ตอนที่ 162 เสียจนไม่มีอันใดจะเสีย

ชายาเคียงหทัย

พื้นที่ทั่วซีเป่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตหงโจวนั้น เกิดการสู้รบทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ขึ้นเกือบทุกวัน แต่ครานี้เยี่ยหลีมิได้ลงไปอยู่เป็นหนึ่งในทหารแถวหน้า แต่นั่งบัญชาการอยู่ภายในเมืองหงโจว ด้วยเพราะยามนี้นางมิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ในอุทรของนางยังมีบุตรตัวน้อยๆ ที่ยากจะสังเกตเห็นได้อยู่ นี่เป็นบุตรคนแรกของนางกับม่อซิวเหยา ถึงแม้นางไม่เคยเป็นมารดามาก่อน แต่นางรู้ดีว่า ด้วยหน้าที่ของความเป็นมารดา ตนจะต้องปกป้องบุตรของนางให้ดี

 

 

“ท่านหมอหยาง เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อตรวจชีพจรเสร็จ เยี่ยหลีเก็บข้อมือกลับแล้วเอ่ยถามท่านหมอหนุ่ม

 

 

ท่านหมอหยางเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ไม่มีอันใดมากพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยก็ยังขอพูดเช่นเดิม ขอพระชายาได้โปรดอย่าได้เหน็ดเหนื่อยเกินไป มิเช่นนั้นต่อให้ไม่มีอันตรายอันใด แต่ก็ไม่ส่งผลดีต่อซื่อจื่อน้อยในครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าจะจำคำท่านหมอไว้ ลำบากท่านแล้ว”

 

 

“เช่นนั้น ข้าน้อยขอไปปรับอาหารของพระชายาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” ท่านหมอหยางพูดจบก็ก้มหน้าขอตัวถอยออกไป

 

 

เมื่อท่านหมอถอยออกไปแล้ว พวกจั๋วจิ้งที่นั่งอยู่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยความเป็นห่วง

 

 

จั๋วจิ้งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระชายา เห็นแก่ซื่อจื่อน้อย พระชายาพักผ่อนมากหน่อยถึงจะดีนะพ่ะย่ะค่ะ” คนอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้า

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ยามนี้จะผ่อนได้อย่างไร แต่หากพวกเจ้าทำงานหนักกว่านี้สักหน่อย และต่อไปสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ถึงยามนั้นข้าก็จะสามารถพักผ่อนได้มากหน่อย”

 

 

จั๋วจิ้งก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด “ข้าน้อยไร้ความสามารถ”

 

 

เยี่ยหลีโบกมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “มิใช่เพราะเจ้าไร้ความสามารถ ไม่ว่าผู้ใดจะให้สามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ด้วยตนเองในชั่วเวลาเพียงสองสามเดือน ก็เป็นเรื่องยากทั้งสิ้น พวกเจ้าทำได้ดีมากแล้ว”

 

 

จั๋วจิ้งพูดไม่ออก ทำได้เพียงเหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่ง พวกเขาสามสี่คนต่างติดตามพระชายามาตั้งแต่ต้น แต่ไหนแต่ไรมาดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอันใดที่ยากเกินความสามารถของพระชายาเลย เมื่อเทียบกับพระชายาแล้ว พวกเขาที่เป็นชายฉกรรจ์สามสี่คน จะไม่เรียกว่าไร้ความสามารถได้อย่างไร มีหลายคราที่เขานึกสงสัยว่า พระชายามีความสามารถติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือว่าตระกูลสวีอบรมสั่งสอนมาได้ดีกันแน่

 

 

“เรียนพระชายา มีคุณชายหานท่านหนึ่งมาขอพบอยู่ที่หน้าจวนพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เอ่ยรายงานขึ้นที่หน้าประตู

 

 

“คุณชายหานหรือ” เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “หานหมิงซี? รีบเชิญเขาเข้ามา”

 

 

ไม่นาน หานหมิงซีก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ เขายังคงอยู่ในชุดยาวหรูหราสีแดงเข้ม ไม่ได้พบหน้ากันหลายเดือน ใบหน้าที่เคยมีเสน่ห์ดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูมีความเฉียบคมและเด็ดเดี่ยวมากขึ้น เมื่อเห็นเยี่ยหลี ก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ตามความเคยชินขึ้นทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงต่ำขึ้นๆ ลงๆ ว่า “จวินเหวย…มิได้พบหน้ากันเสียนาน ทำข้าคิดถึงเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว…”

