บทที่ 267 อย่ามีปัญหากับจอมมาร

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 267 อย่ามีปัญหากับจอมมาร

เศษกระจกนับไม่ถ้วนแตกกระจายราวกับสายฝน บรรดาจอมยุทธ์ที่รับชมการต่อสู้รีบหาที่หลบกันจ้าละหวั่น

แรงระเบิดน่ากลัวมากเกินไป มวลอากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง

ชายวัยกลางคนที่ติดปีกจักรกล ซึ่งลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าส่งเสียงร้องโหยหวน ใบหน้าซีดขาว กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ ดวงตาจ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นด้วยความหวาดกลัว

แต่หลังจากนั้น ริมฝีปากของเขาก็บิดตัวเป็นรอยยิ้ม เมื่อพบว่าฉู่ชวิ๋นไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้อีกต่อไป ชายหนุ่มกำลังตกลงไปข้างล่างจนลงไปสู่พื้นดินด้านล่างแล้ว

รอยยิ้มของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าสีม่วงคล้ำ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าแส้ไหมรัดพันรอบเอวของตัวเองและฉุดดึงกลับลงไปด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่

ปีกจักรกลที่เครื่องยนต์ชำรุดพยายามพ่นไฟออกมาอีกครั้ง เพื่อคงระดับความเร็ว ไม่ให้ถูกแส้ดึงกลับลงไปบนพื้น

ตู้ม!

ฉู่ชวิ๋นกลับมาถึงพื้นดิน พื้นดินบริเวณที่เท้าของเขาสัมผัสพื้น ยุบตัวลงไปในทันที

ชายหนุ่มกระตุกแส้ในมือแล้วร่างของชายวัยกลางคนที่ลอยอยู่ในอากาศ ก็ถูกดึงวูบลงมา ตกกระแทกพื้นอย่างแรง

อื้อหือ!

บรรดาจอมยุทธ์ที่รับชมการต่อสู้ พร้อมใจกันอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของทุกคนบิดเบี้ยวด้วยความเสียวไส้ เนื่องจากพบว่าชายวัยกลางคนถูกกระชากลงมาจากกลางอากาศ จนใบหน้าฟาดลงกับพื้นอย่างแรง น่าจะเจ็บไม่ใช่น้อย

“ฉู่ชวิ๋น…” ชายวัยกลางคนคำรามด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่จะกระโดดลุกขึ้นยืนด้วยความอับอาย

อย่างไร เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ร่างกายจึงบาดเจ็บไม่ได้อะไรมากมีแต่จิตใจเท่านั้นที่อับอายเกินจะเยียวยา

“หนังหนาใช้ได้เลยนี่ ถือว่ามีฝีมือไม่เบา” ฉู่ชวิ๋นพูดเย้ยหยัน

อันที่จริงแล้ว เมื่อมองดูให้ดีอีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่ได้เป็นชายวัยกลางคนอย่างที่เขาเข้าใจแต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 คนนี้ มีหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาว อายุอานามไม่น่าเกิน 30 กว่าปี แต่ตอนนี้ดวงตาของเขาแวววาวไปด้วยความโกรธแค้นและใบหน้าก็บิดเบี้ยวดูไม่ได้

“ไม่คิดเลยนะว่าจอมมารฉู่จะเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยวิธีลอบกัดแบบนี้ ถือว่าหน้าไม่อายเลยจริงๆ ”

“สามหาว ถือดียังไงมาพูดจาแบบนี้ พวกแกเองไม่ใช่เหรอที่ถนัดเรื่องการลอบกัดมากที่สุด?” เหลยเป้าที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ แผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล

“แกชื่ออะไร?” ฉู่ชวิ๋นถาม

“ลั่วอิง” อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

“ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อน” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“…” ลั่วอิงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เขาคือจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 แต่จอมมารฉู่กลับบอกว่าไม่รู้จัก มันช่างน่าปวดใจจริง ๆ

“ฉันบอกแล้วไงว่าแกจะหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

“ถ้าแกไม่ใช้วิธีลอบกัด คิดหรือว่าจะจับตัวฉันได้?”

