ตอนที่ 161 เปลี่ยนตัวแม่ทัพ

ชายาเคียงหทัย

“ข้ากล้าเผาเมืองซิ่นหยาง ก็ไม่กลัวที่จะสังหารขุนนางไร้ประโยชน์อีกสักสองคนหรอกนะ!”

 

 

เมื่อนางเอ่ยปากออกไปเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันตกใจ รีบเงยหน้าขึ้นมองสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงาม แต่กลับเลือดเย็นประหนึ่งเกล็ดน้ำแข็ง พวกเขาประหนึ่งถูกรังสีสังหารสาดเข้าใส่ จนเย็นเยียบเข้าไปถึงในใจ ความดูถูกที่เดิมเคยมี มลายหายไปในชั่วพริบตานั้นเอง

 

 

ซุนสิงจือใบหน้าขาวซีดขึ้นทันที ก่อนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ข่าวของเมืองซิ่นหยางนั้นพวกเขายังไม่ได้รับเลยจริงๆ ข่าวที่เยี่ยหลีจะเดินทางมายังเมืองนี้ก็เพิ่งได้รับก่อนที่คณะของเยี่ยหลีจะเดินทางมาถึงประตูเมืองเพียงไม่เท่าไรเท่านั้น พวกเขาก็รีบร้อนออกมาจัดการต้อนรับ

 

 

ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเยี่ยหลีเผาเมืองซิ่นหยาง ถึงแม้จะตกใจไม่น้อย แต่ตนก็จะไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าขุนนางน้อยใหญ่และพ่อค้าในเมืองซิ่นหยางอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาประจำการยังเขตซีเป่ย ในเขตซีเป่ยแล้ว เขาเป็นขุนนางที่มีลำดับขั้นสูงที่สุด

 

 

ซุนสิงจือหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “พระชายาติ้งอ๋อง! ซิ่นหยางเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของเขตซีเป่ย ท่านวางเพลิงเผาเมืองซิ่นหยางโดยไม่แม้แต่จะหารือกับข้าน้อยสักคำ ท่านยังเห็นราชสำนักและองค์ฮ่องเต้อยู่ในสายตาหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หารือ? ข้าก็คิดอยากหาคนมาหารือด้วยอยู่หรอก เพียงแต่…ไม่รู้ว่ายามนั้นใต้เท้าซุนไปอยู่เสียที่ใด”

 

 

“เรื่องนี้…” ซุนสิงจือกลอกตาด้วยความลนลาน ก่อนเอ่ยด้วยท่าทีองอาจอีกครั้งว่า “ข้าน้อยเป็นผู้ตรวจการเขตซีเป่ย ย่อมมิอาจประจำการอยู่ที่เมืองซิ่นหยางเพียงเมืองเดียวได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเยาะ “แต่ข้ากลับได้ยินว่าใต้เท้าซุนออกจากเมืองหลวงตั้งแต่วันแรกที่เมืองซิ่นหยางถูกตีแตก ใต้เท้าซุนรู้หรือไม่ว่า ที่เมืองซิ่นหยางแตกนั้น มีชาวบ้านต้องล้มตายกันไปจำนวนเท่าใด”

 

 

“เรื่องนี้…”

 

 

ไม่รอให้เขาตอบ เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ชาวบ้านในเมืองซิ่นหยางทั้งหมด ไม่เหลือแม้สักคนเดียว ล้มตายกันไปนับแสนคน ใต้เท้าซุนเป็นถึงขุนนางสูงสุดของเขตซีเป่ย ย่อมต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับประชาชนชาวซีเป่ยทุกคน พวกเขาตายเสียแล้ว เหตุใดท่านจึงยังมีชีวิตอยู่”

 

 

คำพูดประโยคนี้ ทำให้สีหน้าซุนสิงจือเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้ถึงรังสีสังหารที่แผ่ออกมาจากกองทัพตระกูลม่อทุกคนที่ติดตามเยี่ยหลีมา จึงนึกตกใจจนมิกล้าพูดอันใดให้มากความอีก

 

 

ฉีอันหรงรีบก้าวออกมาเอ่ยว่า “พระชายาโปรดระงับโทสะก่อนพ่ะย่ะค่ะ เชิญพระชายาเข้าไปพักผ่อนที่ในเมือง…”

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ เมื่อทำให้เขาเงียบปากลงได้แล้ว ถึงได้ยกเท้าเดินเข้าเมืองไป

