ตอนที่ 102 เขามาแล้ว!!!

วันที่ 1 เมษายน 2018 เวลาเที่ยงคืนยี่สิบนาที ณ เมืองหรงเฉิง มีฝนปรอย ความเร็วลมระดับสาม

ร้านของชำคนตายในถนนเหล่าเจีย ร้านปิดเป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้ว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกนั้น จริงๆ แล้วไม่ค่อยรู้ว่าร้านของชำคนตายแห่งนี้จะเปิดเมื่อไรกันแน่

เพราะไม่เหมือนร้านอาหารตอนเช้าในย่านนี้ที่มีคนมากมายเข้าไปทุกวัน และไม่เหมือนร้านเสื้อผ้าทั่วไปที่พอเลิกงานกลับบ้านก็ไปเดินชอปปิงได้ ไม่ซื้อแต่ลองใส่ได้แบบนั้น

คนส่วนใหญ่ยอมที่จะไม่เข้าร้านของชำคนตายตลอดชีวิต

ดังนั้นร้านของชำคนตายแห่งนี้ ในชีวิตประจำวันจึงถูกมองข้ามไปโดยปริยาย

แน่นอนว่าจะเปิดร้านเมื่อไร คนมากมายไม่ค่อยสนใจมากเท่าไร แต่บางครั้งที่เดินผ่านหน้าร้านพบว่าประตูร้านยังปิดอยู่ ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

มีคนอ้วนคนหนึ่ง ชอบขับรถตำรวจมาจอดหน้าร้านทุกสองสามวัน มองประตูร้านที่ปิดอยู่ พร้อมกับสูบบุหรี่สองสามมวน จากนั้นก็ขับออกไป

เหล่าสาวๆ ร้านทำผมที่กิจการได้รับความนิยมมากที่สุดและเก่าแก่มากที่สุดในถนนเหล่าเจียรู้สึกทนรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ และกลัวทุกครั้งว่าจะต้องส่งลูกค้าที่เพิ่งเชิญเข้ามาดื่มน้ำในร้านตัวเองให้ออกไป แม้แต่ค่าน้ำ ก็ไม่กล้าคิด

ร้านนวดที่อยู่ข้างร้านของชำคนตายก็ปิดนานแล้วเช่นกัน ได้ยินว่าเถ้าแก่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคน ถึงแม้จะได้รับความบริสุทธิ์กลับมาภายหลัง แต่ธุระที่บ้านมีเยอะมาก เธอจึงไม่ได้กลับมาที่หรงเฉิงนานแล้ว

บางครั้งก็มีลูกค้าเก่าผ่านมา ต่างคิดถึงฝีมือการนวดของเถ้าแก่เนี้ย โดยไม่รู้ว่าถ้าหากให้เธอนวดบ่อยๆ ถึงแม้จะสบายมากก็จริง แต่คาดว่าวันที่ต้องเข้าไปเลือกผ้าคลุมศพในร้านของชำคนตาย ก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ชีวิตก็เป็นแบบนี้

ร้านน้ำชา ร้านเล่นไพ่นกกระจอกตามถนนเล็กใหญ่ในเมืองหรงเฉิง เต็มไปด้วยความผ่อนคลายสบายใจ

นี่คือเมืองที่สุขสบายแห่งหนึ่ง และเป็นเมืองที่รู้จักการใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลิน ในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งจะผ่านไปและฤดูร้อนยังมาไม่ถึง ทั่วทั้งเมืองแห่งนี้ล้วนจมอยู่กับการนอนกรนของตัวเองอย่างสบายใจและผ่อนคลาย พลิกตัวเป็นบางครั้ง ห่มผ้าห่มบางๆ อืม แล้วนอนต่อ

ถนนเหล่าเจียตอนเช้ามืด มีคนไม่เยอะเท่าไร นอกจากร้านอาหารโต้รุ่งที่ยังคอยเฝ้ากิจการเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง

