ตอนที่ 62 ผู้ฝึกยุทธ์สองแบบ
รุ่ยหยาง
เมื่อนักเรียนที่ไม่ผ่านการทดสอบจากไปแล้ว ห้องในโรงแรมจึงว่างลงมาหลายห้อง
พวกฟางผิงเลยได้แบ่งกันคนละห้อง ไม่ต้องนอนเบียดกันอีกต่อไป
—
เมื่อได้อยู่คนเดียว ฟางผิงจึงมีโอกาสฝึกวิชา (เคล็ดหลอมกระดูก)
ภายในห้อง
ฟางผิงปิดห้องหับดีแล้ว เขาค่อยเข้าสู่ท่าจวงกง ทั้งฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) ไปด้วย
ตอนที่ร่างกายเคลื่อนไหวเล็กน้อย กระดูกทั่วร่างของฟางผิงก็เริ่มส่งเสียงกรอบแกรบออกมาพักใหญ่
ตอนนี้ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ด้านข้าง คงจะมองออกแล้วว่า นี่เป็นผลจากการหลอมกระดูกทั่วร่างขั้นต้นเสร็จสิ้น
พื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์ ควรหลอมกระดูกทั่วร่างขั้นต้นให้เสร็จสิ้น
เมื่อหลอมกระดูกแล้ว ปราณถึงจะแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคลได้ ต่อมาค่อยเสริมสร้างร่างกาย ไม่นานก็จะสามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง
—
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เมื่อฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) เสร็จแล้ว
ฟางผิงค่อยกลับมายืนเหมือนเดิม ขยับแขนขาเล็กน้อย กระดูกส่งเสียงกรอบแกรบขึ้นมาอีกครั้ง
เวลานี้ฟางผิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน เหมือนว่ากระดูกของตัวเองกำลังดูดซับปราณอย่างไม่หยุดหย่อน
“นี่คือผลของการหลอมกระดูกขั้นต้นสำเร็จเหรอ?”
ฟางผิงจำได้ว่าใน (เคล็ดวิชาพื้นฐาน) บอกว่า หลังจากหลอมกระดูกขั้นต้นแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ กระดูกในร่างกายจะทำงานประสานกันได้เร็วขึ้น บางคนเรียกว่า…กระดูกเริ่มหายใจ
ปกติกระดูกของมนุษย์จะทำงานแลกเปลี่ยนกับเลือดและปราณในร่างกายอยู่แล้ว คล้ายกับการหายใจ
ความรู้สึกแบบนี้ คนทั่วไปสังเกตไม่ได้ แต่รับรู้ได้
แต่ขอแค่เสร็จสิ้นการหลอมกระดูกขั้นต้น สภาวะ ‘กระดูกหายใจ’ นี้ก็จะชัดเจนมากขึ้น ทำให้คนสัมผัสได้ถึงลักษณะพิเศษของของมัน
“หลอมกระดูกแล้ว หมายความว่าร่างกายของเรา สามารถรับพลังปราณที่มากกว่านี้ได้แล้วสิ”
ฟางผิงติดที่หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคลมาหลายวันแล้ว สำหรับคนอื่น อาจจะเป็นเวลาสั้นๆ
แต่กับฟางผิง นี่ไม่ใช่เวลาสั้นๆ เลย หากเป็นเมื่อก่อนปราณเขาคงจะเพิ่มขึ้นมาเจ็ดแปดแคลแล้ว
ครั้งก่อนใช้ยาบำรุงเลือดและปราณไป หลายวันมานี้ฟางผิงตื่นเช้ามาก็รับรู้ถึงกำลังวังชาที่เต็มเปี่ยม
ตอนนี้หลอมกระดูกเสร็จแล้ว ตัวเลขที่ปรากฏเบื้องหน้าเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทรัพย์สิน : 4,895,000
ปราณ : 146 แคล (152 แคล)
จิตใจ : 168 เฮิรตซ์ (175 เฮิรตซ์)
“เอ๋…”
ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง การหลอมกระดูกครั้งนี้ สิ้นเปลืองปราณไปเล็กน้อย แต่ขีดจำกัดกลับสูงขึ้นไม่ใช่เล่น
เขายังคิดว่าคงจะเป็นเหมือนปกติ อาจจะขึ้นแค่หนึ่งแคล
คาดไม่ถึงว่าจะขึ้นมาถึงสามแคล
เพราะหลอมกระดูกขั้นต้นแล้ว เขาจึงสามารถรองรับพลังปราณได้สูงมากกว่าเดิม
“งั้นตอนนี้ฉันสามารถเลือกทะลวงด่านได้ทุกเมื่อแล้วละสิ?”