 

 

เยี่ยหลีมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า เอ่ยถอนใจเสียงเบาว่า “หมิงซี เจ้ามาได้อย่างไร”

 

 

หมิงซีเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ทำท่าประหนึ่งช่วยไม่ได้อย่างยิ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าจวินเหวยออกนำทัพเข้าสู้ศึกในฐานะของชายาติ้งอ๋อง ทำศึกได้ดีเสียจนเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด มิใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ อย่างไรข้าก็ควรมาเห็นบารมีของชายาติ้งอ๋องด้วยตาตนเองสักหน่อยมิใช่หรือ” เขาเอ่ยพร้อมจ้องมองเยี่ยหลีด้วยสายตาแพรวพราว โดยไม่ปิดบังแววโกรธเคืองในดวงตาแม้แต่น้อย

 

 

เยี่ยหลีรู้ว่าเขาเป็นห่วงตน จึงระบายยิ้มเอ่ยว่า “ยิ่งใหญ่อันใดกัน ข้าก็เพียงไม่มีทางเลือกเท่านั้น อีกอย่าง…มิใช่เพราะข้าทำศึกได้ดีจนเจิ้นหนานอ๋องหน้าดำคร่ำเครียด ช่วงนี้สถานการณ์ในซีเป่ยมิใช่สบายๆ หากท่านมาช้าอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าคนที่หน้าดำคร่ำเครียดอาจเป็นข้าก็ได้”

 

 

หานหมิงซีส่งเสียงหึเบาๆ ปรายตามองพวกจั๋วจิ้งที่พยายามทำตัวยุ่ง แต่หูกลับคอยแอบฟังพวกเขาคุยกัน “ติ้งอ๋องของเจ้าไปอยู่เสียที่ใด มิใช่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามหรือ ให้คนเป็นภรรยามาตรากตำทำศึกเช่นนี้ ใช้ได้ที่ไหน”

 

 

“หมิงซี…” เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสหายอย่างข้าคนนี้ สถานการณ์เช่นในยามนี้ ต่อให้ม่อซิวเหยาเก่งกาจเพียงใดก็มิอาจแบ่งร่างได้หรอก”

 

 

หานหมิงซีทำปากยื่น เมินหน้าไปไม่สนใจนางอีก เพียงได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยแก้ตัวให้ม่อซิวเหยา ใบหน้าหล่อเหลาก็บึ้งตึงลงไปเล็กน้อยทันที

 

 

สีหน้าบึ้งตึงของหานหมิงซีใช่ว่าเยี่ยหลีจะมองไม่ออก เพียงแต่กับบางเรื่องนั้น ในเมื่อชะตากำหนดมาเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรไปลังเลกับมันมากนัก หากในยามที่ควรตัด ไม่ตัดให้ขาด สุดท้ายจะกลายเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น

 

 

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เจ้ามาได้เวลาดีจริง หงโจวในยามนี้ยังถือว่าไม่เลวนัก ไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่ ไว้มีเรื่องอันใดพวกเราค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้ ใช่สิ คุณชายหมิงเย่ว์ก็อยู่ในจวนเช่นกัน ไปพบเขาสักหน่อยเถิด”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงหานหมิงเย่ว์ หานหมิงซีก็อึ้งไปอีกครั้ง สีหน้าหลากหลายดูไม่ออก ทุกครั้งที่เอ่ยถึงพี่ชายที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เล็กๆ ผู้นี้ ในใจหานหมิงซีทั้งโกรธและไม่รู้จะทำเช่นใด บุญคุณที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนกันมานี้ มิใช่คำพูดตัดขาดกันเพียงประโยคเดียวจะสามารถลบล้างทั้งหมดได้

 

 

ความเคารพที่หานหมิงซีมีต่อพี่ใหญ่ตนนั้น มากกว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดที่ด่วนจากไปเร็วอย่างแน่นอน เดิมทีด้วยเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการที่หานหมิงเย่ว์จะลงมือทำอันตรายเยี่ยหลี แน่นอนว่าด้วยเพราะตนรู้สึกชอบพอเยี่ยหลี แต่ที่มากกว่านั้นคือ ด้วยเพราะเขามองออกว่า ที่พี่ใหญ่หักหลังน้องชายเพื่อผู้หญิงเช่นนั้น และถึงขั้นยอมตั้งตนเป็นอริกับตำหนักติ้งอ๋อง ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มกันเอาเสียเลย และอาจถึงขั้นเป็นทางที่นำไปสู่ความตายได้อีกด้วย