ร้านของชำคนตายแห่งนั้น กลับมีแสงไฟสว่าง แต่แสงไฟมืดสลัวมาก มองเห็นรางๆ โดยที่คนทั่วไปมองไม่เห็น

ภายในร้านของชำคนตายมีเก้าอี้เรียงแถวอยู่สองข้าง และเก้าอี้สองตัวที่อยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งมีผู้ชายหนวดเครายาวนั่งอยู่ อีกด้านหนึ่งเป็นสาวน้อยน่ารัก เป็นสาวน้อยโลลินั่นเอง

ที่นั่งถัดมาทั้งสองข้าง มีคนใส่ผ้าป่านแขนยาวพลิ้วไหว มีคนหนึ่งใส่หมวกทรงสูงโอนเอนไปมา มีคนหนึ่งลูกตาไม่เป็นแนวเดียวกันและหมุนวนไปมา ส่วนอีกคนหนึ่งท้องใหญ่พุงโตไขมันกระเพื่อม

สีชาดบนใบหน้าของพวกเขาแต่งได้จัดจ้านมาก กระทั่งไม่ค่อยสมจริงอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าพวกเขาจะยิ้ม แคะหู หรือโวยวาย มักให้ความรู้สึกอึดอัดน่าสะพรึงกลัวบางอย่างแก่ผู้คน เหมือนกับทารกอรหันต์หนึ่งร้อยแปดรูปในวัด ถึงแม้ภาพลักษณ์ของพวกเขาจะน่ารักไร้เดียงสาเพียงใด แต่สำหรับคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่กล้าหัวเราะพวกเขาจริงๆ

ราวกับว่าท่ามกลางความมืดมิดมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองคุณอยู่เหนือศีรษะของตัวเอง

หากมองอย่างละเอียด จะพบว่าสไตล์การแต่งตัวของคนกลุ่มนี้ จริงๆ แล้วคล้ายกับคนกระดาษที่วางอยู่มุมหนึ่งในร้านของชำคนตายเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าถอดเสื้อผ้าของคนกระดาษออกมาแล้วเอามาใส่ให้ตัวเอง

มันตลกและน่าขันมากใช่ไหม แต่มันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ขอบปากของทุกคนมีรอยสีแดงที่แปลกประหลาด เหมือนจงใจทาปากสีแดงเกินจริงเป็นอย่างมาก ดูสะดุดตาเหลือเกิน

เจี่ยเป่าอวี้พูดว่าเขาชอบกินสีแดงๆ บนปากของพี่สาวมากที่สุด แต่ถ้าหากเขาเห็นสีแดงที่อยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงตกใจจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ท่ามกลางอากาศ กลิ่นของขี้เถ้าลอยฟุ้ง มีกะละมังไฟวางอยู่ตรงกลางของทุกคน มีถ่านติดไฟวางอยู่ข้างใน ขณะเดียวกันก็มีเงินกระดาษเป็นปึกๆ วางอยู่บนชั้นวาง จากนั้นมันก็ลอยเข้าไปเผาในกองไฟโดยอัตโนมัติ

มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู เป็นผู้หญิงผมยาว

เธอก้มหน้าเล็กน้อย ผมยาวปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้

รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นสง่างามและ…เย้ายวน ถ้าคนทั่วไปได้เห็นเธอ คงอยากให้เธอแหวกผมออกเพื่อดูใบหน้าที่แท้จริงของเธอ เพราะใครต่างก็สงสัยในความงามของเธอทั้งสิ้น

แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ไม่มีความคิดเช่นนี้เลย เพราะพวกเขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้…ไม่มีใบหน้า

“ยังไม่มา”

ผู้ชายหนวดเครายาวที่นั่งอยู่ข้างๆ สาวน้อยโลลิพูดเสียงทุ้มหนักและขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ขอให้ทุกคนรออีกหน่อย” สาวน้อยโลลิพูด

