วิชาล้างสมองของเสี่ยวเชี่ยนล้วนเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมีลำดับขั้น เธอค่อยๆกรอกความคิดใหม่ๆให้กับหลิวเหมย บวกกับพฤติกรรมของครอบครัวหม่า ทำให้หลิวเหมยได้พบกับความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง
ทุกครั้งจะพูดแค่นี้แล้วพอ แต่กลับเป็นคลื่นเล็กๆที่อยู่ในใจของหลิวเหมยได้ทุกครั้ง ปล่อยให้หลิวเหมยได้ไปตกผลึกเอาเอง
“ดูอย่างแม่พี่กับอดีตสามีสิ แม่พี่พยายามมาทั้งชีวิต ก็เหมือนกับที่เธอพูด เสียสละทำงานทุกวัน เหนื่อยตั้งแต่เช้ายันเย็นจนไม่สบาย ทุ่มเทมาสิบกว่าปียังเอาชนะใจสามีไม่เอาไหนไม่ได้ กล้าพูดไหมล่ะว่าแม่พี่ไม่พยายาม แต่หลังจากที่แต่งงานใหม่กับพ่อเลี่ยวฟู่กุ้ย กับข้าวไม่ต้องทำ วันๆได้กินอาหารทำเสร็จใหม่ๆตลอด อ้วนเสียจนพุงแทบระเบิด วันๆมีแต่รอยยิ้ม คนเราทุกคนต่างพยายามด้วยกันทั้งนั้น แต่พยายามในทางที่ถูกหรือไม่นี่สิ ถึงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ตัดสินผลลัพธ์ งานก็แบบนี้ การเรียนก็แบบนี้ เรื่องความรักก็เหมือนกัน ออกเดินทางด้วยสภาพมืดแปดด้าน ขาดอยู่แค่0.02 จะพยายามมากแค่ไหนก็สูญเปล่า ไม่สู้เปลี่ยนเส้นทางดีกว่า”
อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังล้างสมองอย่างชื่นชม สายตาเหลือบไปเห็นอาเหม็ดกำลังยุ่งกับปลาย่างของเมียเขา หึหึ..
“ยังไม่เข้าใจใช่ไหม ได้ เดี๋ยวพี่จะสาธิตโดยใช้นักแสดงจริงให้ดู ดูนะ” เสี่ยวเชี่ยนวอร์มเสียง จากนั้นก็เรียกสุ่ยเซียนที่กำลังเหม่อลอย
“สุ่ยเซียน”
เรียกสองครั้งยังนิ่ง ต้องสะกิดสุ่ยเซียนถึงได้สติกลับมา เธอมองเสี่ยวเชี่ยนเหมือนกำลังถามว่า เรียกฉันทำไม
ตั้งแต่อวี๋หมิงหลางแกล้งสุ่ยเซียนเรื่องจูขี้บ่น สุ่ยเซียนก็เอาแต่เหม่อลอย โลกนี้กลายเป็นสีเทา ในใจคิดแต่ว่า จูขี้บ่นจะไปดูตัว เขาจะไปหาผู้หญิงอื่นแล้ว…
“จูขี้บ่นจะไปดูตัวแล้วเธอเศร้าไหม”
“เธออยากตัดเพื่อนกับฉันอีกรอบใช่ไหม” ตอนนี้สุ่ยเซียนไม่อยากคุยเรื่องนี้
“งั้นถ้าฉันปลอบเธอต้องใช้เวลานานเท่าไรเธอถึงจะอารมณ์ดี” เสี่ยวเชี่ยนถามต่อ
“ห้ามพูดถึงเขาชั่วคราว ภายในหนึ่งปีฉันไม่อยากได้ยินชื่อนี้อีก” ถึงเธอจะเป็นคนบอกเลิกก่อน แต่ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเธอเอาแต่คิดถึงเขา แต่เขากลับจะไปหาผู้หญิงอื่น