 

 

จั๋วจิ้งที่เดิมอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีหยุดยืนอยู่หน้าฉีอันหรง เอ่ยด้วยสีหน้าเยียบเย็นว่า “ใต้เท้าทุกท่านควรไปทำอันใดก็ไปทำเสีย เกรงว่าพระชายาคงจะไม่มีเวลามาร่วมงานเลี้ยง” พูดจบก็ไม่สนใจว่าฉีอันหรงจะมีสีหน้าเช่นไร หมุนตัวเดินตามเยี่ยหลีเข้าเมืองไปทันที

 

 

ฉีอันหรงอึ้งไป หันมองซุนสิงจืออย่างทำอันใดไม่ถูก “ใต้เท้าซุน นี่…”

 

 

ซุนสิงจือส่งเสียงหึเบาๆ “อย่างไรแผ่นดินซีเป่ยนี้ก็เป็นของฝ่าบาท!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินตามเข้าเมืองไปอีกคน

 

 

เมื่อเข้าไปในเมืองแล้ว สภาพบรรยากาศภายในเมืองหงโจวกลับทำให้ผู้บัญชาการทหารทุกคนอดรู้สึกโกรธไมได้ ทั่วทั้งเมืองถึงแม้จะไม่ถึงกับมีการร้องเล่นเต้นรำกัน แต่แค่เพียงมองจากนายทหารรักษากำแพงเมืองและทหารที่ประจำการอยู่ในเมือง ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า นี่เป็นกองกำลังทหารและเมืองที่กำลังจะถูกศัตรูบุกมารุกราน การป้องกันเมืองเป็นไปอย่างหละหลวม นายทหารและผู้บัญชาการทั้งหลายต่างไร้ความระแวดระวัง

 

 

ผู้บัญชาการทหารผู้หนึ่งที่เดินตามหลังเยี่ยหลีเข้ามาถึงกับสีหน้าไม่สู้ดี ยามนี้ที่เมืองหงโจวยังไม่ถูกคนซีหลิงยึดครองก็ถือว่าเทวดาฟ้าดินช่วยปกป้องคุ้มครองไว้แล้ว

 

 

ยังไม่ทันเข้าจวนผู้ว่าการ เยี่ยหลีก็หันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นจัดว่า “นำหัวหน้าแม่ทัพที่รักษาการเมืองหงโจวมาพบข้าที”

 

 

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อเข้าไปในจวนผู้ว่าการ บรรดาบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่ก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที สตรีชนชั้นสูงที่อยู่ในเครื่องแต่งกายหรูหราและสตรีสาวที่มีเครื่องประดับเต็มตัวเดินนำหน้าออกมาทำการคารวะ “ข้าน้อยยินดีต้อนรับพระชายา พวกเรา…”

 

 

เยี่ยหลีกวาดตามองพวกนางรอบหนึ่ง เพียงแค่ดูจากความหรูหรา ลำดับขั้นของเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของสตรีชนชั้นสูงกลุ่มนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือสตรีในตระกูลของซุนสิงจือและฉีอันหรง จวนผู้ตรวจการของซุนสิงจือเดิมทีอยู่ในเมืองซิ่นหยาง ตั้งแต่พาภรรยาและบุตรหลบหนีมาที่หงโจว ก็มาพักอาศัยอยู่ที่จวนผู้ว่าการเป็นการชั่วคราว

 

 

เยี่ยหลีมองบรรดาสตรีที่มีเครื่องประดับอัญมณีอยู่เต็มตัวตรงหน้าด้วยสีหน้ารังเกียจ เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “เอาตัวพวกนางออกไป!” พูดจบก็เดินผ่านบรรดาสตรีที่ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ เข้าไปยังห้องโถงทันที

 

 

ความรวดเร็วในการจัดการของกองทัพตระกูลม่อนั้นเป็นอย่างไรคงไม่ต้องสงสัย ยามที่คณะของเยี่ยหลีเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่นั้น หัวหน้าแม่ทัพของเมืองซิ่นหยางก็ถูกพาตัวมาถึงหน้าประตูพอดี

 

 

เยี่ยหลีหันมองเขาทีหนึ่ง ก็พบว่าคนผู้นี้มิได้อยู่ในกลุ่มคนที่ต้อนรับพวกนางที่หน้าประตู เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงแล้ว เยี่ยหลีก็เดินไปนั่งลงด้านหลังโต๊ะหนังสือ ซุนสิงจือและฉีอันหรงเองก็เดินตามกันเข้ามานั่งลงเช่นกัน