ผู้ชายหนวดเครายาวพยักหน้า จากนั้นเอ่ยว่า “ปกป้องพลังชี่เอาไว้ พยายามถ่วงเวลาที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ของพวกเราอย่างเต็มที่”

ยันต์กระดาษสีดำแต่ละใบลอยออกมาจากแขนเสื้อของผู้ชายหนวดเครายาว ลอยไปทั้งสี่ทิศ

ทุกคนที่อยู่นั่งบนเก้าอี้ยื่นมือหยิบยันต์กระดาษหนึ่งใบ แล้วแปะที่ระหว่างคิ้วของตัวเอง แม้แต่ผู้ชายหนวดเครายาวก็ยังเอามาแปะตัวเองหนึ่งใบ

ชั่วเวลาหนึ่ง เงียบสงัดไปทั่วร้าน คนที่มีกระดาษยันต์แปะอยู่ไม่มีใครขยับสักคน ราวกับว่าถูกร่ายคาถาตรึงร่างกายเอาไว้

ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาไม่แตกต่างอะไรจากคนกระดาษที่อยู่ในร้านของชำคนตาย

สาวน้อยโลลิลุกขึ้น เธอยื่นมือหยิบยันต์กระดาษใบหนึ่ง แล้วเดินไปตรงหน้าผู้หญิงไร้หน้า

ผู้หญิงไร้หน้าเงยหน้าขึ้นช้าๆ “ร่างแยกของข้าถูกทำลายแล้ว”

“แค่ร่างแยกเท่านั้น” สาวน้อยโลลิไม่ถือสา

“เธอคือสิ่งที่ข้าเหลือไว้คอยจับตาเขา” ผู้หญิงไร้หน้าเอ่ยเตือน

“เจ้าคิดว่า รอข้ากลับไปแล้ว ยังจะมีตำแหน่งของเขาอีกไหม” สาวน้อยโลลิยิ้มเล็กน้อย “เขาเป็นคนทำงานแทนข้าชั่วคราวเท่านั้น ช่วยข้าดูแลกุญแจแห่งนรกเท่านั้นเอง และในทงเฉิง จะมียมทูตคนที่สามไม่ได้”

“อย่างนั้นข้าจะทำยังไง” ผู้หญิงไร้หน้าตวาดถาม

“ไม่มีข้า พวกเจ้าดึงดูดเขามาไม่ได้หรอก”

“ยมทูตเมืองทงเฉิงบวกกับข้าก็มีสองคนแล้ว และมีหนึ่งคนในนั้นกำลังจะดับสลาย นี่คือตำแหน่งที่ข้าเหลือไว้ให้เจ้า” สาวน้อยโลลิยื่นมือจับปลายผมของผู้หญิงไร้หน้า “รอให้เรื่องจบก่อน แล้วข้าจะหาตำแหน่งให้เจ้า เพื่อให้เจ้าได้อยู่ในโลกมนุษย์”

ผู้หญิงไร้หน้าก้มหน้าอีกครั้ง

“ข้าสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง ทำไมเจ้าถึงยึดติดกับไอ้หมอนั่นมาก เขาเป็นแค่ของเล่นที่ถูกอีกคนหนึ่งในเมืองทงเฉิงสร้างขึ้นมาเท่านั้น อ้อไม่สิ เป็นของขวัญเท่านั้น”

“ของขวัญ?”