ลั่วอิงยังคงยืนยันว่าฉู่ชวิ๋นเป็นฝ่ายจู่โจมเขาก่อน

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย “งั้นตอนนี้ฉันจะโจมตีแบบซึ่ง ๆ หน้าแล้ว หวังว่าแกคงจะมีฝีมือรับได้นะ”

เมื่อพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็โคจรพลังลมปราณออกมา เกิดพายุลมหมุนรอบตัวเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะต่อยหมัดออกมา

ลั่วอิงส่งเสียงคำรามพร้อมกับหมุนมือโคจรพลังลมปราณ กลายเป็นลมปราณคุ้มกาย 3 ชั้นห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ในขณะเดียวกัน เขาก็ต่อยกำปั้นปล่อยพลังสวนกลับมา

พลังลมปราณของสองฝ่ายปะทะกัน เกิดเสียงระเบิดสนั่นหู คลื่นพลังลมปราณระเบิดตัวออก แต่ว่ากำปั้นของลั่วอิงไม่เหลือพลังลมปราณอีกแล้ว

โครม!

ลั่วอิงถูกพลังลมปราณกระแทกเข้าอย่างแรง มวลอากาศรอบกายระเบิดตัวออก

กร๊อบ!

ลั่วอิงร้องโหยหวน ร่างกระเด็นลอยมาไกลหลายร้อยเมตร หลังจากที่เขาหล่นกระแทกพื้นแล้ว แขนของชายหนุ่มก็หักงอผิดรูปผิดร่าง

“ว่าไงล่ะ ไอ้หน้าขาว มีอะไรจะพูดอีกไหม?” เหลยเป้าพูดเสียงดังยั่วโมโห

ลั่วอิงมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยประกายโกรธแค้น ดวงตาของเขาฉายแววอำมหิต เพียงแค่สบตามองก็รู้สึกขนลุกไปทั่วกายแล้ว

ฉู่ชวิ๋นยังคงลงมือด้วยความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

ตู้ม!

มวลอากาศสั่นไหว ฉู่ชวิ๋นโคจรพลังลมปราณเต็มสูบแล้วนิ้วมือขนาดยักษ์นิ้วหนึ่งก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ

นิ้วมือขนาดยักษ์นั้นยังไม่ทันจะตกถึงพื้น พื้นดินก็เกิดเป็นรอยแตกร้าวอย่างน่าหวาดกลัว

หนังหัวของลั่วอิงชายิบ เขาร้องคำรามในขณะที่โคจรพลังลมปราณไปทั่วร่างกาย เกิดลมหมุนห่อหุ้มตัวของเขาไว้ ในขณะที่ชายหนุ่มสะบัดฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นไป ปล่อยพลังใส่นิ้วมือขนาดยักษ์นั้น

ตู้ม!

พื้นดินสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว เกิดรอยแตกร้าวรอบตัว เศษดินฟุ้งตลบในอากาศ แล้วแรงระเบิดก็ก่อให้เกิดเป็นกลุ่มควันรูปเห็ดลอยขึ้นบนท้องฟ้า

ลั่วอิงกระโดดหนีออกมาจากศูนย์กลางของแรงระเบิด เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก

ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ฉู่ชวิ๋นมีพลังที่น่ากลัวเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ก่อนหน้านี้ทุกคนเคยคิดว่าการที่ฉู่ชวิ๋นสามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 ได้ ย่อมหมายความว่าฉู่ชวิ๋นไม่น่าจะมีฝีมือเกินกว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 แต่ดูจากพลังฝีมือที่ลั่วอิงเห็นด้วยตาของตนเองในตอนนี้ พลังการต่อสู้ของฉู่ชวิ๋นอย่างน้อยก็เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 4 และนี่คือสิ่งที่ลั่วอิงคิดว่าพรรคพวกของตนเองจำเป็นต้องรู้เอาไว้

ร่างของฉู่ชวิ๋นถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน แต่ไม่มีอะไรสามารถขวางกั้นพลังจิตของเขาได้ ฉู่ชวิ๋นลอยตัวออกมาจากม่านหมอกควันและเริ่มไล่ตาม ลั่วอิงผู้บาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย ฉู่ชวิ๋นไม่รอช้า รีบปล่อยหมัดออกมาทันที

ลั่วอิงคำรามเสียงดัง ดวงตาแดงก่ำ โคจรพลังลมปราณไปทั่วร่างกายจนพลังสูงจนถึงขีดสุด

ตู้ม!

