เล่ม 1 ตอนที่ 227 นี่คือเบาะแสของภารกิจหรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

“นายน้อย…” เงาสงสารเขายิ่งนัก

 

 

เขาเฝ้าปกป้องดูแลลู่เจี้ย เลี้ยงดูเขาแต่เล็กจนโต คำทำนายที่ว่ามีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบแปดปี เหมือนดั่งคำสาปที่คอยตามโอบล้อมลู่เจี้ยไว้

 

 

“ไปสืบข่าวของราชสำนักซีเฉียนมา ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าให้เสียโอกาส” ลู่เจี้ยโบกมือแล้วออกคำสั่งแก่เงา

 

 

เวลาหนึ่งปีกว่า ราชวงศ์จยาเซียนได้ผนวกต้าฉินและยึดครองรัฐฉู่ไปแล้ว ก่อนจะถอนกำลังทหารในฤดูหนาว เมืองซย่า และเชียนฉีก็เป็นลูกไก่ในกำมือเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้กลายเป็นหนึ่งในสามเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในแถบทางใต้

 

 

ภายใต้การวางแผนของเขา เมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็จะลงมือกับเมืองสุ่ยหันทันที

 

 

ราชสำนักสุ่ยหันอ่อนแอไร้ความสามารถ ไร้ซึ่งแม่ทัพที่แข็งแกร่งในประเทศ หากจะคว้ามาก็ไม่ได้เสียกำลังหรือเวลามากเท่าไร แต่ทว่า เขากลับระแวงซีเฉียนเมืองเพื่อนบ้านสุ่ยหันมากกว่า

 

 

เหตุผลประการแรกคือ ต้องป้องกันซีเฉียนฉวยโอกาสส่งกำลังทหารมา ประการที่สองเนื่องจากซีเฉียนคือเป้าหมายต่อไปของเขาหลังจากที่ได้สุ่ยหันมาครอบครอง

 

 

หมากนี้ ได้ฝังไว้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ปกปิดไว้ไม่กระทำการใด ก็เพื่อรอคอยวันที่เขาออกคำสั่ง

 

 

“นายน้อย ท่านควรพักผ่อนนะขอรับ” เงากล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

ลู่เจี้ยกลับส่ายหน้า “เงา เวลาข้าเหลือไม่มากแล้ว ไม่มีเวลาให้เสียเปล่า เมื่อข้าตายไป ก็มีเวลาพักผ่อนถมเถแล้ว”

 

 

“นายน้อย!” คำพูดนี้ ทำให้เงายิ่งทุกข์ใจ

 

 

“ไปเถิด ไปทำตามที่ข้าบอก” ลู่เจี้ยหยุดเขาไม่ให้พูดโน้มน้าวต่อ

 

 

เงาจนใจจึงทำได้เพียงถอยร่นออกไป สั่งให้คนไปรวบรวมข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับซีเฉียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลเกี่ยวกับราชสำนักของซีเฉียน

 

 

ลู่เจี้ยเคยกล่าวว่า ข้อมูลที่ดูเหมือนไม่สำคัญ อาจจะกลายเป็นก้าวสำคัญที่จะเอาชนะศัตรูได้

 

 

ฉะนั้น สายสืบที่ตระกูลลู่บ่มเพาะนั้น ไม่เคยปล่อยข้อมูลใดให้หลุดรอดไปเลยสักนิด

 

 

 

 

ในสถานที่การสอบวัดผลของสถาบันไป๋หยวน ที่ที่ถูกมู่ชิงเกอผนึกไว้ ในดวงตาอันสดใสและเปล่งประกายของเจียงหลี จ้องมองดูนาง

 

 

ถูกนางมองเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็พูดอะไรไม่ออก

 

 

เหมือนว่า หากนางให้คำตอบที่ทำให้เจียงหลีพอใจไม่ได้ ก็จะถูกกินเข้าไปอย่างนั้น

 

 

“รายละเอียดนั้น ข้าต้องเห็นเขาก่อนจึงจะรู้ได้” สุดท้ายมู่ชิงเกอก็ให้คำตอบกว้างๆ ไป

 

 

สายตาของเจียงหลีนั้นผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ปล่อยวางในทันใด “ข้าใจร้อนเอง เช่นนั้นก็รอให้ออกไปแล้ว ข้าพาเจ้ากลับเมืองเห็นคนผู้นั้นแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไป

 

 

นางยังคงไม่พูดอะไร คนผู้นั้นในใจเจียงหลี อาจจะกำลังตามมา ขอเพียงนางออกไปจากที่นี่ ก็จะได้พบกับเขาทันที

 

 

เจียงหลีในตอนนี้ ต้องรวบรวมสติแล้วทำการสอบวัดผลให้เสร็จสิ้น

 

 

เรื่องอื่น พักไว้ชั่วคราว!