 

 

แต่ในยามนี้…ที่หานหมิงซีดั้นด้นเดินทางมาถึงหงโจวนั้น นอกจากด้วยเพราะเยี่ยหลีอยู่ที่นี่แล้ว ก็ด้วยเพราะเขาได้ข่าวว่าหานหมิงเย่ว์ถูกจับตัวอยู่ที่นี่ ยามนี้เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าหานหมิงเย่ว์มีชีวิตที่ไม่แย่นัก ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่า ที่เยี่ยหลีปล่อยหานหมิงเย่ว์ไปง่ายๆ เช่นนี้ ก็ด้วยเพราะมีตนเป็นสาเหตุอยู่หลายส่วน ใจเขาจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว “จวินเหวย ขอบใจเจ้ามาก”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ขอบใจอันใด หานหมิงเย่ว์ทำข้อตกลงไว้กับซิวเหยา ในเมื่อซิวเหยาไว้ชีวิตเขา ให้เขามีชีวิตที่ดีหน่อยหรือแย่หน่อยจะต่างอันใดกัน พวกเจ้าพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว ไปพบเขาหน่อยเถิด”

 

 

หานหมิงซีพยักหน้า หมุนตัวเดินออกไปจากห้องหนังสือ

 

 

ภายในเรือนเล็ก หานหมิงเย่ว์นั่งสบายๆ อยู่บนระเบียงทางเดิน นั่งมองดอกไม้ที่ร่วงหล่นจนเหลือเพียงดอกเบญจมาศอยู่เพียงไม่กี่ดอกอย่างใจลอย แต่สีหน้าของเขากลับดูไม่สบายเหมือนท่าทาง คิ้วคมบนใบหน้าหล่อเหลาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หันมองไปทางหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ไม่ไกลเป็นระยะๆ ใบหน้าอันสง่างามเต็มไปด้วยแววเป็นกังวล

 

 

“พี่ใหญ่” เสียงของหานหมิงซีดังขึ้นจากมุมหนึ่ง

 

 

หานหมิงเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปเห็นน้องชายที่ไม่ได้พบหน้าเสียนานก็อดยิ้มขื่นๆ ขึ้นไม่ได้ “วิชาตัวเบาของหมิงซีเก่งกาจขึ้นอีกแล้ว ข้าไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย” หานหมิงเย่ว์มองเขา ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยเรื่อยๆ ขึ้น

 

 

“พี่ใหญ่ ข้ามิได้ใช้วิชาตัวเบา ท่านเองต่างหากที่มิได้ยินเสียงฝีเท้าข้า” เมื่อมองตามสายตาเขาไป ถึงแม้เพิ่งมาถึงเมืองหงโจวได้ไม่เท่าไร แต่ตลอดทางมานี้หานหมิงซีก็สืบรู้สาเหตุที่ทำให้หานหมิงเย่ว์ถูกเยี่ยหลีจับตัวไว้ได้อย่างละเอียด จึงย่อมรู้ดีว่าผู้ใดที่ทำให้พี่ชายของตนนึกเป็นกังวลใจได้มากมายถึงเพียงนี้

 

 

เขาขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “พี่ใหญ่ยังคงหลงใหลไม่ได้สติเสียที?”

 

 

หานหมิงเย่ว์มองหน้าเขาเงียบๆ พักใหญ่ถึงได้หัวเราะออกมา “หากมีสติจะเรียกว่าหลงใหลได้อย่างไร แต่ว่าหมิงซี ช่วงที่ไม่ได้พบหน้ากันนี้ เจ้าโตขึ้นมากเลยนะ”

 

 

หานหมิงซีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมินหน้าหนีไปอย่างไม่เป็นตัวเอง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

 

 

เขาซุกซนและเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมักเห็นพี่ชายส่ายหน้าใส่ตนอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี ยามนี้เมื่อจู่ๆ ได้ยินพี่ชายเอ่ยชื่นชมตนเช่นนี้จึงถึงกับตั้งตัวไม่ถูก และนึกยินดีอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนต้องแลกมากับการโตเป็นผู้ใหญ่…