“มา ทุกคนมาดูสีหน้าผู้หญิงที่เสียใจคนนี้ หลิวเหมยเธอดูสุ่ยเซียนตอนนี้นะ แบบนี้คือสภาวะ0.99 ต่อให้พี่นั่งปลอบเขา365วันเขาก็ยังคงอยู่ในสภาพนี้ ไม่แน่อาจแย่ไปกว่านี้”
“นี่” สุ่ยเซียนเริ่มไม่พอใจ
“แต่ว่า เดี๋ยวพี่จะลองเปลี่ยนวิธี ประโยคเดียวเปลี่ยนชีวิต—เมื่อกี้เสี่ยวเฉียงโกหกเธอ จูขี้บ่นไม่ได้จะไปดูตัว เขาเพ้อเจ้อไปเอง”
“จริงเหรอ” สุ่ยเซียนสีหน้าเปลี่ยนทันที ไม่ทำหน้าเหงาหงอยอีกต่อไป
เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปที่หน้าสุ่ยเซียนแล้วพูดกับหลิวเหมย
“เห็นหรือยัง นี่ก็คือสภาวะ1.01 ไม่ต้องเหนื่อยอะไรอารมณ์ก็ดีขึ้นเอง ไม่ต้อง365วัน แค่วินาทีเดียวพอ”
วิเดียวก็กอบกู้หัวใจที่เ**่ยวเฉาขึ้นมาได้ แต่ต่อให้ใช้เวลา365วันก็มีคนน้อยมากที่จะลืมรักแท้ของตัวเองได้ นี่คือความแตกต่าง
อวี๋หมิงหลางที่อยู่ข้างๆยกนิ้วโป้งให้เสี่ยวเชี่ยน เมียเขานี่เก่งจริงๆ เป็นการปลอบโยนที่ดุเด็ดเผ็ดมันมาก
คำปลอบโยนนี้ไม่เพียงแต่จะเตือนสติน้องสาวจอมซื่อของเขา ยังได้ทำให้สุ่ยเซียนที่กำลังหลงทางในความรักตื่นตัว
เมียเขานี่สุดยอดสุดๆไปเลย
“งั้นถ้าฉันหาคนที่จะลดช่องว่าง0.02ไม่ได้ไปตลอดชีวิตล่ะคะจะทำไง…” หลิวเหมยถามเสี่ยวเชี่ยนอย่างจนปัญญา
“หาไม่ได้ก็อยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับคนผิดไปตลอดชีวิต”
“แต่ฉันก็ยังอยากลองดู แล้วก็ไม่มีเวลาเหลือเท่าไรแล้วด้วย…” อาจารย์ของหลิวเหมยบอกแล้วว่า ปีนี้ถ้าเธอไม่แต่งงาน ต่อไปครอบครัวเธอจะซวย
“พูดอย่างกับว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายระยะสุดท้าย ไม่เคยได้ยินท่านผู้นำสอนพวกเราเหรอว่า อย่าเชื่องมงาย”
“ทำไมพี่เหมือนพี่ฟู่กุ้ยเลย เอะอะก็ท่านผู้นำ…” ไม่ทันระวังฟู่กุ้ยมาปรากฏตัวในใจของหลิวเหมยอีกแล้ว
“เพราะว่าพี่ฟู่กุ้ยของเธอมีทัศนคติในบางมุมที่ถูกต้อง ยังไม่ต้องพูดถึงครอบครัวนั้นแล้วกัน เอาแค่ตัวผู้ชายคนนี้ มาเมืองนี้แท้ๆทำไมไม่คิดจะบอกเธอสักคำ โทรมาบอกจะตายไหม”
“เขางานยุ่ง…” หลิวเหมยเถียงเสียงเบา
“อย่าคิดว่าอ้างว่ายุ่งแล้วจะจบ จะยุ่งแค่ไหนมันก็ต้องมีตอนที่ว่าง ฟู่กุ้ยน่ะถ้างานยุ่งก็ทำหามรุ่มหามค่ำ แต่ถ้าเขาว่างก็จะติวให้น้องชาย250ของพี่ มีเวลาก็ช่วยแม่พี่ทำกับข้าว เคยมีไหมที่เขาจะอ้างว่ายุ่งแล้วละเลยคนในครอบครัว”
ถึงแม้ตอนนี้นายเลี่ยวฟู่กุ้ยจะยังคงหาแฟนไม่ได้ แต่เท่าที่เสี่ยวเชี่ยนสังเกตดู ต่อให้เขาหาแฟนได้ก็คงไม่บังคับให้ฝ่ายหญิงแสดงความกตัญญูต่อครอบครัวตัวเองแบบหม่าลุ่ยแน่