เกิดการปะทะกันของพลังลมปราณขึ้นอีกครั้ง ลั่วอิงกระอักเลือดออกมาเป็นสาย ในขณะที่ร่างลอยกระเด็นไปด้านหลัง

ฉู่ชวิ๋นตามติดเข้าไปรัวกำปั้นใส่ไม่ยั้ง หมัดอันหนักหน่วงของฉู่ชวิ๋นต่อยจนลั่วอิงจมลงไปใต้พื้นดิน

ครืน ครืน!

พื้นดินสะเทือนอย่างแรงก่อนที่จะยุบตัวลงไป ทั่วบริเวณกึกก้องกังวาลไปด้วยเสียงกรีดร้องของลั่วอิง

ฉู่ชวิ๋นแข็งแกร่งมากจริงๆ ลั่วอิงไม่สามารถต้านทานได้เลย ทุกครั้งที่หมัดของชายหนุ่มต่อยลงมาบนตัวเขาจะต้องมีกระดูกแตกหักเสมอ

เมื่อฝุ่นผงในอากาศจางหายไป บรรดาจอมยุทธ์ก็มองทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เกิดความเงียบงันวังเวงดังตามมา ทุกคนได้แต่จ้องมองพร้อมกับรู้สึกหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ

จอมมารฉู่ ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริง ๆ

บนพื้นดินปรากฏหลุมขนาดใหญ่จากพลังของฉู่ชวิ๋น ลั่วอิงนอนจมกองเลือดอยู่ในหลุมนั้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว

“ลุกขึ้นมาสิ ลั่วอิง มัวแต่นอนเล่นอยู่แบบนั้น แกจะชนะได้ยังไง?” เหลยเป้าเป็นคนที่ทำลายความเงียบขึ้นด้วยความสะใจ

“ปากดีนักนะ ถ้าแกมาสู้กับฉัน รับประกันเลยว่าแกไม่รอดแน่” ลั่วอิงกัดฟันตอบกลับมาด้วยความเกลียดชัง

เหลยเป้าเดินถือกระบองเข้าไปที่หลุมนั้น พ่นลมหายใจอย่างดูถูกและหัวเราะเยาะ “ฉันยืนอยู่ตรงนี้แล้วไง ถ้าแกมีความสามารถ ก็ลุกขึ้นมาสู้กันสักสามยกดีไหม แกกล้าหรือเปล่าล่ะ?”

บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนดูอยู่โดยรอบต่างก็ใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล ถ้าทำได้ พวกเขาก็อยากจะเข้าไปต่อสู้กับเหลยเป้าเสียเดี๋ยวนั้น ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ ลั่วอิงในตอนนี้มีสภาพเป็นคนพิกลพิการ ประเมินจากสภาพแล้ว ต่อให้สู้กับเด็กสามขวบก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ไสหัวไป” ลั่วอิงพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก

เหลยเป้ายิ้มด้วยความชอบใจ หันหน้ากลับไปมองฉู่ชวิ๋นและกล่าวว่า

“นายท่านครับ เราจะทำยังไงกับไอ้หมอนี่ดี?”

“เอามันไปยิงเป้า” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ลั่วอิงหน้าแดงก่ำมากกว่าเดิมเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก “จอมมารฉู่ ถ้าจะฆ่าคน ทำไมต้องหยามเกียรติกันถึงขนาดนี้ด้วย?”

จอมยุทธ์ตายใต้คมดาบของศัตรูถือว่าเป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง ลั่วอิงเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ถ้าต้องตายเพราะถูกยิงเป้ามันก็ถือเป็นเรื่องที่ตลกขบขันเกินไปแล้ว!

ฉู่ชวิ๋นหันขวับมาจ้องมองลั่วอิงด้วยแววตาเย้ยหยัน “แกไม่มีค่ามากพอให้ฉันต้องปราณี” พูดจบก็เดินไปหาจิ่วโยวและหายตัวไป

“ฉู่ชวิ๋น แกต้องตาย แกต้องไม่ตายดี วันพรุ่งนี้จะเป็นเวลาตายของแก

ฉันจะไปรอแกอยู่ในนรก” ลั่วอิงแผดเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่ง

ผลั่ก!

