันคงไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาได้แน่!”

จินเค่อหมิงใบหน้าซีดเผือด เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว!”

ลั่วทิงไม่รับบทสนทนาต่อ หมุนกายเดินออกไปทันที

——————–