ผู้หญิงไร้หน้าหัวเราะแห้งๆ สองทีภายใต้เส้นผมที่ปิดบังใบหน้า “ในสายตาของข้า ของขวัญชิ้นนี้ สำคัญกว่าคนที่พวกท่านกำลังรอ”

สาวน้อยโลลิหรี่ตาเล็กน้อย เธอสามารถฟังความหมายแฝงของผู้หญิงไร้หน้าออก ผู้หญิงที่เกิดขึ้นมาจากสระแห่งความแค้นที่อยู่ข้างเส้นทางน้ำพุเหลืองคนนี้ มีชีวิตมานานแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ได้มากกว่า

“อ้อ ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นรอให้ข้ากลับไปก่อนแล้วค่อยจับเขามาสอบสวนสักหน่อย”

เส้นผมของผู้หญิงไร้หน้ากระจายออกอย่างฉับพลัน ใบหน้าของผู้หญิงไร้หน้ากลับเริ่มมีใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งสีหน้าของเธอทรมานเป็นอย่างมาก เหมือนกำลังดิ้นรนอยู่

“เธอ เจ้ายังควบคุมไม่ได้เหรอ” สาวน้อยโลลิแปลกใจเล็กน้อย

“ดิ้นรนกระเสือกกระสนเก่งมาก” ผู้หญิงไร้หน้าตอบ “มีจิตใจแน่วแน่ ไม่ต่างไปจากยมทูตอย่างพวกท่าน”

สาวน้อยโลลิยิ้มเล็กน้อย พลางยื่นมือหยิบยันต์กระดาษโยนทิ้งเข้ากองไฟ

“ท้ายที่สุดก็เป็น…การดิ้นรนที่ไร้ความหมายเท่านั้น”

แสงไฟจางๆ กับราตรีอันมืดมิด ประกายไฟกระเด็นออกมาจากกะละมังไฟ

‘เปรี๊ยะ’

‘เปรี๊ยะ’

‘เปรี๊ยะ‘

‘เปรี๊ยะ’

ถนนเหล่าเจียท่ามกลางสายฝนโปรยปราย บรรยากาศเย็นเยียบไม่น้อย บนถนนที่ไม่ค่อยเรียบ สามารถเห็นแอ่งน้ำเป็นหลุมเป็นบ่อเล็กๆ ได้ทุกที่

ชายหนุ่มใส่เสื้อฮู้ดคนหนึ่งค่อยๆ เดินอยู่บนถนนที่มีโคลนเปรอะเปื้อนอย่างช้าๆ

ศีรษะของเขาซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเสื้อฮู้ดตัวนี้ เงาร่างกลมกลืนไปกับยามราตรีที่อยู่ข้างหลังได้อย่างลงตัว

‘เมี้ยว‘ ข้างกายของเขา มีแมวสีขาวตัวหนึ่งเดินอย่างสง่างาม เดินตามเขาเป็นจังหวะ

หนึ่งคนหนึ่งแมว ภายใต้แสงไฟสลัว ดึงเงาของทั้งสองให้ยาวขึ้น

เสียงลมพัดจากทุกทิศทางเข้ามาเป็นระยะ ท่ามกลางความว่างเปล่าและดำมืด หมุนวนอยู่เหนือถนนเหล่าเจียอยู่นานไม่ยอมไปไหน

ชายหนุ่มรูปร่างไม่กำยำ แต่กลับให้ความรู้สึกทรงพลังมีอำนาจแก่ผู้คน เขาเหมือนดาบไร้เสียงที่เพียงชักออกจากฝักก็สามารถฟันความมืดให้ขาดเป็นสองท่อน

ทางข้างหน้ามีร้านโต้รุ่งแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง

กิจการในคืนนี้ไม่สู้ดีเท่าไร สามีนั่งอยู่ข้างๆ ไอไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหวัด

ชายหนุ่มเดินไปที่ร้าน เถ้าแก่เนี้ยเงยหน้า มองเห็นชายหนุ่ม เธอจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“ครับ” ชายหนุ่มขานรับหนึ่งที

“เมี้ยว” แมวสีขาวก็ขานรับ

เถ้าแก่เนี้ยเริ่มทำน้ำซุป เป็นกระเพาะปลา เธอรู้ว่าเขากินแค่สิ่งนี้เท่านั้น

ยามดึกแบบนี้ ได้กินกระเพาะปลาเนื้อนุ่มหนึ่งชาม ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ช่วงเวลาที่เงียบสงบ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

