ตอนที่99 ทำการตรวจสอบ

แม้ว่าเจียงเสี่ยวปิงจะสบถล้อเลียนจ้าวเฉียนว่าเป็นไอ้หน้าโง่อยู่ภายในใจ แต่โดยผิวเพินเธอยังแสร้งกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า

“อย่าคิดมากไปเลย ฉันแค่คิดว่าครั้งนี้นายไม่ได้ผิดจริงๆ ตราบใดที่มีเหตุผลมากพอ ฉันสนับสนุนแน่นอน”

ฟางนี่รีบกล่าวไปดึงแขนเจียงเสี่ยวปิงกลับมาทันที เอ่ยปากดุท่าทีเกรี้ยวโกรธว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! นี่ไม่ใช่เวลามายุยงกันนะ เธอควรจะโน้มน้าวเขาให้ขอโทษ ไม่ใช่ไปสาดน้ำมันใส่แบบนี้! จ้าวเฉียนอย่าไปฟังเธอ เธอแค่ยุให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต!”

“หุหุ…ผมไม่สนใจอยู่แล้วว่าเธอจะมีเจตนาแบบไหน แต่ผมก็คิดว่าเธอพูดถูกอยู่อย่าง ทำไมผมต้องกลัวเขา ในเมื่อผมไม่ผิดและมีเหตุผลมากพอ!”

เฉินกวงอวี่ไม่สามารถเสียหน้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว เขาจึงเรียกบอดี้การ์ดให้ไปล็อกร่างจ้าวเฉียนในทันที

จ้าวเฉียนก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้พวกนั้นจับแต่โดยดี

เฉินกวงอวี่ระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยถามขึ้นว่า

“ไอ้หนูยอมรับความผิดแล้วขอโทษโดยดีซะเถอะ อย่าให้ลูกน้องของฉันต้องออกแรงเลย ไม่งั้นแกได้พิการไปตลอดชีวิตแน่นอน!”

จ้าวเฉียนยักคิ้วท่าทีเจ้าเล่ห์เป็นคำตอบ กล่าวว่า

“หื้ม? คิดรุมประชาทัณฑ์ผมงั้นเหรอ?”

“ไม่เลย ไม่ใช่รุมประชาทัณฑ์อะไรทั้งนั้น ก็แค่ต่อสู้ป้องกันตัว นายมาที่นี่เพื่อก่อปัญหา ฉันจะปล่อยอยู่เฉยๆ ได้ยังไงจริงไหม?”

“งั้นเหรอ? คอยดูแล้วกัน หุหุ…”

“นี่แกหมายความว่ายังไง?”

จ้าวเฉียนเพียงแสยะยิ้มที่ไม่รอยยิ้มให้อีกฝ่าย และปิดปากเงียบไม่กล่าวอันใดอีก ไม่กี่อึดใจต่อมา จู่ๆ เจ้าหน้าที่ของกรมการท่องเที่ยวประจำเกาะซ่งต้าวก็นำกำลังตำรวจทั้งหมดบนเกาะมา ตลอดจนคณะผู้บริหารบริษัท หัวซางหยานไห่ คอนดักชั่น จำกัดมหาชน แห่แหนกันวิ่งเข้ามาล้อมจับเสร็จสรรพ

เฉินกวงอวี่ขมวดคิ้วแน่น กรนเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นว่า

“ใครไปขอให้พวกคุณมา?”

จากนั้นเฉินกวงอวี่ก็หันไปพูดกับจ้าวเฉียนว่า

“ไอ้หนู สมองแกยังโอเคดีใช่ไหม? นี่ไม่ได้เล่นตำรวจจับผู้ร้ายนะ ฉันใหญ่แค่ไหนบนเกาะนี้ไม่มีใครไม่รู้ แกยังไร้เดียงสาเกินไป แกตกที่นั่งลำบากแล้ว!”