ขอเพียงแค่ปราณถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล หลอมกระดูกขั้นต้นแล้ว ใช้ยาบำรุงระเบิดปราณ ให้ปราณสามารถทะลวงเส้นเลือดได้มากขึ้น
หากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเลือกหลอมกระดูกด้านบน งั้นต้องทะลวงเส้นเลือดบริเวณแขนและมือทั้งสองข้าง
ถ้าหลอมกระดูกด้านล่าง คงต้องทะลวงเส้นเลือดขาและเท้าทั้งสองข้างแทน
ก่อนหน้านี้ (เคล็ดหลอมกระดูก) พูดถึงการทะลวงเส้นเลือดหลักในการหลอมกระดูกขั้นต้นเท่านั้น ทะลวงเส้นเลือดก็เพราะต้องการให้ปราณสามารถไหลเวียนได้มากขึ้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ การหลอมกระดูกก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกัน การทะลวงเส้นเลือดนั้นค่อนข้างอันตราย
นี่ถึงเป็นเหตุผลที่หวังจินหยางพูดว่า ในตอนทะลวงด่าน ทางที่ดีควรมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่อยู่ด้วย
“เราจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกข้างล่าง หมายความว่าตอนทะลวงด่านจะทะลวงเส้นเลือดขาและเท้าสินะ ตอนนี้เรายังไม่ค่อยเข้าใจกับพวกเส้นเลือดเท่าไหร่ หากบุ่มบ่ามทะลวงด่าน คงอันตราย…”
ตอนนี้ฟางผิงยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวเองมากนัก หากเขาทะลวงด่านตอนนี้ อาจจะทำลายตัวเองจนพิกลพิการ
ยิ่งไปกว่านั้น โน้ตในหนังสือเขียนว่า หนึ่งร้อยห้าสิบแคลเป็นขีดจำกัดของคนธรรมดาเท่านั้น
ขีดจำกัดปราณเขาเพิ่งแตะหนึ่งร้อยห้าสิบสองแคล ฟางผิงคงไม่เลือกทะลวงด่านตอนนี้อยู่แล้ว
“เรายังสามารถหลอมกระดูกทั่วร่างต่อได้ เพื่อให้ร่างกายตอบสนองกับปราณได้ดีขึ้น ภายหลังยังจะสามารถหลอมกระดูกขั้นสูงได้ง่ายขึ้น…”
ฟางผิงล้างคราบเลือดบนร่างกาย ทั้งคิดเรื่องฝึกวิชาไปพลาง
ตอนนี้ปราณของเขาสูงขึ้น กระดูกแข็งแกร่งกว่าคนอื่นเช่นกัน
หรือเขาสามารถฝึกกระบวนท่าพื้นฐานได้แล้ว?
ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ต้องมีปราณที่สูงอย่างเดียว แต่พลังต่อสู้ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น
ก่อนที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ น้อยคนจะเลือกฝึกกระบวนท่า การฝึกกระบวนท่า ต้องมีปราณที่สูงคอยหล่อเลี้ยงกระดูกและร่างกาย แต่คนทั่วไปมีข้อจำกัดของเวลา
เพิ่มปราณ หลอมกระดูก บำรุงร่างกาย ฝึกท่าจวงกง เรียนวิชาต่างๆ…
แค่เรื่องนี้พวกนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องใช้วิชาแยกร่างแล้ว จึงมีแค่ไม่กี่คนที่สามารถฝึกทักษะต่อสู้ในช่วงที่ยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์
แต่ฟางผิงสามารถเพิ่มปราณได้อย่างรวดเร็ว ทั้งไม่ต้องค่อยๆ สั่งสมวิชาเหมือนคนอื่น
หนังสือที่หวังจินหยางส่งให้เขาครั้งก่อนมี (การป้องกันตัวด้วยมือพื้นฐาน) (การต่อสู้ด้วยขาพื้นฐาน) (อาวุธเย็นเบื้องต้น) หนังสือพวกนี้น่าจะเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้
แต่ไม่มีใครสอนเคล็ดวิชาพวกนี้ให้เขา จะฝึกเองคงเป็นปัญหาไม่น้อย
สาเหตุที่ฟางผิงตระหนักถึงเรื่องฝึกกระบวนท่า อันที่จริงยังเกี่ยวข้องกับหวงปิน
สำหรับนักเรียนส่วนมาก คงคิดว่าสังคมปลอดภัย ไม่มีทางที่เกิดเรื่องร้ายกับพวกเขา
แต่ฟางผิงกังวลใจอยู่บ้าง ครั้งหน้าหากเจอคนอย่างหวงปินจะทำยังไง?
