เว่ยหยางไม่ได้มองไปที่หลินเทียนอ้าวแต่กลับจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างลึกล้ำขณะที่เธอพูดว่า “เด็กน้อย ข้ามีชีวิตมายืนยาว แต่พรสวรรค์ของเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่พลาดโอกาสนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างที่เจ้ารู้ ศาสตรามณียุทธ์นั้นมีความสำคัญสูงสุดสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือสำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้า ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้หลอมรวมศาสตรามณียุทธ์กับมณีทั้ง 3 ครบแล้วหรือยัง แต่ถ้าเจ้าต้องการจะเป็นยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เจ้าจะต้องไม่ผลาญมณียุทธ์ไปอย่างเปล่าประโยชน์อีก เพื่อใช้ประโยชน์จากมณีธาตุทั้ง 6 ของเจ้าได้อย่างเต็มที่ มีเพียงชุดในตำนานเท่านั้นที่คู่ควรอย่างแท้จริง”

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ถึงอย่างไรหญิงชราที่เรียกตนเองว่าเว่ยหยางคนนี้ก็เพิ่งจับข้อมือของเขาได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่เธอกลับรู้ความลับของเขาแล้วว่ามีทักษะธาตุ 6 ชนิด?!

นั่นคือพลังประเภทไหนกันแน่?

ราวกับรับรู้ถึงความตกใจของเขา เว่ยหยางยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแปลกใจขนาดนั้น ประสาทสัมผัสของข้าไวและเปิดกว้างกว่าคนอื่นๆ เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ! เจ้ามีอาจารย์อยู่แล้ว มิฉะนั้นข้าจะต้องนำเจ้ามาเป็นศิษย์ของข้าให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม!”

แม้ว่าหญิงชราจะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เมื่อเธอพูดคำเหล่านั้นออกมา โจวเหว่ยชิงก็ไม่สงสัยในความมุ่งมั่นและจริงจังของเธอเลยแม้แต่น้อย

หลินเทียนอ้าวที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าโจวเหว่ยชิง เขาไม่ใช่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์และไม่เข้าใจบางสิ่งที่หญิงชราพูดออกมา แต่แน่นอนว่าระดับพลังปราณของเขาสูงกว่าของโจวเหว่ยชิงมาก ดังนั้นหลังสังเกตหญิงชราคนนี้อยู่นาน ประสาทสัมผัสของเขาจึงกู่ร้องบางอย่าง หญิงชราผู้นี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่จริง ประสาทสัมผัสของเขาไม่สามารถตรวจจับการปรากฏตัวของเธอได้ ทว่าหญิงชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าอย่างไรกันแน่? พลังของหญิงชราผู้นี้ต้องอยู่เหนือกว่าโจวเหว่ยชิงหรือตัวเขาไปไกลมากทีเดียว

“พี่เว่ยหยาง หญ้าหยกใต้พิภพขนทองของท่านพร้อมแล้วหรือยัง? เร็วเข้า พวกเรารอเจ้านั่นเป็นอย่างสุดท้ายเท่านั้น” ในขณะนั้น พวกเขาก็ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหันด้วยเสียงที่ดังมาจากข้างนอก ในทันใดนั้นเอง จู่ๆ ชายชรารูปร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาหาพวกเขา

ชายชราผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วง ผมสั้นสีขาวอมเทาของเขาชี้ขึ้นเหมือนเข็มเม่น รูปร่างหน้าตาของเขาจัดว่าดูดีในระดับหนึ่ง ให้ความรู้สึกเรียบง่ายและมีกลิ่นอายของความสง่างาม ร่างกายของเขาแข็งแรงบึกบึนเกือบจะเทียบเท่ากับหลินเทียนอ้าวและโจวเหว่ยชิง อย่างไรก็ตาม เขามีมือที่เพรียวบางและเรียวมาก แทบจะเป็นเพียงส่วนเดียวของร่างกายที่มีสีขาวราวกับหิมะแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

ได้ยินเสียงของชายชรา เว่ยหยางไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง แต่กลับโยนกล่องที่มีหญ้าหยกใต้ขนทองไปข้างหลังตัวเองทันที

“เจ้านำนี่ไปก่อน ข้ามีบางอย่างที่ต้องจัดการ”

ชายชราคว้ากล่องหยกไว้ได้อย่างง่ายดาย และในขณะที่เขาทำเช่นนั้น ชายชราก็กวาดสายตาไปทั่วร่างของโจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าว เขากล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เว่ยหยาง เด็กเหล่านี้เป็นพวกที่เพิ่งมาใหม่หรือเปล่า? เจ้าสนใจศิษย์น้อยเหล่านี้ด้วยรึ? นั่นไม่ใช่นิสัยของเจ้าเสียหน่อย ผู้รักษาโลกันตร์!”