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านบน ซุนสิงจือก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “พระชายา ผู้มาถือเป็นแขก ผู้เป็นแขกจะดูถูกเจ้าบ้านเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดมุ่น เริ่มรู้สึกรำคาญใจกับซุนสิงจือผู้ไม่กลัวตายผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้ว หรือเขาคิดว่าการที่เขามีม่อจิ่งฉีหนุนหลังอยู่ จะทำให้นางมิกล้าทำอันใดเขาอย่างนั้นหรือ

 

 

“ใต้เท้าซุน หากไม่มีธุระอันใดก็เชิญหาที่นั่งไปก่อนเถิด ไว้ข้าจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว จะไปพูดคุยกับใต้เท้าซุนอีกที”

 

 

ซุนสิงจือเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “พระชายาเป็นกุลสตรี ย่อมต้องคอยดูแลความเป็นไปของเรือนพักด้านหลัง และช่วยท่านอ๋องจัดการเรื่องภายในตำหนักติ้งอ๋อง ท่านอาศัยสิ่งใดถึงได้ขึ้นไปนั่งอยู่ด้านบนและสั่งให้คนจับตัวแม่ทัพหวังมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“อาศัยสิ่งใด?” เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็นเยียบ “อาศัยที่ยามนี้ข้าเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพตระกูลม่อในเขตซีเป่ยอย่างไรเล่า”

 

 

ซุนสิงจือถึงกับเบิกตาโพลง เอ่ยอย่างไม่เชื่อว่า “ล้อเล่นอันใดกัน หัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพตระกูลม่อจะเป็นกุลสตรีไปได้อย่างไร ต่อให้ท่านเป็นพระชายาติ้งอ๋อง…ก็ไม่มีสิทธิมาชี้นิ้วสั่งการภายในเมืองหงโจว!”

 

 

เยี่ยหลีคร้านจะสนใจคนผู้นี้ จึงหันไปส่งสายตาให้ฉินเฟิง ฉินเฟิงก็โบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์สองนายเข้าไปจับตัวซุนสิงจือ กดให้นั่งลงกับเก้าอี้ทันที

 

 

ซุนสิงจือเป็นบัณฑิตสายบุ๋น ต่อให้พยายามขัดขืนเช่นไรก็มิอาจสลัดองครักษ์หนุ่มที่แข็งแรงกำยำสองคนไปได้ จึงถูกกดเอาไว้จนมิอาจขยับไปไหนได้ ทำได้เพียงถลึงตาจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธจัดเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง ระบายยิ้มอ่อนๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าซุนหากคิดจะก่อกวนข้าอีก ก็อย่าว่าข้าหากข้าจะเสียมารยาทกับขุนนางแห่งราชสำนักเลยนะ”

 

 

ซุนสิงจือกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าจะต้องร้องเรียนตำหนักติ้งอ๋องกับฝ่าบาทเป็นแน่!”

 

 

“ตามสบาย” ภายใต้สถานการณ์เช่นในยามนี้ จะร้องเรียนหรือไม่ มีอันใดแตกต่างกันหรือ เยี่ยหลีหันมองไปทางผู้บัญชาการทหารที่ถูกคนจับไว้เช่นกัน “แม่ทัพหวัง? หัวหน้าแม่ทัพแห่งหงโจว หวังตั๋ว? เกี่ยวข้องอันใดกับหวังเจาหรงที่ในวังหรือ”

 

 

หลังจากหวังตั๋วพยายามขัดขืนแต่ไม่เป็นผล จึงเงยหน้าขึ้นถลึงตามองเยี่ยหลี “หวังเจาหรงเป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของข้า ที่พระชายาทำเช่นนี้หมายความเช่นไร ยังไม่ปล่อยตัวข้าอีก อย่าลืมว่าข้าต่างหากที่เป็นหัวหน้าแม่ทัพของหงโจว”

 

 

เยี่ยหลีพลิกม้วนกระดาษบนโต๊ะหนังสือดู ก่อนปัดลงทิ้งกับพื้นและไปตกอยู่ตรงหน้าหวังตั๋วพอดี “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ใช่หัวหน้าแม่ทัพแห่งหงโจวอีกต่อไป เจ้าดูเอาเองเถิด”