มีแค่ปราณสูง แต่ต่อสู้ไม่เป็น นั่นก็โดนอัดเละได้อยู่ดี
ตอนนี้เขามีแค่ปราณที่สูงอย่างเดียว แม้จวงกงจะมีท่าที่ตั้งรับศัตรู แต่จวงกงไม่ใช่ท่าที่ใช้ในการต่อสู้เป็นหลัก จึงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
เมื่อคิดเรื่องพวกนี้แล้ว ฟางผิงค่อยเข้าใจว่าจะรีบไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนฟางผิงจะเตรียมโทรหาเหล่าหวัง
ตอนนี้เขามีเรื่องอยากจะถามหลายเรื่อง ไม่มีเหล่าหวังชี้แนะ เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเหมือนกัน
—
ไม่กี่นาทีให้หลัง
ฟางผิงตัดสายโทรศัพท์ ไร้คำพูดอยู่บ้าง “ไม่อยู่ในเขตให้บริการ เจ้าหมอนี้บุกป่าฝ่าดงไปอยู่ที่ไหนเนี่ย!”
ติดต่อหวังจินหยางไม่ได้ ฟางผิงจึงไร้หนทาง
เขาส่ายหัว เหล่าหวังไม่อยู่ ทำได้เพียงไปคุยกับถานเจิ้นผิงอย่างเดียวแล้ว
—
ร้านกาแฟชั้นสาม
ถานเจิ้นผิงได้ฟังคำถามของฟางผิง ตกใจไปอยู่บ้าง “นายคิดจะเพิ่มปราณให้เกินหนึ่งร้อยห้าสิบแคลก่อน แล้วจะทะลวงด่าน?”
แม้ฟางผิงจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่ถานเจิ้นผิงไม่ใช่คนโง่ ฟังแล้วจึงเข้าใจความคิดเขาทันที
ถานเจิ้นผิงตรึกตรองครู่หนึ่ง “เมื่อปราณแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบ หลอมกระดูกขั้นต้นเสร็จแล้ว คนส่วนมากมักเลือกทะลวงด่านในเวลานี้ อันที่จริง ไม่ได้หมายความว่าคนพวกนี้เพิ่มปราณต่อไม่ได้ แต่ไม่คุ้มมากกว่า!”
“ไม่คุ้ม?” ฟางผิงงุนงงเล็กน้อย
ถานเจิ้นผิงพยักหน้า “ใช่ ไม่คุ้ม เพราะหลังจากปราณเลยหนึ่งร้อยห้าสิบแคลขึ้นไป ถ้านายไม่เลือกหลอมกระดูกขั้นสูง ปราณจะเพิ่มขึ้นได้ช้า สิ้นเปลืองอย่างยิ่ง อย่างเช่น ตอนที่ปราณนายอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบแคล ใช้ยาบำรุงเลือดและปราณหนึ่งเม็ด อาจจะทำให้ปราณเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแคล แต่พอปราณถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล นายกินยาบำรุงเลือดและปราณเหมือนกัน อาจได้ประสิทธิภาพเหมือนแค่ยาบำรุงเลือด ขีดจำกัดปราณกลับไม่เพิ่มขึ้น ถึงเวลานั้นนายต้องใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งแล้ว สิ้นเปลืองไม่ใช่เล่น! อีกอย่างนายยังต้องหลอมกระดูกต่อ เพื่อเพิ่มขีดจำกัดของร่างกาย หากไม่ทะลวงเส้นเลือดเพิ่ม อาศัยแค่เส้นเลือดหลัก จะได้ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าไหร่ วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ยาเสริมสร้างกระดูกในการหลอมกระดูก ยาเสริมสร้างกระดูกเม็ดหนึ่งราคาเท่าไหร่? แน่นอนว่าทุกคนอยากเพิ่มค่าปราณกันทั้งนั้น แต่เพราะมันทำไม่ได้ต่างหาก! ถ้าจะเพิ่มปราณหนึ่งร้อยห้าสิบแคลขึ้นไป ส่วนมากต้องใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งและยาเสริมสร้างกระดูกขั้นหนึ่ง สองอย่างนี้ ราคาในตลาดเม็ดหนึ่งสามแสน อีกเม็ดห้าแสน! ต้องกินยาบำรุงราคาแปดแสนลงไป ปราณนายค่อยเพิ่มขึ้นมาหนึ่งถึงสองแคล อย่างมากก็อาจจะสี่ห้าแคล จะมีสักกี่คนที่กล้าสิ้นเปลืองขนาดนี้? ทั้งยังเสียเวลาอีกมาก!”