เว่ยหยางหมุนตัวกลับไปหาอีกฝ่ายและจ้องมองชายชราที่สวมชุดม่วงทันที เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เย่รุ่ยเฉิน หากเจ้าอยากตายก็บอกข้ามาดีๆ ซะ หากเจ้ากล้าเรียกข้าด้วยฉายาเก่านั่นอีกครั้ง หญิงชราคนนี้จะทำให้เจ้าไม่ใช่คนอีกต่อไป!”

สีหน้าของชายชราที่สวมชุดสีม่วงพลันแข็งกระด้าง เขามองไปที่เว่ยหยางอย่างระมัดระวัง “เจ้าจะบ้าไปแล้วรึ? อืม ดูเหมือนว่าศิษย์น้อยสองคนนี้จะมีสถานะบางอย่างในใจของเจ้าสินะ? ไหน ให้ข้าดูบ้างซิ”

ทั้งโจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวรู้สึกว่าการมองเห็นของพวกเขาพร่ามัวไปชั่วขณะเนื่องจากแสงสีม่วงที่พุ่งเข้ามา อย่างไรก็ตาม ด้านเว่ยหยางเองก็ตอบสนองทันที อากาศรอบตัวพวกเขาดูเหมือนจะแปรปรวนอย่างรุนแรง หญิงชราส่งชายเสื้อม่วงกลับออกไปพร้อมกับตนเอง ในชั่วพริบตาต่อมา อากาศพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งโจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวสามารถมองเห็นเงาสีเทาและเงาสีม่วงปะทะกันด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ กระพริบวูบวาบไปมากลางอากาศคล้ายลำแสง 2 สายที่พุ่งตัดกันอย่างฉวัดเฉวียน ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นพวกเขาปะทะกันแทบไม่ทราบจำนวนครั้ง

โจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวมองหน้ากันอย่างอับจนหนทาง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดผู้อาวุโสทั้งสองจึงต้องต่อสู้กันเองเช่นนี้ด้วย?

“ฮ่าๆๆๆ! ข้ารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับปฏิกิริยาของเจ้า หากเจ้าเด็กพวกนี้ คนใดคนหนึ่งดึงความสนใจจากดวงตาหลักแหลมของเว่ยหยางไปได้จริงล่ะก็ อืมม…เป็นไปได้ไหมว่าเขามีพรสวรรค์ในการสืบทอดทักษะของเรา? ยิ่งเจ้าไม่ต้องการให้ข้าดูมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งตั้งใจจะทำเช่นนั้น!” ชายชราที่สวมชุดสีม่วงหัวเราะออกมาเสียงดัง

เว่ยหยางพูดอย่างโกรธเคือง “เย่รุ่ยเฉิน เจ้ากำลังร้องขอความตายใช่หรือไม่? ฮึ่ม! สหายตัวน้อยคนนั้นมีอาจารย์อยู่แล้ว”

“มีอาจารย์แล้วอย่างไร? หรือว่าอาจารย์ของเขาแข็งแกร่งกว่าข้า? นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด!” เย่รุ่ยเฉินกล่าว ยิ้มๆ “เว่ยหยาง เจ้าอาจมีระดับพลังปราณสูงกว่าข้า แต่เราทั้งคู่มีทักษะธาตุมิติเหมือนกัน เจ้าก็รู้ว่าหากข้าตั้งใจแน่วแน่แล้วล่ะก็ ข้าย่อมทดสอบพวกเขาได้ไม่ยากอยู่แล้ว อย่างมากที่สุดข้าก็อาจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทำไมเจ้าต้องยืนกรานจะหยุดข้าด้วยล่ะ? เห…ดูเหมือนว่าความสามารถของพวกเขาจะต้องเป็นสิ่งที่เจ้ามีปฏิกิริยาด้วยอย่างรุนแรงแน่!”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว หากเจ้ากล้าจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมลดละอีกล่ะก็ หญิงชราคนนี้จะทำให้เจ้าพิการอย่างที่สัญญาไว้แน่! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าบังคับเด็กคนนี้เด็ดขาด!”