“หุหุ…ถึงผมจะอายุน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะใหญ่กว่าผมได้ คุณต่างหากที่ตกที่นั่งลำบากแล้ว”

“ไอ้โง่! คิดว่ากูต้องกลัวมึงมากใช่ไหม!!”

เฉินกวงอวี่ไม่ได้เกรงกลัวเลยยสักนิด ในความเห็นของเขา เจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องเข้าข้างเขาแทนอย่างแน่นอน

เจ้าหน้าที่ใหญ่ผู้รับผิดชอบเกาะแห่งนี้มีชื่อว่า หวงฉิง เขาเดินเข้ามาหาและสอบถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

เฉินกวงอวี่รีบโยนความผิดทั้งหมดให้กับจ้าวเฉียน และขอให้พวกเขาตัดสินอย่างเป็นธรรมว่า ครั้งนี้ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด

หวงฉิงหันมาสอบถามจ้าวเฉียนว่า มีหลักฐานอะไรมายืนยันไหนว่าตัวเองบริสุทธิ์?

จ้าวเฉียนตอบไปตามตรงว่า

“แน่นอน เห็นเครื่องประดับในร้านนี้ไหมครับ? คุณเชิญให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีมาตรวจสอบสินค้าในร้านทีว่า เกรดที่ได้ผ่านมาตรฐานหรือเปล่า?”

หวงฉิงพยักหน้าและหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่กำกับดูแลคนอื่นๆ ตลอดจนส่งคนไปเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวนสอบสินค้าในเกาะแห่งนี้ โชคยังดีที่บนเกาะแห่งนี้ยังมีร้านเครื่องประดับอีกแห่ง โดยมีหลงจู๊ท่านหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอัญมณีคอยประจำอยู่พอดี ตำรวจจึงเดินทางพาเข้ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบร้านดังกล่าว

ที่จริงแล้ว เฉินกวงอวี่กับเจ้าของธุรกิจอื่นๆ ในนี้ไม่เคยเกรงกลัวกฎหมาย หากกล่าวกันตามตรง พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันโกงนักท่องเที่ยว หลอกขายสินค้าในราคาที่สูงแต่ต้นทุนต่ำ ในทางกลับกันพวกเฉินกวงอวี่เองก็ต้องจ่ายค่าเช่าที่สูงกว่าคนอื่น เพื่อติดสินบนเจ้าพนักงาน แต่โชคร้าย…ที่วันนี้เฉินกวงอวี่หาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ดันมาหาเรื่องจ้าวเฉียน กล่าวได้ว่า วันนี้เฉินกวงอวี่ชะตาขาดแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานหลงจู๊ท่านนั้นก็มาถึงและทำการตรวจสอบต่อหน้าทุกคน

เฉินกวงอวี่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ถึงขั้นได้ใจบ่นใส่จ้าวเฉียนไปคำโตว่า

“ไอ้หนู คิดว่าตัวเองจะทำอะไรฉันได้จริงๆ งั้นเหรอ? อย่าแม้แต่สงสัยว่าอัญมณีในเครื่องประดับร้านฉันเป็นของจริงหรือปลอม ถ้าตั้งใจธุกิจขายของปลอมแต่แรก ฉันจะยอมจ่ายค่าเช่าปีละหลายล้านไปทำไม?”

ฟางนี่และคนอื่นๆ เองต่างก็ได้ยินคำกล่าวของเฉินกวงอวี่ชัดแจ้ง และพลันคิดไปว่าอีกฝ่ายกล่าวมีเหตุผล

จางหยางกรนเสียงบ่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด

“ฉันบอกให้มันขอโทษตั้งแต่ก่อนหน้าก็สิ้นเรื่อง เรื่องถึงตำรวจแบบนี้ยังแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกรึไง? เป็นแบบนี้ใครยังมีอารมณ์เที่ยวอีก? ทำไมมันถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้กันห่ะ!?”