เห็นฟางผิงจมดิ่งในความคิด ถานเจิ้นผิงจึงเอ่ยต่อ “ใช่สิ ในช่วงเวลาที่ยังเป็นคนธรรมดา ยิ่งขีดจำกัดปราณสูงเท่าไหร่ การฝึกวิชาภายหลังยิ่งจะง่ายขึ้นเท่านั้น ทั้งยังมีพัฒนาการเร็วกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่เทียบกันแล้ว คนส่วนมากยอมจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อน เพราะนายมัวแต่สิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรในช่วงที่เป็นคนธรรมดา คนพวกนั้นทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ฝึกวิชาแล้ว พอตอนที่นายทะลวงขั้นหนึ่ง คนอื่นอาจจะก้าวไปอยู่ขั้นสองแล้ว แม้นายจะมีปราณมหาศาลในขั้นหนึ่ง มีพลังต่อสู้ที่ยาวนาน แต่เทียบกับขั้นสองแล้ว นายยังห่างไกลอยู่มาก ดังนั้นฉันถึงพูดว่าไม่คุ้ม…”
ฟางผิงเข้าใจทันที แต่เขาไม่เหมือนคนอื่น สิ่งที่ถานเจิ้นผิงกังวล ฟางผิงสามารถใช้ทรัพย์สินแลกเปลี่ยนได้ “ลุงถาน งั้นถ้าคนธรรมดาเพิ่มขีดจำกัดต่อไป ปกติแล้วจะทำได้สูงสุดเท่าไหร่?”
ถานเจิ้นผิงเห็นเขาไม่ยอมแพ้ ก็ไม่คิดเกลี้ยกล่อมต่อ
วัยรุ่นมักเป็นแบบนี้แหละ คิดว่าตัวเองนั้นพิเศษกว่าคนอื่น ใช้คำพูดสวยหรูมาหว่านล้อม บางทีอีกฝ่ายยังจะคิดว่าคุณประสงค์ร้าย อิจฉาริษยาเขา
ทั้งตอนนี้ฟางผิงถึงขีดจำกัดแล้ว หมายความว่าหวังจินหยางคงจะสนับสนุนเขาไม่น้อย พรสวรรค์และความพยายามของเขานั้นมีมากพอแล้ว
คนแบบนี้ต้องการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต เกลี้ยกล่อมไปคงไม่มีประโยชน์
“น่าจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่ ตอนที่ฉันเรียนคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ มีคนทำได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเก้าแคล นี่แค่ในคลาสฝึก ถ้าเป็นในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ทั้งบางคนที่บ้านมีฐานะ มีความสามารถ ปราณอาจจะสูงมากกว่านี้ แต่จะเพิ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหน่วยลงท้ายด้วยเลขเก้า”
“งั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง มีปราณประมาณเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ถ้าเพิ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง จริงๆ ปราณไม่ได้สูงมาก ประเด็นต้องดูที่การหลอมกระดูก เหมือนกับฉัน หลอมกระดูกส่วนล่างแล้ว ขีดจำกัดปราณอยู่ที่สองร้อยห้าสิบแคล! แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งระดับต้น อาจจะประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบถึงแปดสิบแคล ปราณแตะสองร้อยแคลแล้ว ค่อยหลอมกระดูกไปอีกขั้นหนึ่ง”
ฟางผิงพยักหน้า ถามเรื่องเกี่ยวกับการฝึกวิชาอีกเล็กน้อย
ท้ายที่สุดฟางผิงยังถามถึงเรื่องทักษะการต่อสู้
ถานเจิ้นผิงส่ายหัวเล็กน้อย เตือนว่า “ยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฉันแนะนำว่านายอย่าเพิ่งฝึกวิชาต่อสู้ เสียเวลาเกินไป ทั้งตอนนี้เป็นยุคสมัยที่สงบสุข แม้จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ บางคนยังไม่ฝึกการต่อสู้ด้วยซ้ำ ฝึกแค่หลอมกระดูกบ่มเพาะปราณเท่านั้น”
“หา?”
ฟางผิงตะลึงอยู่บ้าง ความหมายของถานเจิ้นผิงคือ ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนมากเป็นแค่ดอกไม้ประดับแจกัน?