เสี่ยวเชี่ยนยังคงล้างสมองแบบเนียนๆ แล้วถือโอกาสสอดแทรกโฆษณาพี่ชายตัวเอง ซึ่งหลิวเหมยก็ฟังเข้าหัว
“พี่ฟู่กุ้ยเป็นนักนิติจิตวิทยา ไม่เหมือนทหาร” เหตุผลนี้พอพูดออกมาตัวเธอยังรู้สึกว่าฟังไม่ขึ้น
“ทหาร หึหึ ครอบครัวเราทหารเต็มบ้าน เสี่ยวเฉียง เวลานายงานยุ่งถ้าคิดถึงฉันนายทำไง”
“คุณจะให้ผมพูดแบบติดเรทหรือไม่ติดเรทล่ะ” อวี๋หมิงหลางถามหน้าตาเฉย พอถูกเสี่ยวเชี่ยนหยิกไปหนึ่งทีถึงได้รู้ว่าต้องพูดแบบไม่ติดเรท เขาจึงพูดอย่างจริงจัง
“เวลาที่พี่ยุ่งและถูกห้ามใช้เครื่องมือสื่อสาร พี่ก็จะเขียนจดหมายหาพี่สะใภ้เธอ บางครั้งเวลาที่เหนื่อยมากจริงๆ กลับถึงห้องก็อยากทิ้งตัวลงนอน พี่ก็จะเก็บปลอกกระสุนที่ใช้แล้ว ไม่โทรหนึ่งวัน ไม่เขียนจดหมายหนึ่งวัน ก็เก็บหนึ่งอัน เอาไว้ทำเป็นของที่ระลึกให้พี่สะใภ้เธอ”
โวะ โรแมนติกสุดๆ หลิวเหมยมองไม่ออกเลยว่าพี่หลางที่เล่นทะโมนกับเธอมาตั้งแต่เด็กจะมีมุมหวานๆแบบนี้ด้วย
“ปีนี้พี่กับเขาก็เข้าปีที่สี่แล้ว เธอรู้ไหมว่าพี่ได้ของที่ระลึกมาเท่าไรแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“เต็มกำแพง” ใครๆก็รู้ว่าอวี๋หมิงหลางงานยุ่งแค่ไหน
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า “เขาอยากจะเอาปลอกกระสุนมาทำเป็นรูปหัวใจถูกศรปัก แต่ตอนนี้เพิ่งได้แค่ครึ่งเดียว”
“โวะ ไอ้หมาตัวไหนมันเอาความลับไปพูด ผมแอบทำอย่างลับๆเพราะอยากให้คุณเซอร์ไพร้ส์ บอกผมมาว่าใครบอกคุณ เดี๋ยวผมจะกลับไปยัดมันใส่กระสอบแล้วทิ้งน้ำ” อวี๋หมิงหลางพอได้ยินแบบนั้นก็เริ่มโมโห
เซอร์ไพร้ส์ที่เขาทำไว้ให้เมียทำไมความแตกได้
ยังจะมีใครล่ะ ก็เฉียวเจิ้นรองหัวหน้าหน่วยของเขาไง เพราะสืออวี้เมียของเฉียวเจิ้นเคยเป็นรูมเมทที่ซี้สุดๆของเสี่ยวเชี่ยน ความลับแค่นี้ของอวี๋หมิงหลางแตกนานแล้ว
หวานเรี่ยราดกันแบบนี้คนฟังเกือบสำลักตาย
“ไม่น่าใช่มั้ง พวกพี่คบกันมาตั้งนาน นี่พี่ฉันโทรหาหรือไม่ก็เขียนจดหมายให้พี่สะใภ้เกือบทุกวันเลยเหรอ เป็นไปไม่ได้ หน่วยของพี่หลางงานยุ่งจะตาย” หลิวเหมยสงสัยสุดๆถึงความจริงของเรื่องนี้
มันเว่อร์เกินไป
“จดหมายที่เขาเขียนให้ไม่ได้ยืดยาวอะไรแบบนั้น บางอันเป็นแค่เศษกระดาษเขียนมาแค่ประโยคเดียว แต่ที่เว่อร์สุดก็ตอนที่เขาเอาถ่านวาดหัวใจลงบนกระดาษทิชชู่ พี่ล่ะสงสัยจริงๆว่าแอบวาดตอนนั่งปลดทุกข์หรือเปล่า”