หวังเฉียงกล่าวประจบทันทีว่า

“ผู้จัดการจางพูดถูกต้องแล้ว มันคิดว่าตัวเองเป็นใครอแสร้งทำเป็นเปย์เงินล้านได้โดยขนหน้าแข้งไม่ร่วง? เงินฝากทั้งตัวมันตอนนี้มีถึงรึเปล่าเถอะ? พอเห็นแบบนี้แล้ว ผมคิดว่าประธานฟางไม่ควรให้เงินมันสิบล้านเลยนะครับ ขนาดตอนนี้ยังหัวสูงทำตัวหยิ่งขนาดนี้ ถ้าได้สิบล้านไปแล้วจะยิ่งขนาดไหน?”

ฟางนี่เองก็คิดว่าคำกล่าวของหวังเฉียนสมเหตุสมผลมากเช่นกัน แต่พอมาคิดดูดีๆ จ้าวเฉียนยังไม่ได้เงินสิบล้านของเธอไปเลยไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเขาถึงกล้าจ่ายได้ขนาดนี้กัน? ทั้งๆ ที่จ้าวเฉียนเป็นเพียงพนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ?

ในขณะเดียวกันมือถือของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นหวานเจียง

“ฮาโหล หายไปไหนตั้งนาน?”

“ฉันขึ้นเกาะมาแล้ว นายนั่นแหละอยู่ไหน?”

“กำลังมีปัญหานิดหน่อยที่ร้านเครื่องประดับกวงอวี่น่ะ เดี๋ยวฉันไปหาละกัน”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“แค่เรื่องเล็กน้อย เธอรออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันไปหา”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปหาเองดีกว่า”

หวานเจียงกดวางสายไปและรีบเดินทางไปหาจ้าวเฉียนทันที อีกสิบนาทีต่อมา เธอก็มาถึงประตูหน้าร้าน แต่เนื่องจากมีทั้งเจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยวและตำรวจอีกขโยงใหญ่ เธอจึงไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปข้างในได้เลย ทำได้เพียงโทรหาจ้าวเฉียนให้ออกมารับ

จ้าวเฉียนตอบตกลงและกดวางสายไป ขณะที่กำลังเดินฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ออกไป เฉินกวงอวี่ก็รีบสั่งพวกบอดี้การ์ดให้ไปจับตัวเขากลับมาโดยตรง

ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนเย็นยะเยือกลงจับใจ กล่าวกับเฉินกวงอวี่ขึ้นว่า

“ทำไมล่ะ? คุณตำรวจอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ยังคิดที่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวคนอื่นอีกงั้นเหรอ? ห่วงตัวเองดีกว่า เครื่องประดับพวกนั้นของปลอมรึเปล่าก็ไม่รู้?”

ตำรวจกล่าวตำหนิเฉินกวงอวี่ทันทีว่าอย่าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าอีกเด็ดขาด พร้อมสั่งให้บรรดาบอดี้การ์ดปล่อยตัวจ้าวเฉียนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องให้จ้าวเฉียนต้องเอ่ยปาก ตำรวจก็ต้องเข้ามาห้ามเป็นธรรมดา จงใจกักขังหน่วงเหนี่ยวบุคคลอื่นถือว่ามีความผิด

เฉินกวงอวี่ผงะไปชั่วขณะหนึ่ง สงสัยเสียเหลือเกินว่า ไอ้ตำรวจพวกนี้กินยาลืมเขย่าขวดรึไง ถึงไม่ช่วยอะไรเขาเลย เนื่องด้วยโดนสั่งมาแบบนี้ ก็เลยจำใจต้องทำตามที่สั่ง เฉินกวงอวี่โบกมือปัดสั่งให้พวกบอดี้การ์ดปล่อยตัวจ้าวเฉียนไป

จ้าวเฉียนเค้นเสียเยียบเย็นมาคำหนึ่ง ก่อนจะไปพาหวานเจียงเข้ามา เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันทำไมชุลมุนกันปานนี้ หวานเจียงจึงเอ่ยถามจ้าวเฉียนทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

จ้าวเฉียนอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้เธอทราบ พอได้ยินแบบนั้นหวานเจียงก็ยกมือป้องปากหัวเราะในทันใด

เฉินกวงอวี่เหล่มองไปที่หวานเจียงเล็กน้อยและถามขึ้นว่า

“คนสวย คุณหัวเราะอะไรน่ะ? แล้วนี่เป็นใครกัน? เป็นอะไรกับไอ้หมอนั่น?”