 

 

ช่วงที่ผ่านมานี้ ชีวิตของหานหมิงซีมิได้ราบรื่นง่ายดายอย่างที่คนนอกเข้าใจกัน ช่วงที่รับช่วงตระกูลหานแรกๆ นั้น เป็นช่วงที่คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่าหานหมิงเย่ว์ทรยศแคว้นไปเข้ากับซีหลิง ถึงแม้จะมีตำหนักติ้งอ๋องคอยคุ้มครอง แต่การจะให้กิจการของตระกูลหานกลับมามั่นคงอีกครั้งก็ทำให้เขาต้องเสียกำลังกายและกำลังสมองไปไม่น้อย ตำหนักติ้งอ๋องมีแต่คนมากความสามารถ จะยอมรับใช้เด็กน้อยที่เพิ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างไร ช่วงที่ผ่านมานี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของหานหมิงซีเลยทีเดียว

 

 

ความยากลำบากที่หานหมิงซีต้องเผชิญ หานหมิงเย่ว์ย่อมรู้ดี ถึงแม้เขาจะรู้สึกผิด แต่เขาก็ชื่นชมน้องชายที่สามารถยืนหยัดผ่านมันมาได้ ทั้งยังต้องแบกรับภาระตระกูลหานทั้งตระกูลไม่ให้ตนต้องลำบากไปด้วย เขายื่นมือไปตบบ่าหานหมิงซี พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ยังโทษพี่อยู่หรือไม่”

 

 

หานหมิงซีขอบตาร้อนผ่าวขึ้นทันที แต่กลับเมินหน้าหนีไปอย่างดื้อรั้น จนสงบจิตสงบใจลงได้แล้วถึงค่อยกันหน้าหลับมาเอ่ยถามหานหมิงเย่ว์ด้วยความสงสัยว่า “จวินเหวยบอกข้าว่าพี่ทำข้อตกลงกับติ้งอ๋อง พี่ใหญ่คิดว่าต่อไปจะทำเช่นไร”

 

 

หานหมิงเย่ว์ยิ้มบางๆ “เกรงว่าต้าฉู่และซีหลิงคงไม่มีที่ให้พวกเราอยู่แล้ว ไว้รอให้ทุกอย่างสิ้นสุดลงก่อน ข้าจะพาจุ้ยเตี๋ยไปหลบอาศัยอยู่ที่หนานจ้าว”

 

 

หานหมิงซีมองเขานิ่ง เอ่ยถามว่า “พี่แน่ใจเพียงนี้เชียวหรือ ว่าซูจุ้ยเตี๋ยจะไปกับท่าน พี่ใหญ่ พูดตามตรง สายตาในการเลือกสตรีของท่านกับติ้งอ๋องนั้น ต่างกันมิใช่เพียงเล็กน้อยเลยนะ”

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยกลั้วหัวเราะ “หากข้ามีสายตาเช่นเดียวกับติ้งอ๋อง ชีวิตในยามนี้ของข้าคงลำบากยิ่งกว่านี้ ดังนั้น…หมิงซี หากเป็นไปได้เจ้าอยู่ห่างชายาติ้งอ๋องสักหน่อยเถิด บุรุษหากหึงหวงขึ้นมาแล้ว เขาไม่ใช้เหตุผลกันหรอกนะ”

 

 

เมื่อถูกพี่ชายพูดแทงใจดำ หานหมิงซีจึงรู้สึกประดักประเดิดไม่น้อย เมื่อลองคิดดูก็รู้สึกว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดนั้นฟังดูมีเหตุผลไม่น้อย พี่ใหญ่ชอบพอในตัวซูจุ้ยเตี๋ย หากเขาต้องการได้นางมาไว้ในครอบครองจริงๆ ก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางเอาเสียเลย แต่สตรีเช่นเยี่ยหลีนั้นกลับ…

 

 

เขาหันไปถลึงตาดุๆ ใส่หานหมิงเย่ว์ทีหนึ่งที่เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น “เรื่องของข้า ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร ส่วนท่านข้าขอให้คำแนะนำจากใจจริงหน่อยก็แล้วกัน ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นคนเช่นไร พี่และข้าต่างรู้ดีแก่ใจ หากท่านคิดอยากให้นางติดตามพี่ไปอย่างว่าง่ายแล้ว ลองวิธีของข้าดูดีหรือไม่”