“บังคับ? บังคับอะไรกัน? อันธพาลน้อยทั้งสองนี้อายุเท่าไหร่กันเชียว? แล้วถ้าพวกเขามีอาจารย์ ชายชราคนนี้ก็สามารถรับอาจารย์ของเขาเป็นศิษย์ของตัวเองได้อยู่ดี เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นศิษย์หลานของข้าใช่ไหมล่ะ? ฮิๆๆ”

เกิดแสงวูบวาบขึ้นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ทั้งสองจะแยกออกจากกันในที่สุด แต่ละคนยืนอยู่ที่ด้านข้างพลางหอบหายใจเล็กน้อย เว่ยหยางจ้องมองเย่รุ่ยเฉินด้วยความโกรธและพูดว่า “เจ้า! พวกโง่เง่าตัวเหม็น! ทำราวกับว่าอาจารย์ของเขาจะไม่มีอาจารย์เป็นของตัวเอง? เจ้ามีลูกศิษย์อยู่สองสามคนแล้ว แต่หญิงชราคนนี้ในที่สุดก็ได้พบผู้ที่ต้องตาบ้างเสียที เจ้ายังกล้าจะฉกฉวยไปจากข้าหรือ?”

เย่รุ่ยเฉินยิ้มและเอ่ยว่า “เห….หางจิ้งจอกของเจ้าโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม? ‘เขามีอาจารย์แล้ว’ อะไรกัน ข้อแก้ตัวทั้งเพ! ใครเป็นคนตั้งกฎว่าศิษย์ผู้หนึ่งจะมีอาจารย์ได้เพียงคนเดียว? ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าเห็นเขาก็ย่อมได้ แต่บอกกับข้ามาตามตรงว่าในบรรดาเด็ก 2 คนนี้ ใครที่เจ้าหมายตาเอาไว้ แล้วอะไรคือความโดดเด่นเกี่ยวกับพรสวรรค์ของเขา?”

ในขณะนั้น เสียงแหบพร่าหนึ่งก็เดินทางมาขัดจังหวะ ทำให้พวกเขาหยุดชะงักไป “พวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรอยู่! รีบกลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้ เกือบจะถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว!”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น สีหน้าของทั้งเว่ยหยางและเย่รุ่ยเฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขามองหน้ากันอย่างไม่มีใครกล้าชักช้าอีก เพียงพริบตาเดียวพวกเขาทั้งคู่ก็หายตัวไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมด้วยอาการสับสนมึนงง

หลินเทียนอ้าวหันไปทางโจวเหว่ยชิงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจ “ทั้งสองคนมีพลังสูงส่งมาก ข้าไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาอยู่ในระดับใด เหว่ยชิง เมื่อกี้พวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่หรือ?”

จากบทสนทนาของเว่ยหยางและเย่รุ่ยเฉิน โจวเหว่ยชิงจับใจความสำคัญของเรื่องราวได้และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเหตุโต้แย้งที่เกิดจากพรสวรรค์ของเขาเอง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองต้องเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขึ้นไปแน่ นอน!

หลังจากคิดได้ดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่พวกเราไปร่วมสนุกที่ชั้น 4 กันเถอะ!”

หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วและพูดว่า “เหว่ยชิง พวกเขาต่อสู้กันแย่งเจ้าก่อนหน้านี้ ทำไมเจ้าถึงจะส่งตัวเองเข้าปากเสืออีกล่ะ? ด้วยระดับพลังของทั้งคู่ พวกเขาสามารถฆ่าเราได้เพียงปลายนิ้วด้วยซ้ำ”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “คนเราจะเห็นค่าสิ่งนั้นก็ต่อเมื่อมีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ การที่พวกเขาต่อสู้แย่งข้าอาจจะดีกว่าก็ได้ ผ่อนคลายเถอะน่า รับประกันว่าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นแน่นอน ใครจะรู้ว่าอาจมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นก็ได้ มาเถอะ พวกเราไปลองดูกันดีกว่า” เมื่อพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็รีบเดินไปยังประตูทางขึ้นที่นำไปสู่ชั้น 3 ทันที

แม้ว่าหลินเทียนอ้าวจะยังคงกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์และไม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนั้นมากนัก ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงติดตามโจวเหว่ยชิงไปเท่านั้น

หลังจากพวกเขาขึ้นไปถึงชั้นที่ 3 ได้แล้ว ขณะที่กำลังจะขึ้นสู่ชั้นที่ 4 ทั้งคู่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะมีผู้มาขวางทางเอาไว้

คนที่หยุดพวกเขาเป็นชายชราชุดขาว 4 คน ดูแล้วทั้งหมดน่าจะอายุประมาณ 60-70 ปี คนที่ดูจะเป็นหัวหน้ายกมือขึ้นเพื่อห้ามไม่ให้ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดต่อไป ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าต้องขออภัยด้วย ชั้นที่ 4 ปิดทำการชั่วคราว หากท่านทั้งคู่ต้องการม้วนคัมภีร์แบบสั่งทำ พวกท่านจะต้องรอสักครู่จึงจะเข้าได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจบอกได้ว่าจะใช้ระยะเวลานานเท่าใด”

เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา แววตาของโจวเหว่ยชิงก็เจือแววผิดหวัง เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดกับหลินเทียนอ้าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ พวกเราคงต้องกลับไปหาซื้อวัตถุดิบรอไปพลางๆ ก่อน นอกจากนี้เรายังสามารถเดินดูชั้นที่ 3 ด้วย บางทีอาจพบม้วนคัมภีร์ที่น่าสนใจก็เป็นได้”

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะหันหลังจากไปพร้อมกับหลินเทียนอ้าว น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากด้านหลังของผู้คุมชุดขาวทั้ง 4 “ใครมาส่งเสียงดังแถวนี้ เงียบๆ หน่อย อย่ารบกวนอาจารย์”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขาหมุนตัวกลับไปอย่างกะทันหันและเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังผู้เฝ้าประตูทั้ง 4 หญิงสาวผู้ที่อยู่ในความฝันของเขาทุกค่ำคืน นั่นไม่ใช่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หรอกหรือ?!

“ปิงเอ๋อร์!” โจวเหว่ยชิงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมชุดสีขาวและได้ยินโจวเหว่ยชิงเรียกหา เธอจึงชะงักด้วยความประหลาดใจ “อ้วนน้อยโจว?” ขณะพูดอย่างนั้น เธอก็เดินออกมาจากด้านหลังผู้เฝ้าประตูชุดขาวทันที

ขณะโจวเหว่ยชิงเรียกปิงเอ๋อร์ครั้งแรกเขาก็ค่อนข้างระแวงเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วความทรงจำเกี่ยวกับการถูกซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ตบหน้าก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา โดยเฉพาะความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บปวดอันแสนยาวนานนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองอย่างใกล้ชิดแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คนนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายเย็นชาคล้ายซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ นอกจากนี้ เมื่ออีกฝ่ายมองเห็นเขา เธอก็ยังเรียกเขาว่าอ้วนน้อยด้วย ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและสวมกอดเธอเอาไว้เต็มรักอย่างไม่รู้ตัว

อย่างที่โบราณเคยกล่าวไว้ ความสูญเสียทำให้คนเราตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าบางสิ่งสำคัญเพียงใด เมื่ออยู่กับสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงไม่ได้เปิดเผยว่าเขาได้รับผลกระทบจากการหายตัวไปของอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทั้งยังคิดถึงเธอมากเพียงใด ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะกลัวว่าความกังวลของเขาจะส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมกลุ่ม แต่ในความเป็นจริงมันกลับรบกวนจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นโจวเหว่ยชิงคงไม่เสี่ยงชีวิตต่อสู้กับปีศาจน้อยเซินพร้อมกับเปิดเผยไพ่ตายของตัวเองทั้งๆ ที่สิ่งนั้นผิดกับนิสัยที่แท้จริงของเขาแน่

ในเวลานี้ ในที่สุดก็ได้พบปิงเอ๋อร์อีกครั้ง เขาดีใจมากและตรงเข้าไปสวมกอดเธอทันที

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงพุ่งเข้าใส่เธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตกใจ หญิงสาวยกมือขึ้นราวกับจะปัดป้องเขา แววตาของเธอเผยแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ‘ซ่างกวนปิงเอ๋อร์’ คนนี้ประเมินความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงต่ำเกินไป หญิงสาวไม่ต้องการทำร้ายโจวเหว่ยชิง ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้ใช้กำลังมากนักทว่าอีกฝ่ายกลับกระตือรือร้นและเผลอใช้แรงมากเกินไป โจวเหว่ยชิงไม่เคยคิดเลยว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะปฏิเสธอ้อมกอดของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกอดเธอเต็มแรงในทันทีโดยไม่ได้ยั้งคิดใดๆ

ผลที่ตามมาคือแขนของ ‘ซ่างกวนปิงเอ๋อร์’ ไม่สามารถปิดกั้นอ้อมกอดของโจวเหว่ยชิงได้เลย ทั้งยังทำให้แขนของเธอติดอยู่กลางอ้อมกอดของเขาด้วย

โจวเหว่ยชิงโหยหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากเกินไป และเมื่อเขากอดหญิงสาวตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ก้มหน้าลงประกบจุมพิตอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นทันที

เมื่อถูกจูบโดยไม่รู้ตัว “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์” ก็ชะงักด้วยความตกใจขณะถูกจูบอย่างลึกซึ้ง

………………………………………………………….