เถ้าแก่ยังคงนั่งไออยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นลูกค้าขมวดคิ้วเวลากิน เขาคิดว่าลูกค้ารังเกียจตัวเอง ดังนั้นจึงยิ้มอย่างขอโทษแล้วหันไปอีกด้าน

ชายหนุ่มตะลึง เขารู้ว่าเถ้าแก่เข้าใจผิด เพราะเวลากินข้าว เขาทำสีหน้าแบบนี้ตลอด

แต่คืนนี้หนาวไปหน่อย ไม่อย่างนั้นเรื่องกินข้าว หากเขาสามารถประหยัดได้ก็จะประหยัด สามารถมองข้ามได้ก็จะมองข้าม

เมื่อวางชามตะเกียบแล้วจึงจ่ายเงิน ชายหนุ่มลุกขึ้นหมุนตัวเดินออกมา เขาเดินเข้าไปในส่วนลึกสุดของถนนเหล่าเจีย และแมวสีขาวตัวนั้นก็เดินตามข้างหลังเขาไม่ห่างไปไหน

ไม่ว่าจะดึกมากแค่ไหน ทุกคนมักจะหาตำแหน่งบ้านของตัวเองได้เสมอ

ชายหนุ่มเดินไปที่หน้าร้านของชำคนตาย แล้วหยุดเดิน

แมวสีขาวกลับกระโดดไปที่บันได มันหาตำแหน่งที่คุ้นเคยของตัวเองเจอแล้ว

ใช่แล้ว ตำแหน่งที่คุ้นเคย เมื่อก่อน สิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดก็คือลากเก้าอี้ออกมาหนึ่งตัว แล้วนั่งบนบันไดนอนอาบแดดอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน

เถ้าแก่เนี้ยร้านนวดที่อยู่ข้างๆ ยังเคยแซวว่าเขาเหมือนคุณปู่คนหนึ่ง

เขาเหลือบตามองร้านข้างๆ เธอยังไม่กลับมา

มีบางคนที่ไปแล้วไม่มีวันกลับมาอีก แต่มีบางคน หลังจากที่เดินไปไกลแล้วยังคงมองตัวเองอยู่

เขาคิดว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะหายไปจากโลกนี้อย่างกะทันหัน ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น คนที่ชอบความโดดเดี่ยว มักจะห้อมล้อมตัวเองด้วยความเงียบเหงาเพื่อความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

และด้วยเหตุที่ว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ และด้วยเหตุที่ว่ามีคนให้ความสนใจตัวเอง ดังนั้นเขาจึงกลับมา เขาต้องการคำอธิบาย หาคำอธิบายให้กับคนที่สนใจเขา ขณะเดียวกันก็หาคำอธิบายให้ตัวเองด้วย

เขาเดินขึ้นไปบนบันได เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เขาไม่ได้เคาะประตู เพราะที่นี่เป็นร้านของเขาและเขาก็มีกุญแจ

วินาทีที่เขาไขกุญแจเข้าไป เส้นผมยาวของผู้หญิงไร้หน้าลอยขึ้นมาทันที สาวน้อยโลลิยืนตัวตรงเหมือนผู้ใหญ่ในคราบเด็ก และยันต์กระดาษที่ติดอยู่บนหน้าผากของทุกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้งสองข้างก็พลันมลายหายไป ทุกคนลืมตาทั้งสองข้างพร้อมกัน แล้วมองไปที่ประตูใหญ่!

‘แอ๊ด…’ ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก

สาวน้อยโลลิมองคนที่อยู่นอกประตูแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ในที่สุดก็จับเจ้าได้แล้ว”

ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย เพื่อแสดงว่าอีกฝ่ายพูดผิด แล้วพูดแก้ไขให้ถูกต้อง “ไม่ แต่เป็นผม ที่กลับมาแล้ว”

…………………………………………………………………………