 

 

ทั้งสองคุยไปพลางดื่มไปพลาง ไม่นาน สุราที่มู่ชิงเกอนำออกมาก็หมดเกลี้ยง

 

 

“หมดแล้ว” เจียงหลีถือไหสุราเขย่าลงพื้นอย่างแรง สุราที่หยดออกมาจากข้างในหนึ่งหยดนั้น นางก็ใช้ปากรับแล้วกลืนลงไป

 

 

“เจ้าก็ดื่มต่อไม่ได้แล้วเช่นกัน” มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว

 

 

“นี่เป็นสุราของบ้านเกิดเชียวนะ! หลังจากครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้ดื่มอีกครั้งเมื่อไร” เจียงหลีถอนใจ

 

 

มู่ชิงเกอยิ้ม “โลกใบนี้ เหมือนว่าจะไม่มีสิ่งของที่คล้ายกับวงแหวนอวกาศ ตามกฎแล้วเป็นสิ่งที่ถูกห้าม ฉะนั้น สุราที่ข้านำมาจากโลกใบเล็กนั้น ต้องวางไว้ด้านนอกเท่านั้น เมื่อตอนที่ข้าจากไป เจ้าเตรียมสถานที่หนึ่งให้กับข้า ข้าจะซ่อนสุราไว้ให้เจ้าที่ตรงนั้นแล้วกัน”

 

 

“เช่นนี้จะดีมาก!” เจียงหลีตื่นเต้นดีใจอีกครั้ง

 

 

แต่ว่า ได้ยินมู่ชิงเกอพูดถึงเรื่องที่จัดเก็บแล้ว นางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเหมือนนางจะไม่เคยสัมผัสกับสิ่งของประเภทนี้มาก่อน

 

 

ที่แท้ เพราะกฎของโลกใบนี้ไม่อนุญาตให้เป็นเช่นนี้นี่เอง!

 

 

เช่นนั้น ปัญหาก็คือ…ต่อจากนี้เมื่อท่องไปในยุทธภพ นางจะหอบข้าวของติดตัวไปเช่นนี้ก็คงไม่ได้ เพราะการทำเช่นนี้ยุ่งยากลำบากนัก!

 

 

มู่ชิงเกอเหมือนว่าจะเห็นความลังเลในสายตาของเจียงหลี จึงกล่าวด้วยความรู้สึกน่าขัน “อย่ารีบร้อนไป การมีอยู่ก็คือสัจธรรม บนโลกใบนี้ไม่มีเครื่องเก็บพื้นที่ อาจจะมีสิ่งของอย่างอื่นแทนที่ เพียงแต่เจ้ายังไม่ได้สัมผัสกับมันเท่านั้น”

 

 

เจียงหลีพยักหน้า แล้วไม่นึกต่อ

 

 

ทั้งสองคุยกันอีกสักพัก มองดูฟ้าด้านนอกที่ค่อยๆ มืดลง แล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อเจียงหลีลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นวันรุ่งขึ้นแล้ว ท้องฟ้าก็สว่างแล้วเช่นกัน

 

 

ส่วนมู่ชิงเกอไม่รู้ว่าลุกขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าของนาง มองสำรวจเสาหินอย่างสนใจ

 

 

เจียงหลีเข้าไปถาม “เจ้าดูอะไรอยู่หรือ”

 

 

“ดูเสาหินพวกนั้น” มู่ชิงเกอไม่ได้ปิดบังอะไร ยกมือขึ้นชี้ไปทางเสาหินที่เหมือนดั่งเจดีย์เหล่านั้น

 

 

เจียงหลีกวาดสายตามองไป ไม่พบความผิดปกติใด “มีอะไรน่าดูกัน ก็เป็นแค่กองหินผุพังเท่านั้นมิใช่หรือ” หากเสาหินเหล่านี้ สร้างมาจากหินวิญญาณ นางอาจจะสนใจบ้างก็ได้

 

 

“เจ้าลองดูดีๆ อีกครั้ง” มู่ชิงเกอยิ้มแต่ไม่ตอบคำถาม ประสงค์จะให้เจียงหลีค้นพบด้วยตนเอง