 

 

หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วมองเขาด้วยความใคร่รู้ หานหมิงซีหัวเราะเสียงเยาะหยันออกมาทีหนึ่ง พร้อมเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “หากท่านทำให้นางเสียโฉมเสีย นางย่อมยอมไปกับพี่แต่โดยดีแน่นอน! เพียงแต่พี่ใหญ่ พี่รักซูจุ้ยเตี๋ยด้วยใจจริงหรือเพียงรักใบหน้าของนางเท่านั้นหรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์นิ่งไป ไม่ตอบ เขารักซูจุ้ยเตี๋ยด้วยใจจริงหรือรักพียงใบหน้าของนาง? ตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน ที่เขารักนางนั้น…หลายปีมานี้เขาก็ยังไม่แน่ใจ ด้วยนิสัยและจิตใจเช่นนั้นของนาง มิใช่แบบที่เขาชื่นชอบ รักใบหน้านั้น? พูดตามตรง ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก แต่ในใต้หล้านี้ หากต้องการหาสตรีที่มีความงามเทียบกับนางได้ ก็มิใช่ว่าจะหาไม่พบ เขารู้ดี เมื่อปีนั้น…ในป่าเถาฮวาที่ได้พบกับสตรีที่สุดแสนจะงดงามท่ามกลางดอกไม้ที่ร่วงหล่น ทำให้เขาจมลึกอยู่กับความไหลหลง และไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย…

 

 

เมื่อเห็นหานหมิงเย่ว์ใจลอยอยู่กับความคิดของตนเองเช่นนั้น หานหมิงซีก็ลอบถอนใจ พี่ชายที่เขาเคยนึกภาคภูมิใจ เหตุใดถึงได้ตกอยู่ในกำมือของสตรีที่เพียงสวยแต่รูปอย่างซูจุ้ยเตี๋ยไปได้ คิดไปถึงยามที่พี่ใหญ่ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไปเมื่อยามอยู่กว่างหลิง คิดถึงปีนั้นที่พี่ใหญ่ถูกซูจุ้ยเตี๋ยทิ้งไปอย่างไม่ใยดีจนตนต้องกลับมาอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงยามนี้ที่เขาต้องกลายเป็นนักโทษที่ไม่เหลืออันใดติดตัว หานหมิงซีค่อยๆหรี่ตาลง แผ่รังสีสังหารออกมาน้อยๆ

 

 

หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหานหมิงซีพร้อมเอ่ยว่า “หมิงซี อย่าได้ทำร้ายนางเลย ถือเสียว่าพี่ขอ…”

 

 

หานหมิงซีมองสีหน้าขอร้องของพี่ใหญ่ ในใจรู้สึกเพียงความเศร้าสลด คุณชายหมิงเย่ว์ที่เปล่งประกลายประหนึ่งพระจันทร์ยอแสง โดดเด่นไม่มีใครเทียม ยามนี้กลับต้องมาขอร้องเขา ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเฟิงเย่ว์ที่แสนจะเจ้าสำราญและมีชื่อเสียงย่ำแย่ เพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง

 

 

ในนาทีนั้นเอง ที่หานหมิงซีได้เข้าใจว่า เรื่องต่างๆ นั้นได้ถูกกำหนดตอนจบเอาไว้หมดแล้ว คนในใต้หล้าจะไม่มีโอกาสได้เห็นคุณชายหมิงเย่ว์ที่ครั้งหนึ่งเคยสุภาพและสง่างามอีกต่อไป

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้สึกเสียใจเลยจริงๆ หรือ” หานหมิงซีเอ่ยถาม

 

 

หานหมิงเย่ว์เพียงยิ้มบางๆ นิ่งเงียบไม่ได้ตอบอันใด ยามนี้…เขาไม่มีเวลามานั่งเสียใจแล้ว

 

 

ครู่ใหญ่ ในที่สุดหานหมิงซีก็ยอมแพ้ พยักหน้าและหมุนตัวออกไป “ดี ข้าเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่รักษาตัวด้วย หากวันใดที่ท่านถูกหญิงผู้นั้นทำให้ท่านต้องตาย น้องจะสังหารนางแล้วเอาไปฝังไว้คู่กับท่านก็แล้วกัน”