แต่คำพูดนี้ ไม่เหมือนกับที่หวังจินหยางเคยบอกเขาเลย
เขาและหวังจินหยางติดต่อกันหลายครั้ง หวังจินหยางเคยพูดว่า ‘ผู้ฝึกยุทธ์ต้องต่อสู้เป็นหลัก’ ระดับขั้นพวกนี้เป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น
หากดูแค่ระดับขั้น ตอนที่พี่หม่าทะลวงถึงขั้นแปด ทำไมถึงต้องประลองกับแทมล่ะ อวดเรื่องระดับขั้นกันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ
หรือเพราะมุมมองไม่เหมือนกัน เลยสร้างกรอบความคิดแบบนี้ออกมา?
ถานเจิ้นผิงมาจากคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ ภายหลังอาศัยฐานะผู้ฝึกยุทธ์ทำงานกับทางการของหยางเฉิง
แต่ผ่านมาหลายปี กลับอยู่ขั้นหนึ่งมาตลอด
เขาอยู่หยางเฉิง คงไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมืออยู่แล้ว แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่ทำผิดกฎหมายอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นหน้าที่ของหน่วยสืบสวน
ถานเจิ้นผิงกล่าวว่าไม่มีความจำเป็นต้องเรียนต่อสู้ อาจจะไม่ได้หลอกฟางผิง แต่บางทีเขาคงจะคิดแบบนี้จริงๆ
แม้ฟางผิงจะฟัง กลับไม่ได้เห็นด้วยเป็นจริงเป็นจัง เขาไม่อยากเป็นแค่ดอกไม้ประดับแจกัน
ตั้งแต่เห็นปรมาจารย์สองคนประลองกัน ฟางผิงก็ให้ความสนใจกับมนุษย์อาร์พีจีเคลื่อนที่อย่างยิ่ง
แต่เห็นถานเจิ้นผิงไม่มีท่าทีสนใจการต่อสู้ ฟางผิงจึงไม่ถามต่อ รองผู้อำนวยการคนนี้คงไม่ค่อยเข้าใจอะไร
ตอนแรกฟางผิงยังคิดว่าจะได้รับการชี้แนะเรื่องนี้จากเขา ตอนนี้ช่างเถอะ
“กลับไปถามเหล่าหวังดีกว่า…”
ในสายตาฟางผิง หวังจินหยางนั้นน่าเชื่อถือกว่าถานเจิ้นผิง นอกจากหมอนั่นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามแล้ว ยังลงมือฆ่าคนได้อย่างเยือกเย็น
คนแบบนี้ แม้เขาจะไม่เคยเห็นการต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่คาดว่าคงจะไม่อ่อนด้อยแน่
ไม่งั้นตอนที่เหล่าหวังอยู่ขั้นสอง คงไม่กล้าจัดการหวงปินตามลำพังหรอก
เขาพูดคุยกับถานเจิ้นผิงสักพัก ก่อนจะขอบคุณและบอกลา
เห็นฟางผิงเป็นคนจ่ายเงิน ถานเจิ้นผิงก็เผยยิ้มไม่พูดอะไร แต่เมื่อครู่เขามองออกเช่นกันว่า ฟางผิงไม่ได้สนใจที่เขาพูดเท่าไหร่
“เป็นเด็กนิสัยดีไม่น้อย…”
ถานเจิ้นผิงถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร
หากเป็นตัวเอง ถึงขีดจำกัดตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย เขาคงจะคิดมากกว่านี้เหมือนกัน
—
กลับมาที่ห้องของโรงแรม ฟางผิงโทรหาหวังจินหยางอีกครั้ง
ยังคงอยู่นอกเขตบริการ!
ฟางผิงหงุดหงิดอยู่บ้าง เหล่าหวังไปไหนกัน?
ที่จริงเขาอยากถามว่า ตอนแรกที่เหล่าหวังยังไม่ทะลวงด่าน บ่มเพาะค่าปราณได้สูงเท่าไหร่ จะได้เอามาวิเคราะห์กับตัวเอง
แต่ตอนนี้ติดต่อหวังจินหยางไม่ได้ ฟางผิงไร้หนทาง ทำได้เพียงค่อยถามวันหลัง ตอนนี้เขาเพิ่งจะทะลวงหนึ่งร้อยห้าสิบสองแคล ยังมีเวลาอีกมาก
ต่อจากนี้ยังต้องทำใจให้สบายเตรียมสอบวิชาอื่นๆ รอสอบเสร็จแล้วค่อยถามก็ไม่สาย
———————–