 

 

คนผู้นี้เกียจคร้านนัก ต้องคอยกระตุ้นนางเป็นพักๆ

 

 

เจียงหลีเหลียวมองด้วยความสงสัย แล้วดูเสาหินเหล่านั้นอย่างตั้งใจ เหมือนว่าจะหาจุดที่ทำให้มู่ชิงเกอสนใจบนเสาหินนั้น

 

 

การสนทนากันทั้งวันในเมื่อวานนี้ ทำให้ทั้งสองต่างก็รู้เรื่องราวประสบการณ์ของกันและกัน

 

 

แต่ว่า นางก็ไม่ได้พูดถึงวิญญาณประหลาดเลย ใช่ว่าไม่เชื่อใจ แต่ไม่อยากให้มู่ชิงเกอเป็นกังวล นางคิดว่าในเมื่อวิญญาณประหลาดนั่นไม่ได้มีประสงค์ร้ายใด เรื่องนี้ก็ไม่ต้องรบกวนให้มู่ชิงเกอจัดการให้

 

 

เวลาในการสอบผ่านไปแล้วหนึ่งวัน นางก็ควรละทิ้งความคิดอื่น แล้วคิดเรื่องการสอบอย่างตั้งใจ

 

 

สุดท้ายมู่ชิงเกอก็ต้องจากไป ส่วนการเดินทางในโลกใบนี้ของนางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

 

 

“เอ๊ะ” เจียงหลีส่งเสียงร้องตกใจขึ้นมากะทันหัน

 

 

มู่ชิงเกอมองไปทางนาง “พบอะไรหรือ”

 

 

เจียงหลีมองไปทางเจดีย์นั้น “เจ้าดูก้อนหินสีสันต่างกันเหล่านั้น ดูเหมือนจะวุ่นวายไร้ระเบียบ แต่หากเชื่อมต่อก้อนหินที่มีสีเดียวกันแล้ว ป่าหินนี้ก็เหมือนถูกวาดเป็นภาพออกมาเลยนี่!”

 

 

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ถูกต้อง!”

 

 

ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกาย กล่าวเสียงแผ่วเบา “ต้องหาที่สูงดูภาพนี้ให้ละเอียด”

 

 

“เจ้าว่าตรงนั้นเป็นอย่างไร” มู่ชิงเกอชี้ไปทางภูเขาสูงแห่งหนึ่งแล้วเสนอขึ้น

 

 

เจียงหลีมองตามที่ที่นางชี้ไป พยักหน้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ได้ ไปที่นั่นกัน! ”

 

 

“ข้าพาเจ้าไปเอง เราล่าช้าไปหนึ่งวันแล้ว ต้องเร่งเวลาหน่อย” มู่ชิงเกอกล่าวแล้วเข้าไปข้างกายนาง คว้าเอวนางไว้แล้วพานางลอยไป

 

 

ความเร็วนั้น รวดเร็วดั่งดาวตกแล่นผ่าน ทำให้คนที่ผ่านไปมาบนพื้นนั้นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไป ในใจก็คิดแปลกใจว่ากลางวันแสกๆ ทำไมถึงได้มีดาวตกได้

 

 

แค่เพียงพริบตา ทั้งสองก็ถึงยอดเขาสูงชันนั้นแล้ว สามารถมองเห็นป่าหินทั้งผืน

 

 

เวลานี้ ก้อนหินที่ถูกทาด้วยสีสันต่างๆ ก็ปรากฏอยู่ในดวงตาของทั้งสอง ก้อนหินที่กระจัดกระจาย ถูกโยงเป็นเส้นในสมอง ภาพแผนที่ก็ค่อยๆ ปรากฏอยู่ในดวงตาอันสดใสของเจียงหลี

 

 

“แผนที่! แต่ไม่รู้ว่าแผนที่นี้หมายถึงที่ใด! เกี่ยวข้องกับภารกิจหรือไม่” เจียงหลีกล่าวเสียงแผ่วเบา

 

 

มู่ชิงเกอเสนอแนะ “ในเมื่อไม่มีเบาะแสอื่น ก็ถือว่านี่คือเบาะแสของภารกิจไปก่อน ไม่แน่ว่าหากพวกเราหาสถานที่บนแผนที่นี้ได้ ก็จะพบว่าภารกิจคืออะไร”

 

 

“อืม! ” เจียงหลีพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

หลังจากนั้น ทั้งสองก็ไปยังจุดหมายตามที่แผนที่ชี้นำไป