 

 

หวังตั๋วมิได้ก้มลงไปหยิบม้วนกระดาษที่พื้น แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธจัดว่า “พระชายา ที่ทำเช่นนี้หมายความเช่นไร ตำแหน่งของข้า ฮ่องเต้และราชสำนักเป็นคนแต่งตั้ง พระชายาคิดว่าแค่เพียงคำพูดของพระชายาเพียงประโยคเดียวก็สามารถปลดข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มหยิบเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่งออกมาแกว่งเล่น พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นสิ่งนี้พอมีอำนาจปลดเจ้าได้หรือไม่ คำสั่งขององค์ปฐมฮ่องเต้ ระหว่างสงครามที่เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน มีรับสั่งว่าคนของตำหนักติ้งอ๋องที่มีเครื่องประดับหยกหย๋าจื้อ สามารถควบคุมแม่ทัพทุกคนของต้าฉู่ที่ตำแหน่งเล็กกว่าแม่ทัพใหญ่ได้ หรือว่าแม่ทัพหวังมิใช่ผู้บัญชาการทหารของต้าฉู่?”

 

 

“เรื่องนี้…” หวังตั๋วย่อมรู้ดีว่าองค์ปฐมฮ่องเต้ทรงให้ราชโองการนี้เอาไว้ ถึงแม้ยามนี้ผู้บัญชาการทหารที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้จะไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับราชโองการนี้ แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะมีรับสั่งถอนราชโอการขององค์ปฐมฮ่องเต้แล้ว อย่างมากพวกเขาก็ทำได้เพียงลอบขัดขืนเท่านั้น ไม่อาจขัดขืนคำสั่งอย่างออกหน้าออกตาได้

 

 

เยี่ยหลีเก็บเครื่องประดับหยกกลับเข้าที่เดิม แล้วหันไปเอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาว่า “เฟิ่งซาน เรื่องวางกำลังป้องกันหงโจว มอบหมายให้เจ้าก็แล้วกัน”

 

 

เฟิ่งจือเหยายิ้มหน้าระรื่น เหลือบมองหวังตั๋วที่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับบัญชา ข้าน้อยจะปรับเปลี่ยนการวางกำลังป้องกันเมืองหงโจวใหม่ทั้งหมดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ ก็โบกมือเรียกผู้บัญชาการทหารสามสี่นายให้ตามตนออกไปทันที

 

 

เมื่อเฟิ่งจือเหยาและคณะเดินออกไปแล้ว เยี่ยหลีถึงหันกลับมามองพวกหวังตั๋วอีกครั้ง ระบายยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เอาล่ะ ยามนี้แม่ทัพหวังและใต้เท้าซุนมีอันใดจะเอ่ย ก็เอ่ยออกมาตรงๆ ได้แล้ว”

 

 

หวังตั๋วเอ่ยอย่างไม่ยินยอมว่า “นายทหารของหงโจวไม่มีทางฟังคำสั่งของแม่ทัพที่ไม่มีแม้แต่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของราชสำนักหรอก!” คนที่เขาเอ่ยถึงคือเฟิ่งจือเหยา ถึงแม้ในกองทัพตระกูลม่อ เฟิ่งจือเหยาเป็นที่ยอมรับในฐานะมือขวาของเฟิ่งจือเหยา แต่เฟิ่งจือเหยาก็เป็นคนในกองทัพตระกูลม่อเพียงคนเดียวที่ไม่มีตำแหน่งทางการทหารอย่างเป็นทางการ

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “สามารถทำให้นายทหารฟังคำสั่งเฟิ่งซานได้หรือไม่นั้น คงไม่ลำบากให้แม่ทัพหวังต้องเป็นกังวลแล้ว”

 

 

หวังตั๋วส่งเสียงหึทีหนึ่งแล้วไม่มีอันใดจะเอ่ยอีก

 

 

เยี่ยหลีผินหนังไปมองซุนสิงจือที่นั่งอยู่ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าซุนมีอันใดจะพูดหรือไม่?”

 

 

ซุนสิงจือยิ้มเยาะ “พระชายามีอำนาจมากเพียงนี้ ข้าน้อยจะกล้าพูดอันใดได้?”