กระบองฟาดลงนามบนศีรษะของเขาอย่างแรงส่งผลให้ลั่วอิงหัวหมุนตาลาย เกือบจะหมดสติไปเลยทีเดียว

“หุบปากซะ” เหลยเป้าพูด จับขาลั่วอิงและเดินลากออกมาจากบริเวณนั้น

ลั่วอิงถูกลากออกมาเหมือนกับหมาข้างถนน ทั้งอับอายและโกรธแค้นจนแทบอยากตายแล้ว

ตอนที่เหลยเป้าเดินลากลั่วอิงกลับมาถึงลานจัตุรัสประชาชน ลั่วอิงก็ตกอยู่ในสภาพที่แทบช้ำใจตายแล้วจริง ๆ

กลุ่มคนดูทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ โชคร้ายเหลือเกินสำหรับจอมยุทธ์ผู้นี้ ทั้งที่ลั่วอิงเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 แต่เมื่อมีปัญหากับจอมมารฉู่ คำตอบที่ได้รับก็อย่างที่เห็น มีแต่ตายกับตายสถานเดียวเท่านั้น

“เตรียมตัว” เหลยเป้าออกคำสั่ง

พรึบ!

ปืนสิบกว่ากระบอกที่บรรจุลูกกระสุนเต็มอัตรา ยกขึ้นเตรียมยิง

บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนดูการยิงเป้ามีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง รู้สึกหนาวเย็นไปทั่วสรรพางค์กาย

ต้องมาตายเพราะถูกยิงเป้า ช่างน่าอนาถยิ่งนัก ผู้ติดตามฉู่ชวิ๋นทุกคนต่างก็มีความโหดเหี้ยมอำมหิตไม่แพ้กันเลย

“ยิง!”

ลูกกระสุนจากปืนทุกกระบอก ยิงเข้าใส่ศีรษะของลั่วอิงเป็นจุดเดียวพวกเขาระดมยิงหัวของอีกฝ่ายกว่าครึ่งวันถึงจะปลิดชีพจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ผู้นี้ได้

มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 3 แล้วยังไง? มีฐานะสูงส่งแล้วยังไง? สุดท้ายก็ต้องตายอย่างน่าอนาถใจอยู่ดี

ในวันนี้ เมืองไห่ชิงและเว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์กำลังร้อนระอุ

อย่ายั่วมัจจุราช อย่ายุงกับจอมมาร

เรื่องนี้รู้มาถึงหูหัวหน้าหมายเลขหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวง เขาถึงกับปรบมือด้วยความชื่นชม

สะพานเล็ก สายน้ำไหล ดอกไม้เบ่งบานไปทุกหนทุกแห่ง จักรพรรดิอ๋าวฮวงกำลังจิบชาด้วยความเกียจคร้าน และเอ้ยขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ไอ้เด็กนี้ โหดจริง ๆ เลยวุ้ย”

แต่ในหุบเขาที่อยู่นอกเมืองไห่ชิง มีใครคนหนึ่งกำลังร้องตะโกนพร้อมกับโคจรลมปราณ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วหุบเขา พลังลมปราณของเขาแผ่ออกไปเป็นรัศมีในวงกว้าง ทำให้ต้นไม้หักโค่น ก้อนหินแตกกระจาย

ชายผู้นี้มีนามว่าลั่วเฟ่ย เป็นพี่ชายของลั่วอิง เมื่อได้ข่าวว่าน้องชายถูกฉู่ชวิ๋นฆ่าตาย เขาก็สติแตกเหมือนกับสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นนกหรือสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในหุบเขา ต่างก็ไม่มีตัวไหนกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวทั้งสิ้น

“ฉู่ชวิ๋น ถ้าฉันฆ่าแกไม่ได้ อย่าเรียกฉันว่าคน!” ลั่วเฟ่ยตะโกนกึกก้องหุบเขา เสียงตะโกนของเขาถึงกับทำให้ยอดเขาถล่มลงมาแล้ว

เมื่อจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 4 ระเบิดพลัง ฟ้าดินก็สั่นสะเทือนในทันที

“จอมมารฉู่ มันสมควรตายจริง ๆ” ภายในห้องที่มืดมิด ชายผู้มีสีหน้าอำมหิตทุบโต๊ะตัวหนึ่งพังไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

“ตอนนี้ปล่อยให้มันได้ใจไปก่อน พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาตายของมันแล้ว”

“ฉู่ชวิ๋น วันพรุ่งนี้ฉันจะทำให้แกได้รู้ว่าความทรมานที่แท้จริงมันเป็นยังไง”

สุ้มเสียงเหล่านี้อัดแน่นด้วยความแค้นเป็นอย่างยิ่ง

……

……

เมื่อฉู่ชวิ๋นกลับมาถึงค่ายทหาร เขาก็ขอตัวไปพักผ่อน เนื่องจากทราบดีว่าพรุ่งนี้มีการต่อสู้ที่ดุเดือดรอคอยอยู่ เขาอยากจะรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดีมากที่สุด

“ว่าไงนะ?”

เหยียนชงดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ บาดแผลของเขาสมานตัวแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาจึงดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

“พวกมันมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอยู่หลายคน มีระดับ 3 ถึง 10 คนและมีระดับ 4 มาอีกคนด้วย ฉันอยากจะตามนายท่านไปด้วยเหมือนกัน แต่นายท่านไม่ยอมให้ไป”

“ความจริงตอนนี้เหลืออยู่แค่ 9 คนแล้ว” เหลยเป้าพูดแทรกขึ้น

“นายหมายความว่ายังไง?” เหยียนชงไม่เข้าใจ

“ลั่วอิงเขาคือจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 วันนี้เขาถูกนายท่านสังหารไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเหลือจักรพรรดิระดับ 3 อยู่อีกแค่ 9 คนเท่านั้น”

เหยียนชงเบิกตาโต “นายพูดถึงเรื่องอะไรกันเนี่ย จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ถึง 9 คนนี่ไม่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ พวกเราร่วมมือกันจะสู้พวกมันสักคนนึงได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

“นายจะขึ้นเสียงใส่ฉันทำไมวะ?” เหลยเป้าตอบกลับมาด้วยความหงุดหงิด “นายท่านบอกว่ามันเป็นคำสั่ง พวกเราจะทำอะไรได้?”

“นายเปลี่ยนใจนายท่านไม่ได้หรือไง?” เหยียนชงพูดเสียงดังรู้ดีว่ากำลังพลของฝ่ายตรงข้ามน่ากลัวจริงๆ

“จะมีใครเปลี่ยนใจนายท่านได้บ้างล่ะ?” เหลยเป้าตอบกลับมาอย่างหมดหวัง น้ำเสียงแข็งกระด้าง

“เลิกเถียงกันได้แล้ว ฉันว่าพอมีวิธีอยู่นะ” แม่หม้ายสาวกล่าวแทรกขึ้น

“ว่ามาเลย”

เหยียนชงและเหลยเป้าหันไปมองเธอพร้อมกัน

“จากที่นี่ไปเมืองกู่เจียงใช้เวลาบินไป 6 ชั่วโมง ไปกลับก็ใช้เวลา 12 ชั่วโมง กว่าจะสู้กันก็อีก 24 ชั่วโมงเชียวนะ ยังไงก็ทันอยู่แล้ว”

“เธอหมายความว่าไง?”

“พ่อแม่ของนายท่านอยู่ที่ภูเขาเฉียนหลงในเมืองกู่เจียง ฉันว่าถ้าจะมีใครเปลี่ยนใจนายท่านได้ ก็คงต้องเป็นพ่อแม่ของนายท่านนี่แหละ”

เหลยเป้าและเหยียนชงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายและพูดว่า

“เป็นความคิดที่ดีมาก ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

จิ่วโยวพลันเดินมาขวางหน้าเหลยเป้าเอาไว้ “ไปไม่ได้!”

“ทำไมล่ะ? เธออยากเห็นนายท่านตายหรือไง?” เหลยเป้าไม่เข้าใจ

“ถ้าไปพาตัวพ่อแม่ของนายท่านมาโดยไม่ได้รับอนุญาต รับรองว่านายได้โดนไล่ออกจากตระกูลฉู่แน่” จิ่วโยวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“…” เหลยเป้าหวาดวิตกขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

“ไม่ต้องห่วง แผนการของเขาที่พวกเรารู้ เป็นแค่เพียงปลายของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น” จิ่วโยวอธิบาย

ปลายของยอดภูเขาน้ำแข็ง พวกของเหลยเป้ามีสีหน้ามึนงงไปตาม ๆ กัน

แต่คำพูดของเด็กหญิงก็ทำให้พวกเขาโล่งใจขึ้นเล็กน้อย ใครกันรู้จักฉู่ชวิ๋นดีที่สุด? ก็ต้องเป็นจิ่วโยวอยู่แล้ว