หวานเจียงสวมกอดต้นแขนของจ้าวเฉียนทันทีอย่างแนบแน่น เอ่ยตอบพร้อมวาจาสองแง่สองง่ามไปว่า

“แล้วคุณคิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันล่ะ? ส่วนที่ว่าฉันหัวเราะเรื่องอะไร เดี๋ยวคุณก็รู้…”

พลันเห็นภาพฉากบาดตาบาดใจตรงหน้า หลิวเหม่ยรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นในใจ สาวสวยคนนี้เป็นใครกัน? หรือเธอ…จะเป็นแฟนของจ้าวเฉียน? แต่…แต่ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อนเลย?

เจียงเสี่ยวปิงจำหวานเจียงได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าอะไร ผู้หญิงคนนี้คือคนที่มีอะไรกับจ้าวเฉียนในรถคืนนั้น แถมเธอยังสลักจำฝังลึกในใจดี ที่เธอโดนลูกน้องของหยางหมิงรุมกระทืบและข่มขืน ทั้งหมดก็เป็นเพราะอีนังตัวดีคนนี้!

เดิมทีเจียงเสี่ยวปิงคิดว่า หญิงสาวที่สามารถทำให้หยางหมิงหลงหัวปักหัวปำได้ขนาดนั้น ต้องเป็นคุณหนูมีสกุลหรือร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี แล้วถ้าผู้หญิงคนนี้มาประกบคู่กับจ้าวเฉียน เธอก็แทบไม่เหลือโอกาสแก้แค้นเขาได้เลย

เจียงเสี่ยวปิงยิ่งคิดยิ่งโมโห ที่เธอโดนรุมโทรมในคืนนั้นทั้งหมดก็เพราะผู้หญิงคนนี้!

“ไม่! ฉันจะปล่อยให้จ้าวเฉียนอยู่กับอีนังนี่ไม่ได้เด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นฉันไม่เหลือโอกาสจัดการมันแน่! ต้องหาวิธีแยกพวกมันออกจากกัน!”

เจียงเสี่ยวปิงพลางคิดภายในใจ ก่อนเหลือบมองไปที่หลิวเหม่ยโดยไม่รู้ตัว

ตราบเท่าที่ความสัมพันธ์ระหว่างหลิวเหม่ยกับจ้าวเฉียนชัดเจนยิ่งขึ้น นังนี่จะต้องตีตัวออกห่างเขาแน่นอน

คล้อยหลังได้ยินคำกล่าวของหวานเจียง เฉินกวงอวี่ก็หัวเราะลั่นกล่าวตอบไปว่า

“ผมไม่สนหรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณจะเป็นยังไง แต่อย่าสร้างปัญหาให้ก็พอ! มิฉะนั้นเตรียมตัวไปโรงพักพร้อมกับหมอนั่นได้เลย!”

หวานเจียงรวนหัวเราะซ้ำสอง ตอบกลับเพียงวว่า

“โอเค ฉันจะรอไปที่โรงพักพร้อมเขานั้นแหละ แค่ฉันไม่รู้เหมือนกันนะว่า คุณจะรับได้ไหมถ้าผลการตรวจสอบออกมาแล้ว?”

เฉินกวงอวี่ตบคำกล่าวตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า สำหรับผลลัพธ์ที่จะออกมา เขาไม่มีอะไรต้องกังวล