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “ในเมื่อไม่กล้าพูด ก็ไม่จำเป็นต้องพูด ใต้เท้าซุนอยู่ในหงโจวให้สบายใจเถิด ไว้รอกให้การศึกเสร็จสิ้นเสียก่อน ข้าจะให้คนส่งใต้เท้าซุนกลับเมืองหลวงเอง แต่หากโชคร้าย…ไม่สามารถรักษาเมืองหงโจวไว้ได้ ข้าก็จะให้โอกาสใต้เท้าซุนได้ร่วมเป็นร่วมตายไปกับเมืองหงโจว”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซุนสิงจือก็สีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นทันที กัดฟันกรอดเอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายา!”

 

 

เมื่อส่งซุนสิงจือและหวังตั๋วกลับไปแล้ว ภายในห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงฉีอันหรง เขามองสตรีที่นั่งอยู่ด้านบนด้วยสีหน้าเกรงกลัวเล็กน้อย เอ่ยพร้อมยิ้มด้วยสีหน้าประจบประแจงว่า “พระชายา…”

 

 

เยี่ยหลีหันมองเขา เอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ใต้เท้าฉี ท่านช่างเป็นผู้ว่าเมืองหงโจวที่สบายเสียจริงนะ อย่าว่าแต่ข้าเลย เกรงว่าแม้แต่ท่านอ๋องก็คงนึกอิจฉาท่านมากเช่นกัน”

 

 

“มิกล้า…มิกล้า…” ฉีอันหรงเอ่ยพร้อมยิ้มตาม

 

 

เยี่ยหลีพลิกม้วนกระดาษในมือ “อยู่ในตำแหน่งมาหกปี มีทรัพย์สินนับล้าน ภรรยาหนึ่ง อนุสิบสอง บุตรชายสี่ บุตรสาวหก… มิน่าข้าถึงเคยได้ยินเขาพูดกันว่า ขุนนางซื่อตรง เมื่ออยู่ในตำแหน่งได้สามปี ก็จะมีรายได้มากมายนับแสน หลายปีนี้ใต้เท้าฉีคงหาเงินได้มิใช่เพียงแสนกระมัง?”

 

 

“พระชายา…ข้าน้อย ข้าน้อย…” ฉีอันหรงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้หยุด

 

 

เยี่ยหลีวางกระดาษลงบนโต๊ะ “ใต้เท้าฉีไม่ต้องตระหนกไป ข้ามิได้สนใจในทรัพย์สิน ภรรยา อนุ บุตรธิดาของท่านเลยแม้แต่น้อย”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉีอันหรงก็ตาเป็นประกายทันที มองเยี่ยหลีด้วยสายตาคาดหวัง

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “การศึกกับซีหลิงอยู่ในช่วงคับขัน เมืองหงโจว…”

 

 

ฉีอันหรงเป็นงานยิ่งนัก รีบร้อนเอ่ยว่า “การให้ความร่วมมือกับพระชายาในการขัดขวางพวกคนถ่อยซีหลิง ถือเป็นหน้าที่ของข้าน้อย พระชายาได้โปรดมีคำสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้นมอง เลิกคิ้วพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คงมิทำให้ใต้เท้าฉีลำบากกระมัง”

 

 

ฉีอันหรงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ขอเพียงหงโจวปลอดภัย กับผู้ใดก็ล้วนเป็นผลดีทั้งนั้นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ พระชายาได้โปรดมีคำสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ใต้เท้าฉีให้ความสะดวกแก่ข้า ข้าก็จะไม่ทำให้ใต้เท้าฉีต้องลำบาก ขอเพียงใต้เท้าฉีจัดการเรื่องภายในหงโจวให้ดีก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ นั้นข้าย่อมจัดการให้ดีเช่นกัน”

 

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะไม่ทำให้พระชายาผิดหวังเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ดีมาก ใต้เท้าฉีเชิญกลับไปก่อนเถิด”

 

 

เมื่อส่งฉีอันหรงกลับไปแล้ว จั๋วจิ้งมองร่างที่เพิ่งหายไปอย่างเหยียดหยาม “พระชายา จะปล่อยเจ้าฉีอันหรงผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเรียบเย็น “ปล่อย? เช่นนั้นก็คงต้องดูว่าเขาทำตัวดีหรือไม่แล้ว พวกเราเพิ่งมาถึงหงโจว อย่างไรก็คงไม่อาจล่วงเกินคนทั้งหมดภายในคราเดียวได้หรอกกระมัง”

 

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